Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจพ. พร้อมตรวจประเมินหลักสูตรนำร่อง ABET Mock Visit โดยผู้ทรงคุณวุฒิจาก ATPAC

รองศาสตราจารย์ ดร.สุเมธ อ่ำชิต ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการและประกันคุณภาพการศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 3-4 สิงหาคม 2563 เวลา 08.30 – 14.00 น. จะมีการตรวจรายงานการศึกษาตนเอง และพิจารณาความพร้อมของหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นหลักสูตรนำร่อง ภายใต้บันทึกความร่วมมือทางวิชาการระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือกับกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดยมีวัตถุประสงค์ของความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนให้สถาบันอุดมศึกษาไทยได้รับการรับรองจาก Accreditation Board for Engineering and Technology (ABET) ซึ่งเป็นมาตรฐานหลักสูตรทางด้านวิชาชีพวิศวกรรมศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก

ทั้งนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ได้ประสานงานเพื่อเชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากสมาคมวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา (Association of Thailand Professionals in America and Canada : ATPAC) เป็น Mock Program Evaluator (MPEV) ในการตรวจรายงานการศึกษาตนเอง และพิจารณาความพร้อมของหลักสูตรนำร่องดังกล่าว ผ่านทางระบบวีดิทัศน์ทางไกล และที่ห้องประชุมราชพฤกษ์ มจพ. ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย

1. Professor Dr. Methi Wecharatana
John A. Reif, Jr. Department of Civil & Environmental Engineering
New Jersey Institute of Technology (NJIT)

2. Associate Professor Dr. Vira Chankong
Departments of Computer and Data Sciences, and Electrical, Computer, and Systems Engineering
Case Western Reserve University (CWRU)

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) มุ่งส่งเสริมให้หลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษาจาก Accreditation Board for Engineering and Technology (ABET) สหรัฐอเมริกา ซึ่งการผ่านมาตรฐานดังกล่าวจะเป็นการยกระดับคุณภาพหลักสูตรทางวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยให้ทัดเทียมกับนานาชาติ

ขวัญฤทัย ข่าว-ภาพ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. รับมอบเจลแอลกอฮอล์ จากบริษัท ซีพี ออลล์

ศ.ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) รับมอบเจลแอลกอฮอล์ พร้อมด้วย ผศ.ดร.กฤษชัย ศรีบุญมา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนาสิ่งแวดล้อมและกายภาพ อาจารย์ ดร.รักนรินทร์ แสนราช ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายการคลังและกิจการทั่วไป และนางจารุวรรณ ศรีพงษ์พันธุ์กุล ผู้อำนวยการกองกลาง ร่วมกับ คุณจิร แก้วยา ผู้จัดการทั่วไป คุณสุปราณี สีนวลน้อย รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นเจลแอลกอฮอล์ 70% ขนาด 500 ml. ที่ผสมมอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยถนอมมือ จำนวน 600 ขวด เพื่อมอบให้ นักศึกษา บุคลากรทางการศึกษา มีความปลอดภัย ป้องกันการแพร่ระบาด และนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

สืบเนื่องจากทางบริษัทฯ ได้มีกิจกรรมร่วมกับมหาวิทยาลัยเพื่อสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สมัยแรกๆ ที่เน้นในโครงการลดถุงพลาสติก การคัดแยกขยะ รวมถึงลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง โดยมีผู้บริหาร มจพ. และ ผู้บริหารของบริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 ณ ห้องประชุม 215 อาคารอเนกประสงค์ มจพ.

