Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ออฟฟิศเมท เผยเทรนด์ช่วงโควิด New Normal Behavior ของกลุ่มลูกค้า B2B พร้อมเปิดประตูรับผู้ประกอบการเสริมทัพ B2B Marketplace

ออฟฟิศเมท ผู้นำตลาดสินค้า B2B รายใหญ่ลำดับต้นของไทย เผยเทรนด์พฤติกรรมของลูกค้ากลุ่ม B2B ที่เพิ่มการช้อปออนไลน์ ทำให้ตลาดออนไลน์ B2B เติบโตในช่วงโควิด-19 พร้อมเปิดประตูต้อนรับผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายหลัก และเจ้าของแบรนด์สินค้า B2B ให้ร่วมเติบโตไปด้วยกันกับ OfficeMate’s Online B2B Marketplace ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าธุรกิจกว่า 500,000 รายได้ทันที เพิ่มโอกาสติดปีกธุรกิจสู่มิติใหม่แห่งการขายอย่างไร้ขีดจำกัด

คุณจิตรลดา หาญวรวงศ์ชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ ออฟฟิศเมท เผยเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มลูกค้า B2B ในยุค #NewNormal ที่มีผลให้ลูกค้าดังกล่าวปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสั่งซื้อสินค้า B2B โดยการช้อปผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้า SME และองค์กรธุรกิจ ที่เดิมเคยช้อปผ่านหน้าร้านออฟฟิศเมท แต่เมื่อร้านปิดชั่วคราว ก็เริ่มหันมาเลือกช้อปผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ในช่วงเดือนมี.ค. – พ.ค. 2563 มีลูกค้า B2B เข้ามาใช้บริการผ่านหน้าเว็บไซต์ officemate.co.th พุ่งทะยานกว่า 6.3 ล้านครั้ง (เติบโต >100% เมื่อเทียบกับปี 2562), คิดเป็นจำนวนผู้ใช้กว่า 3.7 ล้านคน (เติบโต >120%) และมีการเข้าชมสินค้ารวมกว่า 21.6 ล้านหน้า (เติบโต >330%) โดยกลุ่มสินค้า #WorkAnywhere และ #Hygienic&Cleaning และ #PersonalSafetySupply ได้รับความนิยมในการค้นหาสินค้าเป็นสามอันดับต้น ตอบรับยุค #NewNormal

กลุ่มสินค้าขายดี :
ได่แก่ กระดาษถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์และหมึกพิมพ์ อุปกรณ์และน้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาด เป็นต้น

กลุ่มสินค้ามาแรง :
ได้แก่สินค้าหมวดต่างๆ เช่น
 หมวด Healthcare เช่น หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ เครื่องวัดอุณหภูมิ กระดาษชำระ
 หมวด Safety Supply & PPE Supply for Factory (อุปกรณ์นิรภัยส่วนบุคคล)
 หมวด Electronic & IT
 หมวดเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะและเก้าอี้ทำงาน
 หมวดบรรจุภัณฑ์อาหาร (Food Packaging)

#ในวิกฤติยังมีโอกาส สำหรับผู้ประกอบการที่พร้อมปรับตัวสู่ธุรกิจดิจิทัล (Digital Business) ออฟฟิศเมทขอร่วมเป็นฐานรากที่แข็งแกร่ง และพร้อมเคียงข้างผู้ประกอบการไทย ให้ต่อยอดธุรกิจแบบไม่สะดุดจากโควิด-19 เพื่อให้เราพร้อมสู้ไปด้วยกัน จึงขอเปิดโอกาสให้ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายหลัก และเจ้าของแบรนด์สินค้า B2B คุณภาพสูง ได้มาเข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่นำเสนอขายสินค้าและบริการต่างๆ บน OfficeMate’s Online B2B Marketplace ศูนย์รวมสินค้าเพื่อธุรกิจแบบ One-Stop Solutions ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้าที่ธุรกิจต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์

ธุรกิจเฉพาะทาง เช่นtha สินค้าโรงงานและอุตสาหกรรม (Factory & Industrial), สินค้าธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร บริการจัดเลี้ยง (HORECA), สินค้าสำหรับสถานพยาบาลและสุขภาพ (Healthcare & Medical Care), สินค้านวัตกรรม (Innovative Business Equipment), สินค้าสำหรับสถาบันการศึกษาและนันทนาการ (School & Entertainment) และอื่นๆ อีกมากมาย โดยปัจจุบันนี้ เรามีสินค้าจากผู้ประกอบการและแบรนด์ชั้นนำเข้าร่วมด้วย อาทิเช่น กลุ่มเซ็นทรัล ได้แก่ ไทวัสดุ บีทูเอส เพาเวอร์บาย ซูเปอร์สปอร์ต และแบรนด์ชั้นนำของไทยและสากลอีกมากมาย อาทิเช่น HP, Lenovo, Xiaomi, iRobot, SEVENFIVE และเจนบรรเจิด เป็นต้น

ติดปีกธุรกิจสู่มิติใหม่แห่งการขายไร้ขีดจำกัดไปกับ OfficeMate’s Online B2B Marketplace
1. ให้คุณเข้าถึงลูกค้าธุรกิจกว่า 500,000 รายได้ทันที ผ่านช่องทางการขายที่เหนือกว่าแค่ออนไลน์ ได้แก่ officemate.co.th, OfficeMate Mobile App, Contact Center 1281 และพนักงานขาย พร้อมโอกาสในการร่วมแคมเปญการตลาดเพื่อผลักดันยอดขายไปกับออฟฟิศเมท
2. ให้คุณขายได้ในทุกสถานการณ์ แบบไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายและการลงทุนเพิ่มด้วยตนเอง เพราะออฟฟิศเมทมีระบบออนไลน์ให้พร้อมใช้งาน ไม่มีค่าแรกเข้า และไม่มีค่าลงจำหน่ายสินค้า
3. ให้คุณขายสะดวกแบบไม่สะดุด โดยมีออฟฟิศเมทเคียงข้าง มี Seller Center System ให้จัดการการขายได้ง่าย ตั้งแต่รับออเดอร์ไปจนส่งสินค้าถึงมือลูกค้าและรับชำระเงิน และมี Customer Support Center คอยดูแลตอบคำถามและให้บริการลูกค้าที่สนใจสินค้าแทนคุณ

ออฟฟิศเมทพร้อมเปิดรับเจ้าของสินค้าเพื่อธุรกิจเข้าร่วม B2B Marketplace แล้ววันนี้ ลงทะเบียนได้ที่ https://bit.ly/3dSW66L หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ Line: @OFM_Marketplace


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ตลาดรับสร้างบ้านในยุค Customer Centric ปรับตัวภายใต้สภาวะ New Normal ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกคน

ตลาดรับสร้างบ้านในยุค Customer Centric นายกสมาคมฯ “วรวุฒิ กาญจนกูล” แนะสมาชิกปรับตัวภายใต้สภาวะ New Normal เน้นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้ทุกคนทุกระดับ ด้วยแบบบ้านที่ หลากหลาย ได้คุณภาพงานมีมาตรฐาน ให้บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยมเดินหน้าจัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2020 เพื่อตอบรับกระแสของกลุ่มลูกค้า โดยกำหนดจัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2020 แบบ ออฟไลน์ กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-4 ตุลาคม 2563 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อาคาร 8 เชื่อมั่นแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภายใต้วงเงิน 4 แสนล้านบาท จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ในภาพรวมและหนุนทุกภาคธุรกิจให้มีแรงขับเคลื่อนต่อไป

นายวรวุฒิ กาญจนกูล นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association : HBA) เปิดเผยว่า ถึงแม้ ทางสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกที่คาดจะมีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็ยอมรับว่าธุรกิจ โดยรวมยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยลบต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในภาวการณ์ดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการที่อยู่ภายใต้สภาวะ “New Normal” ที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดต่างๆ มากมาย ดังนั้น ผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้านจำเป็นต้องปรับ รูปแบบการตลาดใหม่จับทางความต้องการของผู้บริโภคหรือต้องมีความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง

“เมื่อลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านจะต้องเข้าใจเหตุผลถึงความต้องการ อย่างแท้จริงและลงลึกในรายละเอียดสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของทุกคน” นายวรวุฒิ กล่าว

พร้อมกันนี้นายวรวุฒิ ยังกล่าวด้วยว่า จากที่สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านได้รวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคผ่าน ผ่านเว็บไซต์ของสมาคมฯ รวมถึงข้อมูลที่ได้จากการเข้าเยี่ยมชมงานรับสร้างบ้านออนไลน์ 2020 ระหว่างวันที่ 20 – 31 มีนาคม 2563 ซึ่งเป็น Online Exhibition ครั้งแรก พบมี 4 อันดับแรกหลัก ๆ ที่ผู้บริโภคค้นหา ซึ่งผู้ประกอบการจะ ต้องเตรียมความพร้อมรองรับ ดังนี้

· อันดับแรกคือ “แบบบ้าน” แบบบ้านจะต้องมีความหลากหลาย และแบบบ้านที่มีต้องสอดรับกับไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตของคนในสังคมยุคใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือที่เรียกว่า New normal รวมถึง ชีวิตวิถีใหม่ สังคมที่ไร้การสัมผัส (Touchless Society), การใส่ใจถึงสุขอนามัย และการประหยัดพลังงานภายในบ้าน การเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ผู้ประกอบการในธุรกิจรับสร้างบ้านจะต้องเกาะติด และเตรียมพร้อมเพิ่มทาง เลือกให้กับผู้บริโภคในตลาด

· อันดับสองคือ ผลงานของบริษัทนั้นๆ ซึ่งนั่นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นว่าบริษัทมีความน่าเชื่อถือในด้าน “คุณภาพ”และ“มาตรฐาน” งานด้านการก่อสร้างเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านก็ พยายามผลักดันให้สมาชิกของสมาคมฯ มีความรู้และได้รับการรับรองระบบมาตรฐาน ISO 9001:2015 เวอร์ชั่นใหม่ อีกทั้งยังจัดโครงการสัมมนา “Home Builder Expert” หรือ HBEX เพื่อให้ความรู้และยกระดับ ในการพัฒนาบริษัทรับสร้างบ้านโดยมีเป้าประสงค์ให้มีคุณภาพ และมาตรฐานให้เกิดความพึงพอใจกับลูกค้า

· อันดับสามคือ “การบริการ” ที่มุ่งเน้นตั้งแต่เริ่มต้นจนการก่อสร้างเสร็จแบบครบวงจร รวมถึงการดูแลหลัง การขายด้วยการรับประกันต่างๆ เช่น บางบริษัทฯ รับประกันงานโครงสร้างนาน 5-10 ปี เพื่อให้ผู้บริโภคอุ่นใจ

· อันดับสี่คือ “เวลา” เราพบว่าผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านทั่วไปมักก่อสร้างล่าช้า บริษัทรับสร้างบ้านจะต้อง พิจารณาเรื่องนี้เมื่อว่าจ้างบริษัทรับสร้างบ้านปลูกสร้างบ้านแล้วจะต้องได้บ้านตรงตามเวลาที่สัญญาไว้