ขวัญฤทัย ข่าว/สมเกษ ถ่ายภาพ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. วิทยาเขตระยอง จับมือ บ.ออกแบบเอกชนชั้นนำ เปิดหลักสูตรวิศวกรรมกระบวนการเคมี (CPET) พร้อมทุนบัณฑิตพันธุ์ใหม่ 4.0

รศ ดร. ปิยะพงศ์ หรรษ์ภิญโญ ประธานหลักสูตรสาขาวิชาวิศวกรรมกระบวนการเคมี (CPET) ภาควิชาวิศวกรรมกระบวนการเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตระยอง เปิดเผยว่า การเปิดรับสมัครเข้าศึกษาในหลักสูตรสาขาวิชาวิศวกรรมกระบวนการเคมี (CPET) พร้อมสนับสนุนทุนบัณฑิตพันธุ์ใหม่ 4.0 ให้กับนักศึกษาที่เข้ามาศึกษาต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี หรือเรียกสั้น ๆ ว่าหลักสูตร CPet และเปิดรับสมัครนักศึกษามาตั้งแต่ปี 2557 โดยล่าสุดได้ปรับปรุงหลักสูตรให้สามารถเรียนร่วมกับโรงงานได้แล้วเสร็จเมื่อ ปี 2562 เป็นหลักสูตรในระดับปริญญาตรี เรียนจบแล้วจะได้รับวุฒิการศึกษาเป็นหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (วศ.บ.) ได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ภายใต้โครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่แบบ Degree และสร้างกำลังคนที่มีสมรรถนะสูงสำหรับอุตสาหกรรม (New Growth Engine) ตามนโยบาย Thailand 4.0 และการปฏิรูปอุดมศึกษาไทย เพื่อผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ สนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) ครอบคลุมจนกระทั่งปีงบประมาณ 2562-2565 (4 ปี) หลักสูตรดังกล่าวเน้นการผลิตวิศวกรรมศาสตรบัณฑิตเฉพาะทางสาขาวิศวกรรมควบคุมให้กับภาคอุตสาหกรรมและภาคสังคมในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยเป็นสาขาวิชาที่ตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมแถบนั้นเป็นอย่างดี ทั้งนี้นักศึกษาในชั้นปีที่ 3 ฝึกงานแบบสหกิจกับภาคอุตสาหกรรม 4 เดือน โดยจัดการเรียนการสอนที่บูรณาการกับการทำงาน (Work-integrated Learning : WIL) และนำโจทย์จากภาคอุตสาหกรรม มาให้นักศึกษาฝึกฝนในการแก้ปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของปริญญานิพนธ์ (4 เดือน) ก่อนจบการศึกษา ระหว่างเรียนได้ทำงานจริง ปฏิบัติร่วมกับบริษัทชั้นนำ และยังได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทชั้นนำ หลักสูตร CPet นี้ตอบโจทย์ทุกอุตสาหกรรมดิจิทัลในยุคนี้จริง ๆ

ความโดดเด่นของหลักสูตร CPet ) ที่แตกต่างจากที่อื่นนั้นคือ

(1) เน้นความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายอุตสาหกรรมภาคตะวันออก จัดการเรียนการสอนแบบเชิงบูรณาการกับการทำงานจริงในการคาดหวังกับสมรรถนะและทักษะที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการ (Outcome-Based. Education (OBE) on workplace requirement) ผ่านโครงการสหกิจศึกษา (Co-operative internship) สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาคการศึกษาที่ 1 (ระยะเวลา 4 เดือน ในการออกภาคสนาม) กับหน่วยงานภาคอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (Biofuels and Biochemicals) และอุตสาหกรรมธุรกิจพลังงานทดแทน (Renewable energy) และเครือข่ายโรงไฟฟ้า (Power Plant groups) ควบคู่กับการประยุกต์ใช้ความรู้ทางทฤษฎีที่ได้จากการเรียน บูรณาการเข้ากับประสบการณ์การฝึกปฏิบัติลงมือทำจริงในโครงการสหกิจศึกษา โดยซึบซับเทคนิควิธีการแก้ไขปัญหา/ศึกษารูปแบบการทำงาน/เรียนรู้วัฒนธรรมองค์กร/รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากวิศวกรพี่เลี้ยงจากภาคอุตสาหกรรมที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เพื่อนำไปสู่การผลิตวิศวกรควบคุมที่พร้อมทำงานในภาคอุตสาหกรรม