นายวรวุฒิ ยังกล่าวถึงภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 คาดว่าน่าจะหดตัวไม่น้อยกว่า 20-30% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (Covid-19) ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 โดยเฉพาะในช่วง ไตรมาสแรกของปี 2563 ทำให้หยุดการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ และจากมาตรการปิดเมือง (Lockdown) แต่นับจากนี้ไปหากไม่มีการระบาดรอบสองหลังจากการคลายล็อก รวมถึงรัฐบาลได้ประกาศแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและ สังคมภายใต้วงเงิน 400,000 ล้านบาท จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมและหนุนทุกภาคธุรกิจให้มีแรง ขับเคลื่อนต่อไป

ทั้งนี้ แม้ธุรกิจรับสร้างบ้านจะไม่ได้รับประโยชน์โดยตรง แต่เมื่อบรรยากาศโดยรวมดีขึ้นผู้บริโภคเกิดความมั่นใจ กล้าที่ จะกลับมาใช้จ่ายมากขึ้น ก็เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจรับสร้างบ้านให้กลับมาสู่ภาวะปกติได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งนอกจากผู้บริโภคจะว่าจ้างปลูกสร้างบ้านใหม่ทั้งบนที่ดินใหม่หรือบนที่ดินเดิม ด้วยการรื้อบ้านหลังเก่าที่มีอายุการใช้งาน มากกว่า 30 – 40 ปีแล้วสร้างใหม่ นอกจากนี้ยังมีตลาดรีโนเวทบ้านเก่าเพื่อให้ใช้งานได้มากขึ้น สอดคล้องกับการใช้ ชีวิตแบบใหม่ หรือ “New Normal” ทั้งการทำงานที่บ้าน (Work From Home) รวมถึงเรียนออนไลน์ ที่ต้องการ พื้นที่เพิ่มเติมเฉพาะ ซึ่งที่ผ่านมามีสมาชิกของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านได้ปรับตัวเข้าไปรับงานรีโนเวทบ้านมากขึ้น

อนึ่ง หลักสูตรการอบรม Home Builder Expert หรือ HBEX ซึ่งสมาคมฯ เป็นผู้จัด โดยในปีนี้จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 แล้ว เป็นหลักสูตรอบรมเพื่อยกระดับการบริหารธุรกิจรับสร้างบ้านอย่างมืออาชีพ โดยเฉพาะในยุค New Normal เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้านได้เติบโตอย่างเข้มแข็ง ในภาวะท่ามกลาง ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว โดยการอบรม HBEX ได้เชิญวิทยากรมากความสามารถและมืออาชีพด้านต่างๆ มาอบรม ให้ความรู้ ตลอด 4 วัน ของหลักสูตร ซึ่งจะเริ่มต้นอบรมครั้งแรก ในเดือนสิงหาคม นี้

ส่วนการแข่งขันของตลาดธุรกิจรับสร้างบ้าน นายวรวุฒิ ยอมรับว่า ตลาดมีการแข่งขันกันค่อนข้างมากในรูปแบบต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ของผู้บริโภค แต่อย่างไรก็ตาม ภายใต้การแข่งขันของธุรกิจที่รุนแรงนั้น สิ่งสำคัญที่บริษัท รับสร้างจะต้องให้ความสำคัญควบคู่กันไปก็คือการบริหารต้นทุนว่ามีส่วนใด “รั่วไหล” หรือไม่ ขณะเดียวกัน เนื่องจาก ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามามีบทบาททางด้านการตลาด การทำตลาดและการสื่อสารผ่านระบบออนไลน์จึงมีความ สำคัญ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนการขยายสาขาเพิ่มแล้วยังทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ด้วยเหตุนี้จึง เป็นเหตุผลสำคัญที่สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านต้องปรับตัว ผ่านรูปแบบการจัดงาน ทั้งแบบออฟไลน์ และออนไลน์ เพื่อ ตอบรับกับกระแสของกลุ่มลูกค้าทั้ง 2 ช่องทาง โดยกำหนดจัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2020 แบบออฟไลน์ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 4 ตุลาคม 2563 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อาคาร 8 ส่วน Online Exhibition ทางสมาคมฯ จะหารือกับคณะกรรมการอีกครั้งหนึ่งถึงกำหนดการจัดงานทาง Online ต่อไป


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ทางเลือกใหม่กับการผ่าตัดส่องกล้องปอด

โดย นพ. ศิระ เลาหทัย
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หน่วยศัลยศาสตร์ทรวงอกและหัวใจ
ภาควิชาศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลวชิรพยาบาล

เป็นที่ทราบกันดีว่าการผ่าตัดในช่องทรวงอกนั้น การผ่าตัดแบบเปิดเป็นการผ่าตัดพื้นฐานที่นิยมทำกันมาอย่างยาวนาน แต่ด้วยเทคโนโลยีด้านการแพทย์ในปัจจุบันมีการพัฒนามาก ส่งผลทำให้วิธีการผ่าตัดมีการเปลี่ยนแปลงจากการผ่าตัดแบบเปิด ซึ่งทำให้ผู้ป่วยต้องเกิดอาการเจ็บปวดบริเวณแผลผ่าตัด ทั้งยังใช้เวลาพักฟื้นยาวนาน รวมถึง โอกาสติดเชื้อที่บริเวณแผลผ่าตัด ปอดติดเชื้อ และอื่น ๆ ดังนั้นการผ่าตัดแบบเดิม จึงค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยวิธีการผ่าตัดแบบส่องกล้องเพิ่มมากขึ้น โดยการผ่าตัดแบบส่องกล้องนั้น มีผลดีคือทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล เสียเลือดน้อยลง รวมไปถึงลดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด

เมื่อไม่นานมานี้ นพ.ศิระ เลาหทัย ศัลยแพทย์ทรวงอกผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดส่องกล้อง จากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ได้นำการผ่าตัดทางเลือกใหม่ที่เรียกว่า การผ่าตัดส่องกล้องในทรวงอกแบบไม่ใส่ท่อช่วยหายใจ มาริเริ่มในประเทศไทย โดยเป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้อง ซึ่งขณะผ่าตัดจะใช้วิธีดมยาสลบแบบปริมาณไม่มาก ทำให้ผู้ป่วยเคลิ้ม และไม่จำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจขณะผ่าตัด เทคนิคนี้สามารถลดอาการบาดเจ็บทางเส้นเสียง รวมไปถึงสามารถลดภาวะแทรกซ้อนจากยาที่ใช้ดมยาสลบทั่วไป นอกจากนี้แผลผ่าตัดบริเวณข้างลำตัวมีเพียงตำแหน่งเดียว ขนาด 3 – 4 ซม. ซึ่งจะสามารถลดผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้นจากการผ่าตัดแบบเปิด ทั้งนี้แพทย์ผู้รักษาจะพิจารณาว่าคนไข้เหมาะสมกับการผ่าตัดชนิดไหนที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การผ่าตัดส่องกล้อง ชนิดนี้สามารถทำได้ในหลาย ๆ โรค เช่น 1.มะเร็งปอดระยะเริ่มต้น (lung cancer) 2.โรคลมรั่วในเยื่อหุ้มปอด (recurrent pneumothorax) 3.โรคเนื้องอกหรือจุดในปอด (solitary lung nodule) 4.หนองในเยื่อหุ้มปอดระยะเริ่มต้น ( Empyema thoracis) และ 5.โรคเนื้องอกในช่องทรวงอก (mediastinum tumour eg. thymoma)

อาการของโรคปอดและในทรวงอกเป็นอย่างไรและทำไมควรต้องตรวจพบในระยะแรก

ผู้ป่วยของโรคปอด มักไม่มีอาการ หากมีอาการมักจะมีอาการอย่างเช่น เหนื่อยง่าย ไอเรื้อรัง หรือ เจ็บแน่นหน้าอก ในผู้ป่วยบางราย เมื่อแสดงอาการแล้ว ก้อนอาจจะลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ ส่งผลทำให้การรักษาอาจได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร

แล้วใครบ้างควรได้การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มคน 2 กลุ่ม ได้แก่

1. ผู้ที่มีอาการทางระบบหายใจ ได้แก่ : กลุ่มผู้ที่มีอาการไอเรื้อรัง โดยเฉพาะไอมีเสมหะ ไอเป็นเลือด เหนื่อย เจ็บหน้าอก

2. ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง ได้แก่ : กลุ่มผู้ที่สูบบุหรี่ ทำงานในโรงงานที่มีมลภาวะ ควัน ก๊าซเคมีที่เป็นพิษต่อทางเดินหายใจและปอด,ทำงานในเหมืองแร่ โรงโม่หิน โรงผลิตซีเมนต์ ,ทำงานในบรรยากาศ ที่อาจปนเปื้อนสารกัมมันตภาพ, ผู้ป่วยที่มีพ่อ หรือ แม่เป็นโรคมะเร็งปอด

ทั้งนี้คนที่ไม่มีอาการ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ควรหมั่นดูแลสุขภาพ และตรวจเช็คร่างกายเป็นประจำ เพราะว่ามะเร็งปอดสามารถพบได้ในคนที่ไม่สูบบุหรี่ หรือไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ หากตรวจพบโรคขณะที่ยังไม่มีอาการ โอกาสหายขาดจะมีมากขึ้น


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“ซัสโก้” เปิดสถานีบริการน้ำมันสาขา “เลียบทางด่วนทุ่งครุ”

นายชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดสถานีบริการน้ำมันซัสโก้สาขา เลียบทางด่วนทุ่งครุ โดยมี นายโคะอิจิ ฮิโรเซะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สห ลอว์สัน จำกัด และนางสาวภคมน สมบูรณ์เวชชการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเด้นครีม จำกัด ร่วมแสดงความยินดี ณ สถานีบริการน้ำมันซัสโก้ สาขาเลียบทางด่วนทุ่งครุ เมื่อเร็วๆ นี้

สำหรับ สถานีบริการน้ำมันซัสโก้ สาขาเลียบทางด่วนทุ่งครุ ตั้งอยู่บนถนนเลียบวงแหวนกาญจนาภิเษก ใกล้กับโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยธนบุรี, หมู่บ้าน City Sense และซอยพุทธบูชา 36 สามารถเดินทางมาใช้บริการได้สะดวกจากหลายเส้นทาง ซึ่งภายในสถานีบริการน้ำมันแห่งนี้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ร้านสะดวกซื้อ “ลอว์สัน 108” และร้านกาแฟ “ดิโอโร่” เป็นต้น


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร (Plant Factory) เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ยุค “เกษตร 4.0”