(2) เน้นต่อยอดกระบวนการเรียนรู้ หลังจบโครงการสหกิจศึกษา เพื่อเชื่อมไปสู่โครงการปริญญานิพนธ์ร่วม (The mutual student project) นำข้อมูลปัญหาหรือโจทย์จากภาคอุตสาหกรรมมาพัฒนาต่อยอดให้เกิดงานวิจัยและพัฒนา ก่อให้เกิดองค์ความรู้ที่ตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง ภายใต้รูปแบบการเรียนร่วมกับการทำงาน (Work-integrated Learning, WiL) ผ่านการลงนามสัญญาการเก็บรักษาความลับ (Non-Disclosure Agreement, NDA) โดยจัดตารางเรียนสลับการทำงาน (Sandwich course)

(3) เชิญวิทยากรพิเศษ/วิศวกรอาวุโส/ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งในและต่างประเทศ ที่มีประสบการณ์ 10-15 ปี ขึ้นไป จากบริษัทเอกชนชั้นนำ และหรือบริษัทในภาคอุตสาหกรรมในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ร่วมสอนให้ความรู้ เพิ่มพูนทักษะ ชี้นำวิธีการแก้ไขปัญหา จากประสบการณ์การทำงานจริง ในสายงานด้านการออกแบบทางวิศวกรรม (Engineering design) การจัดการ/จัดหา/จัดซื้อ (Procurement and purchasing) ควบคุมโครงการและดำเนินการก่อสร้าง (Constructive management) หรือเรียกชื่อย่อว่าทักษะด้านงาน EPC – Engineering, Procurement and Construction รวมถึงการอบรมเสริมทักษะภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมสอบ TOEIC เพื่อให้นักศึกษามีพื้นฐานแน่น ๆ การตะลุยโจทย์ TOEIC ทำให้ผู้เรียนสามารถฝึกฝนและเตรียมตัวก่อนลงสนามจริง อัพคะแนนถึงตามมาตรฐานสากล ก่อนจบการศึกษา

(4) มีการนำเทคโนโลยีประเภทโปรแกรมช่วยออกแบบ หรือซอฟต์แวร์ด้านงานออกแบบ และจำลองกระบวนการแบบถูกลิขสิทธิ์ อาทิ MATLAB & Simulink, ASPEN Plus process simulation for chemicals, ANSYS Fluent, Applied Flow Technology (AFT), Intergraph SmartPlant 4 packages (P&ID, 3D, Electrical and Instrumentation), SolidWork and SolidPlant P&ID and 3D พร้อมอัพเดทฐานข้อมูลจำเพาะที่ทันสมัย ถูกบรรจุใช้งานในหลักสูตร เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน และสมรรถนะการเรียนรู้ของผู้เรียน นําความรู้ไปใช้ต่อยอดในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์และผลิตนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยร่วมมือกับ 3 บริษัทชั้นนำด้านการออกแบบและจำลอง

(5) อบรมเสริมสมรรถนะ ภายใต้ทุนสนับสนุนจาก กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำหรับโครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ 4.0 แบบ Degree ด้าน Advanced knowledge of ASME codes ด้าน Hazard and Operability Study (HAZOP) ด้าน Energy Optimization & Management ด้านผู้ควบคุมหม้อน้ำ, มลพิษอากาศ, มลพิษน้ำเสีย และกากมลพิษ ด้าน Online Marketing หรือ Digital Marketing และด้าน 3D visualization and virtual reality (VR) และ

(6) มุ่งยกระดับมาตรฐานคุณภาพหลักสูตร ให้เป็นที่ยอมรับ การรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ (Thailand Accreditation Body for Engineering Education: TABEE) หลักสูตร CPet ตอบโจทย์บัณฑิตพันธุ์ใหม่ 4.0 อย่างแท้จริง ทั้งในด้านกระบวนการเรียนรู้และเทคโนโลยีจาการฝึกงานสหกิจภาคสนาม รวมถึงการฝึกปฏิบัติลงมือทำจริงในโครงการสหกิจศึกษา