รองศาสตราจารย์วันชัย แหลมหลักสกุล หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมระบบไซเบอร์-กายภาพทางการผลิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) และผู้เชี่ยวชาญโปรแกรม ITAP สวทช. เปิดเผยว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) หนุนโปรแกรมไอแทปช่วยผู้ประกอบการพัฒนาระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร ปลูกผักและผลไม้ออแกนิกในห้องพักอพาร์ทเมนท์ เป็นโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP: ไอแทป) ให้การสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญโปรแกรม ITAP จากอาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ร่วมด้วยบริษัท ลอฟท์ บิวเดอร์ จำกัด ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง ที่แตกไลน์ธุรกิจ นำเทคโนโลยีระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร หรือ Plant Factory มาใช้กับการปลูกพืชออแกนิกในห้องพักอพาร์ทเมนท์ใจกลางเมืองของบริษัทฯ เป็นการช่วยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร หรือ Plant Factory ทำให้ห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ขนาด 10 ตารางเมตรในอพาร์ทเมนท์ใจกลางเมือง สามารถเป็นต้นแบบห้องที่ปลูกผักและผลไม้ออแกนิกชนิดต่าง ๆ เช่น สตรอว์เบอร์รี Kale และสมุนไพรเมืองหนาว อาทิ พาสเลย์และดอกไม้กินได้ สำหรับไว้ปั่นรับประทานได้ทุกฤดูกาล พร้อมเป็นสถานที่ดูงานของลูกค้าบริษัทฯ ที่สนใจจะทำระบบฟาร์มเกษตรในอาคารได้เห็นต้นแบบของธุรกิจประเภทนี้ เพราะผักและผลไม้ออแกนิกที่ปลูกเป็นพืชที่มีมูลค่าสูงในตลาด ราคาแพง และการลงทุนของเทคโนโลยีนี้เกษตรกรหรือผู้สนใจสามารถจะพอลงทุนได้ด้วยกำลังของตนเอง

การปลูกพืชในอาคารนั้นเหมาะสมต่อการเพาะปลูกผักและผลไม้บางชนิด ส่วนใหญ่เป็นผักใบ และผักผลไม้เมืองหนาว เช่น ผักสลัด สมุนไพร และสตรอว์เบอร์รี เป็นต้น จึงยังไม่หลากหลายและมีขนาดตลาดที่จำกัดอยู่เฉพาะผู้บริโภคบางกลุ่ม เช่น โรงพยาบาลเอกชนระดับบนที่ต้องการผักและผลไม้ปลอดสารพิษเพื่อให้บริการผู้ป่วย ร้านอาหารและโรงแรมที่ให้บริการอาหารเพื่อสุขภาพ ครัวเรือนที่มีรายได้ระดับปานกลางค่อนไปทางสูง เป็นต้น แต่ในต่างประเทศกระแสซุปเปอร์มาเก็ตปลูกผักเองในอาคารตามห้างสรรพสินค้าหรือตามสถานีรถไฟใต้ดินกำลังได้รับความนิยมทั่วทั้งยุโรป อเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งจะเน้นปลูกผักที่มีคุณภาพสูง อุดมด้วยสารอาหาร โดยจุดเด่นคือ ผักที่ปลูกแบบนี้ทั้งสด สะอาด ปลอดภัยจากยาฆ่าแมลง แถมยังมีรสชาติกรอบอร่อยกว่าผักที่ปลูกแบบเดิม


ระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร (Plant Factory) ในไทย โดยทั่วไปมีวัตถุประสงค์หลัก คือ ผลิตพืชผักและผลไม้เมืองหนาว เนื่องจากข้อจำกัดด้านภูมิอากาศให้มีการเจริญเติบโตที่ดี และให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยควบคุมและใช้ปัจจัยการผลิต เช่น การให้แสง การให้น้ำ แร่ธาตุอาหาร และปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ในขณะที่ปลดปล่อยของเสียสู่สภาพแวดล้อมน้อยที่สุด และใช้ต้นทุนในการผลิตต่ำ

เนื่องจากระบบฟาร์มเกษตรในอาคารนั้นเป็นระบบที่ประหยัดการใช้ทรัพยากร ทั้งน้ำ แร่ธาตุอาหาร พื้นที่เพาะปลูก และแรงงาน รวมถึงยังสามารถควบคุมปริมาณและคุณภาพผลผลิตได้ตามที่ต้องการ จึงช่วยลดความผันผวนในด้านปริมาณและคุณภาพของผลผลิตได้ดีกว่าการเกษตรแบบดั้งเดิม จึงเป็นหนึ่งในเทรนด์สำคัญของภาคการเกษตรที่ค่อย ๆ มีบทบาทในเชิงพาณิชย์มากขึ้นในไทย โดยเทคโนโลยีระบบฟาร์มเกษตรของบริษัทฯ สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมด้วยระบบอัตโนมัติ เช่น อุณหภูมิ แสงเทียม (LED) เพื่อการสังเคราะห์แสงของพืช ซึ่งกระบวนการสังเคราะห์แสงนี้จะผ่านแสงจากหลอดไฟ LED ที่มีการควบคุมความเข้มของแสง คลื่นความถี่และระยะเวลาของแสงในแต่ละช่วงการปลูก เพื่อให้มีความคล้ายคลึงกับการสังเคราะห์แสงจากดวงอาทิตย์ ทั้งนี้การใช้แสง LED จะช่วยลดระยะเวลาการปลูกลงได้ครึ่งหนึ่งของระยะเวลาการเติบโต อีกทั้งยังมีการควบคุมลมและความชื้นในอากาศ หากความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศต่ำกว่ากำหนด ระบบจะเชื่อมต่อกับระบบพ่นละอองน้ำแบบพิเศษเพื่อปรับความชื้นสัมพัทธ์ให้อยู่ในช่วงที่กำหนด โดยตั้งค่าการทำงานผ่านแอปพลิเคชัน สามารถปรับตั้ง แก้ไข ควบคุมการทำงานผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตจากนอกสถานที่ได้ โดยระบบจะควบคุมพารามิเตอร์ต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด”

ผู้ประกอบการที่สนใจเทคโนโลยีและขอรับการสนับสนุนภายใต้โครงการยกระดับผักและผลไม้ไทย : โอกาสสำหรับพัฒนาเกษตรกรรมสู่ความยั่งยืน ด้านโรงเรือนอัจฉริยะ สามารถติดต่อขอรับการบริการได้ที่ โปรแกรม ITAP สวทช. โทร 0 2 564 7000 ต่อ 1301 หรืออีเมล panita@nstda.or.th

ขวัญฤทัย ข่าว


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ออฟฟิศเมท เพาเวอร์บาย และ บีทูเอส มอบสิทธิพิเศษให้บุคลากรการแพทย์ทั่วไทย #แทนคำขอบคุณจากใจ

ออฟฟิศเมท เพาเวอร์บาย และ บีทูเอส ขอร่วมขอบคุณความเสียสละของบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านที่ทุ่มเทดูแลสุขภาพประชาชนชาวไทยในช่วงโควิด-19  ขอมอบสิทธิพิเศษ #แทนคำขอบคุณจากใจ เพียงแสดงบัตรประจำตัวบุคลากรทางการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย. 63 – 31 ก.ค. 63

ช้อปที่ร้านออฟฟิศเมท ทุกสาขา ครบ 2,000 บาท ขึ้นไป/ใบเสร็จ รับส่วนลดทันที 80 บาท* และเมื่อช้อปผ่าน Chat & Shop ที่ Line: @OfficeMate ครบ 3,000 บาท ขึ้นไป/ใบเสร็จ รับส่วนลดทันที 200 บาท* สำหรับ 500 ท่านแรกที่ช้อปสินค้าที่ร่วมรายการเท่านั้น (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)

พิเศษ..! สำหรับโรงพยาบาลและสถานพยาบาล ช้อปที่ร้านออฟฟิศเมท ทุกสาขา หรือContact Center 1281 ครบ 5,000 บาท ขึ้นไป/ใบเสร็จ รับส่วนลด 400 บาท* และสำหรับสถานพยาบาลที่จัดซื้อด้วยระบบออนไลน์ OfficeMate e-Procurement สะสมยอดซื้อครบ 5,000 บาท ขึ้นไป รับฟรี! Starbucks Gift Voucher มูลค่า 300 บาท (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)

เพาเวอร์บายมอบสิทธิเศษ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ในกรุงเทพฯ รับฟรี! บริการล้างแอร์ 100 เครื่อง*, ฟรี! บริการให้คำปรึกษาด้าน IT การเชื่อมต่อระบบ WiFi และ ฟรี! ค่าบริการรับส่งสินค้าซ่อมถึงบ้าน เพียงติดต่อรับบริการที่ Power Buy Contact Center 1324 (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)

 ช้อปที่ร้านบีทูเอส ทุกสาขา และ Chat & Shop ที่ Line: @b2sthailand ครบ 1,000 บาท ขึ้นไป/ใบเสร็จ รับส่วนลด 120 บาท* และช้อปครบ 3,000 บาท ขึ้นไป/ใบเสร็จ รับส่วนลด 400 บาท*    (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)

     พิเศษ..! สำหรับโรงพยาบาลและสถานพยาบาล เมื่อช้อปครบ 30,000 บาท รับ B2S Gift Card มูลค่า 1,200 บาท และเมื่อช้อปครบ 50,000 บาท รับ B2S Gift Card มูลค่า 4,000 บาท (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)

ออฟฟิศเมท เพาเวอร์บาย และ บีทูเอส ขอร่วมส่งกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์และสถานพยาบาลทั่วประเทศ #สู้โควิด19 เราจะก้าวข้ามผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

พีเอ็มจี เปิดตัวโครงการ “ชี้ช่องรวยมอบอาชีพ สร้างชีวิต สู้โควิด19”

บริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดตัวโครงการ “ชี้ช่องรวยมอบอาชีพ สร้างชีวิต สู้โควิด19” เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ได้มีงาน มีอาชีพ สร้างรายได้เพื่อพลิกฟื้นชีวิตให้กลับมาลุกเดินได้ โดยผนึกแนวร่วมเหล่าธุรกิจแฟรนไชส์รวม 14 ธุรกิจแจกอาชีพฟรีในงาน โดยเปิดให้ผู้สนใจทั่วไปลงสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย.63 เป็นต้นไป โดยมุ่งหวังสร้างผู้ประกอบการใหม่ในโครงการนี้กว่า 100 ราย

คุณวิมลณ์เกศ สุวพัฒน์ธุนากร ผู้อำนวยการฝ่าย SME Solution บริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ริเริ่มโครงการ “ชี้ช่องรวยมอบอาชีพ สร้างชีวิต สู้โควิด19” พูดถึงที่มาของโครงการนี้ว่า “จากการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ทำให้หลายธุรกิจต้องหยุดกิจการชั่วคราว บ้างปิดตัวลง ส่งผลให้มีคนว่างงาน ตกงาน และขาดรายได้เป็นจำนวนมาก เราจึงคิดโครงการชี้ช่องรวยมอบอาชีพ สร้างชีวิต สู้โควิด19 นี้ขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ได้พลิกฟื้นสร้างชีวิตใหม่อีกครั้ง เพื่อสร้างรายได้ให้มั่นคงยั่งยืนตลอดไป โดยจับมือกับธุรกิจแฟรนไชส์รวม 14 ธุรกิจ ร่วมแจกอาชีพฟรีแก่ผู้ที่สนใจและตั้งใจอยากมีอาชีพกว่า 100 ราย โดยแฟรนไชส์ธุรกิจที่เข้าร่วม ได้แก่ ตู้น้ำมันอัตโนมัติออสซี่ออยล์, คอกาแฟ, ไส้กรอกแม่ไก่, ไจแอ้นลูกชิ้นปลาระเบิดเถิดเทิง, PJ PIZZA, ปัง-เปรี้ยง-ปร้าง, กาแฟช่อลดา, ชานม P&P, เฮียนพ หมูนุ่มนมสด, กล้วยทอดติดดาว, TORO FRIES เฟรนช์ฟรายส์ยาว, ร่ำรวยอบวุ้นเส้น, ลูกชิ้นหมูทอดพิษณุโลกราม่า และแฟรนไชส์ธุรกิจงานพิมพ์แพคซิอิ