ส่วนการเปิดรับสมัครหลักสูตร CPet จะเป็นกลุ่มนักศึกษาที่เปิดรับสมัคร ผู้มีวุฒิ ม.6 (สายสามัญ หรือมีผลงานนวัตกรรม) และสำหรับผู้มีวุฒิ ปวช. และ ปวส. (สาขาเคมี) โดยจะเปิดรับสมัครรอบที่ 1 (TCAS#1) ถึงรอบที่ 5 (TCAS#5) ของทุกปี

รศ. ดร. ปิยะพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจบการศึกษาในหลักสูตร CPet บัณฑิตสามารถต่อยอดลักษณะงาน EPC และลักษณะงานที่เกี่ยวกับงานควบคุมการผลิต งานพิจารณาตรวจสอบ และการอำนวยการใช้ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องปฏิกรณ์ในเครือข่ายโรงไฟฟ้า (Power Plant) เช่น โรงไฟฟ้าชีวมวล โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะชุมชน และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น ผ่านการใช้ระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าและความร้อนร่วม (Combined heat and power หรือ CHP) งานพิจารณาตรวจสอบคุณภาพน้ำป้อนที่จะนำไปใช้ในหม้อไอน้ำ (Boiler feed water) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (Biofuels and Biochemicals) อุตสาหกรรมในโรงงานต้นแบบ (เช่น โรงงานแบตเตอรี่ จำพวกเซลล์อิเลคโทรไลต์) และพลังงานทดแทน เช่น โซลาร์เซลล์ ไบโอดีเซล ไบโอเอทานอล เป็นต้น เพื่อควบคุมกระบวนการผลิตให้มีความปลอดภัย ลดการปล่อยมลพิษ และเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ตามลำดับ

นอกจากนี้ยังมีคอร์สอบรมเสริมทักษะ online Marketing หรือ Digital Marketing สอนแบบเจาะลึก ชี้ช่องทางเทคนิคการตลาดที่ใช้จริง จากประสบการณ์การทำตลาดออนไลน์จริงโดยทีมวิทยากรมืออาชีพ เสริมทัพด้วยการอบรมเสริมทักษะ 3D visualization and virtual reality (VR) ที่สามารถนำความรู้ทางด้านเทคโนโลยีดิจิตอลเข้าไปใช้ในกระบวนการภาคอุตสาหกรรมได้ การเข้ามาเรียนในหลักสูตร CPet อนาคตสดใสแน่นอน มีตลาดแรงงานภาคอุตสาหกรรมอีกมากที่รองรับสาขาด้านนี้ เมื่อจบไปสามารถเข้าไปปฏิบัติงานในภาคอุตสาหกรรม สามารถควบคุมและพิจารณาตรวจสอบข้อกำหนดตามมาตรฐานสากลต่าง ๆ ลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปรับปรุงเทคนิคกระบวนการผลิต รวมถึงประเมินความเป็นไปได้ในการลงทุนทั้งด้านเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ และปฏิบัติหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้อง โอกาสความก้าวหน้าในสายอาชีพนั้นมีแนวโน้มค่อนข้างสูง เพราะปัจจุบันงานสำหรับวิศวกรรมกระบวนการเคมีส่วนใหญ่ สามารถรองรับกับอุตสาหกรรมเคมีต้นน้ำ (Upstream) และปลายน้ำ (Downstream processing) ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply-chain) ของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

สอบถามได้ที่ สาขาวิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมกระบวนการเคมี ภาควิชาวิศวกรรมกระบวนการเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตระยอง หรือที่เฟสบุ๊ก https://www.facebook.com/CPet.Kmutnb.Rayong/ หรือ โทรศัพท์ 080-044-9344 (ในเวลาราชการ)