โครงการนี้เรามุ่งหวังจะเป็นกำลังใจเล็ก ๆที่ช่วยเหลือสังคม และผู้ที่กำลังได้รับความเดือดร้อนจากพิษโควิด-19 จะได้มีแรงลุกขึ้นสู้ชีวิต เติบโตเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่ก้าวเดินอย่างแข็งแกร่งต่อไป โดยผู้ที่สนใจอยากมีอาชีพและมีความตั้งใจจริงในการประกอบอาชีพสามารถสมัครผ่านลิงค์ https://cheechongruay.smartsme.co.th เปิดลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 กรกฎาคม 2563 โดยจะประกาศรายชื่อผู้โชคดีที่ได้รับแฟรนไชส์ธุรกิจฟรี ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2563 ในสื่อต่าง ๆของทางพีเอ็มจี สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่ผ่านการคัดเลือกทั้ง 100 รายนี้ จะได้รับการเพิ่มพูนทักษะความรู้กับสัมมนาออนไลน์ ในหัวข้อ “เทคนิคการบริหารร้านอย่างไรให้ได้ล้าน” เพื่อปรับพื้นฐานในการทำธุรกิจให้อยู่รอดและสร้างรายได้อย่างยั่งยืนต่อไป”

TORO FRIES เฟรนช์ฟรายส์ยาว หนึ่งในธุรกิจแฟรนไชส์ที่ร่วมแจกอาชีพฟรีในโครงการฯ คุณชานนท์ เเสงมณี เจ้าของแฟรนไชส์ กล่าวถึงความรู้สึกที่เข้าร่วมโครงการฯว่า “ผมตัดสินใจเข้าร่วมโครงการนี้เพราะต้องการช่วยเหลือสังคม และผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากพิษโควิด-19 โดยร่วมแจกอุปกรณ์เพื่อประกอบอาชีพขายเฟรนช์ฟรายส์ จำนวน 17 ชุด มูลค่ารวม 160,000 บาท เฟรนซ์ฟรายส์เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ มีความแปลกใหม่ และหาทานได้ยาก มองว่าหากนำไปประกอบอาชีพก็จะเป็นธุรกิจทำเงินได้” ด้านคุณรณภพ เถาว์โท เจ้าของแฟรนไชส์ PJ Pizza เป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่ร่วมสร้างอาชีพให้ผู้ที่กำลังว่างงานหรือตกงานขณะนี้กล่าวว่า “ตัวผมเองก็เริ่มจากศูนย์ ต้องใช้ความอดทน เรียนรู้ที่จะพัฒนาตนเองจึงจะประสบความสำเร็จได้ ในวิกฤตอาจเป็นโอกาสให้เรามองหาช่องทางใหม่ ๆ สำหรับธุรกิจ PJ Pizza ที่ทำอยู่นั้น ไม่น่าเชื่อว่าสามารถทำยอดขายในช่วงโควิด-19 เพิ่มขึ้น 2-3 เท่าเลยทีเดียว เพราะราคาจับต้องได้ จับตลาดกลาง-ล่าง จึงสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ในวงกว้าง มองว่าแฟรนไชส์ของเราก็จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนได้มีอาชีพลุกขึ้นสู้ต่อไป”

สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ “ชี้ช่องรวยมอบอาชีพ สร้างชีวิต สู้โควิด19” สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://cheechongruay.smartsme.co.th ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ วันที่ 10 กรกฎาคม 2563


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“พรีไซซ” เปิดอนาคตใหม่ด้วยนวัตกรรมหม้อแปลงไฟฟ้าช่วยลดพลังงาน ตอบรับมิติการใช้ชีวิตแบบใหม่ New Normal

สายธุรกิจ Power Distribution and Energy Management ในเครือบริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRECISE ผู้นำด้านการพัฒนาไฟฟ้าและพลังงานอย่างครบวงจร ภายใต้คุณธรรมและความเป็นมืออาชีพ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของพลังงานและสิ่งแวดล้อมโลกในปัจจุบันนี้ ที่กำลังแย่ลง ได้ริเริ่มคิดค้นนวัตกรรมหม้อแปลงไฟฟ้าที่ช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนและสามารถช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ สูงสุดถึง 20 % ซึ่งเป็นการปรับแผนธุรกิจที่ตอบรับมิติใหม่ เพื่อวิถีชีวิตสไตล์ New Normal ที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวจากโรคระบาดโควิด-19 ที่ยังคงเป็นปัญหาระดับโลก ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ ที่พรีไซซเดินแผนรุกธุรกิจแบบการอนุรักษ์พลังงาน

นายวิทูร เจียมจิตต์ตรง ประธานกรรมการ บริษัท พรีไซซ อีเลคตริค แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (PEM) กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่ผ่านมา พรีไซซได้ปรับแผนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจแบบ New Normal ภายใต้แนวคิด Power is Life ที่มองว่าพลังงานมีความสำคัญ ต้องใช้อย่างคุ้มค่าให้มากที่สุด โดยเป็นกลุ่มบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการรักษ์พลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนและดีที่สุด ที่สอดรับกับกรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) ของสหประชาชาติ และนำไปสู่การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (R&D) สินค้าของบริษัทฯพรีไซซ ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ตอบสนองกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมฯและกลุ่มธุรกิจต่างๆที่ต้องการการลดต้นทุน พร้อมกับดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืนและคุ้มค่า”
“สินค้าหม้อแปลงไฟฟ้าของพรีไซซทุกรุ่น ได้รับการออกแบบตามมาตรฐานของไทยและสากล อาทิเช่น TIS, IEC, ANSI, และยังสามารถออกแบบได้ตามมาตรฐานตามข้อกำหนดอื่นๆ ตามความต้องการของลูกค้า ด้วยการออกแบบสินค้าให้มีขนาดกะทัดรัดและสะดวกต่อพื้นที่การติดตั้งที่มีจำกัด แล้วยังพัฒนาเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงและมีกระบวนการผลิตที่ทันสมัยโดยอาศัยแนวคิดของการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการใช้วัตถุดิบที่ไม่จำเป็นและลดปริมาณสิ่งตกค้างในระบบนิเวศ ทำให้พรีไซซ คือ แบรนด์อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มุ่งเน้นการรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างมีคุณภาพและมีการบริการที่ดีที่สุดมาตลอด 37 ปี ที่ผ่านมา ทั้งยังมีผลงานติดตั้งทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ รวมไปถึงต่างประเทศ ตั้งแต่ บังคลาเทศ กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ได้อย่างภาคภูมิใจ”

ทุกวันนี้ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจต่างๆ ได้มีการค้นหาเทคโนโลยีใหม่เพื่อที่จะลดต้นทุนในเรื่องของการทำงานและสามารถประหยัดพลังงานได้ทั้งระบบ พรีไซซได้คิดค้นนวัตกรรม คือ หม้อแปลงไฟฟ้าแบบ Amorphous (อะมอร์ฟัส) เป็นหม้อแปลงไฟฟ้าในระบบจำหน่าย ที่คุณสมบัติพิเศษสามารถช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าทั้งระบบได้สูงสุดถึง 20 % ที่คิดค้นมาจากภายใต้แนวคิดการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งนำเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยจากความร่วมมือการผลิตกับบริษัทชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ที่ออกแบบและคัดเลือกผลิตด้วยวัตถุดิบ เครื่องจักร ที่มีคุณภาพสูง ตลอดจนฝีมือที่ชำนาญงาน จนได้รับใบรับรองผลการทดสอบครบถ้วน (Temperature Rise, Impulse Voltage and Short Circuit Withstand Test) จากสถาบันทดสอบที่ได้มาตรฐานระดับระดับโลก ดังนั้นลูกค้าที่ใช้หม้อแปลงไฟฟ้าอะมอร์ฟัสของพรีไซซ สามารถแน่ใจได้ว่าไม่เพียงแต่จะประหยัดพลังงานเท่านั้น แต่อายุการใช้งานจะมีความยาวนานกว่าและคุ้มค่า สอดคล้องกับนโยบายการประหยัดพลังงานของภาครัฐบาลและเอกชน และยังเหมาะสมกับวิถีชีวิตสไตล์ New Normal ที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม” คุณวิทูรกล่าว

สำหรับผู้ที่สนใจอยากเปลี่ยนมาใช้หม้อแปลงไฟฟ้า Amorphous ของพรีไซซ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และสามารถชมสินค้าและนวัตกรรมการจัดการพลังงานแบบอัจฉริยะ หรือดูรายละเอียดได้ที่ https://preciseproducts.in.th/ และ Line Official ID : @preciseproducts หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. (+66) 02-584-2367 , 065-528-5355


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สคบ.เน้นย้ำ สร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อผู้บริโภค

การพัฒนาคุณภาพของสังคมการบริโภค โดยการสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องให้ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ มีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงบทบาทของตนตามกฎหมาย เพราะ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เชื่อว่าหากทุกฝ่ายเข้าใจในหน้าที่ของตนเองแล้ว การเอาเปรียบ การละเมิดสิทธิ จะไม่มีสิทธิ์มาสร้างปัญหาอีกต่อไป

พบเห็นการละเมิดสิทธิผู้บริโภค หรือต้องการคำปรึกษา โทรสายด่วน สคบ. 1166


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

CAT พร้อมร่วมภาคีสมาชิก ASIA Direct Cable ผนึกกำลังสร้างเคเบิลใต้น้ำระบบใหม่ของเอเชีย-แปซิฟิก

CAT พร้อมผนึกภาคีสมาชิกสร้างเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศเส้นใหม่ Asia Direct Cable ความยาว 9,400 กิโลเมตร รองรับผู้ให้บริการคอนเทนต์ระดับนานาชาติใน Digital Park Thailand ตลอดจนแอปพลิเคชันความจุสูง และ 5G ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดแล้วเสร็จปี 2565

พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เปิดเผยเกี่ยวกับความคืบหน้าในการจัดสร้างเคเบิลใต้น้ำ ASIA Direct Cable (ADC) ในฐานะที่ CAT เป็นหนึ่งในภาคีสมาชิก ADC ว่าภาคีสมาชิกได้มีการประกาศความร่วมมือที่จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างระบบเคเบิลใต้น้ำระบบใหม่เชื่อมต่อกับประเทศจีน (เขตบริหารพิเศษฮ่องกงและมณฑลกวางตุ้ง), ญี่ปุ่น, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ไทยและเวียดนาม โดยได้คัดเลือกบริษัท NEC Corporation ให้รับหน้าที่ก่อสร้างระบบเคเบิล ADC ที่มีความยาว 9,400 กิโลเมตร คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565


 

Exit mobile version