ขวัญฤทัย ข่าว-ภาพ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. โชว์นวัตกรรมตู้ตรวจโรคโควิด -19 ความดันบวก สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) สนับสนุนสร้างนวัตกรรมสู้ภัยโควิด-19 โดยการผนึกกำลังของคณะและส่วนงานต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัย ร่วมกับศิษย์เก่า องค์กรเครือข่ายพันธมิตรของมหาวิทยาลัยด้านการวิจัยและเทคโนโลยี เพื่อรับมือกับความท้าทาย ตอบโจทย์ และพลิกวิกฤติเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเหลือสังคม นักศึกษา และสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่แนวหน้าทุกคนได้เข้าถึงงานวิจัย-นวัตกรรมช่วยเหลือสู้ภัยเชื้อไวรัสโควิด-19

นวัตกรรมที่สร้างมาจากองค์ความรู้ด้านการวิจัยของมหาวิทยาลัยและได้ส่งมอบใช้งานแล้ว ได้แก่ ตู้ตรวจโรคโควิด -19 ความดันบวก โดยเมื่อที่ 19 มิถุนายน 2563 ณ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร รศ.ดร.สันชัย อินทพิชัย รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนากิจการมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ประธานพิธีส่งมอบตู้ตรวจโรคโควิด -19 ความดันบวก พลตรี ธไนนิธย์ โชตนภูติ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร เป็นผู้รับมอบ เพื่อเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่มีความปลอดภัยในการคัดกรองโรคได้ โดยมี อาจารย์ ดร.เต็มสิริ ทรัพย์สมาน รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม ภาควิชาวิศวกรรมการผลิต คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจพ. หัวหน้าโครงการ “ตู้ตรวจโรคโควิด-19 ความดันบวก” ร่วมเป็นสักขีพยาน พร้อมคณะผู้บริหารสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร ร่วมพิธีดังกล่าว

อาจารย์ ดร.เต็มสิริ ทรัพย์สมาน เปิดเผยว่า นวัตกรรมตู้ตรวจโรคโควิด-19 ความดันบวก ก่อนหน้านี้ได้ออกแบบตู้ตรวจโรคความดันบวกเป็นตู้ต้นแบบแล้ว จัดสร้างด้วยเงินรายได้ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มจพ. โดยตู้ต้นแบบได้ไปทดลองที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรแล้ว ได้ผลการตอบรับที่ดีจากทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน แผนถัดไปก็จะสร้างตู้และมอบให้แก่โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ ต่อไป สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังมีความรุนแรงต่อเนื่อง กอปรกับความต้องการตู้ฆ่าเชื้อโรคโควิด-19 ก็ยังมีความต้องการอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ มจพ. มีนโยบายเพื่อการระดมทุนช่วยเหลือโรงพยาบาลต่าง ๆ สอดรับกับความต้องการตู้ตรวจโรคโควิด -19 ความดันบวก ที่ได้จัดสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหารใช้ประโยชน์ในการตรวจคัดกรองคนไข้หาเชื้อโรคโควิด-19 ใช้งบประมาณจัดสร้างตู้ละ 75,000 บาทและค่าขนส่งตู้ละ 10,000 บาท ซึ่งบริษัทที่ช่วยจัดสร้างตู้ดังกล่าว เป็นหนึ่งในทีมวิจัยด้วย ทั้งนี้ ตู้นี้ได้รับบริจาคเครื่องปรับอากาศจากบริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์-มหาจักร แอร์ คอนดิชั่นเนอร์ส จำกัด หรือ (MACO) ร่วมกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชา ระยะเวลาในการจัดสร้างประมาณ 1 เดือน โดยมีทีมงานวิจัย ตู้ตรวจโรคโควิด-19 ความดันบวก มาจากหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย (1) รศ.ดร.อุดมเกียรติ นนทแก้ว คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มจพ. หัวหน้าทีม (2) อาจารย์ ฐิฎิมา อัมพวรรณ คณะสถาปัตยกรรมและการออกแบบ มจพ.ออกแบบสติกเกอร์ตู้ (3) ผศ.ดร.ยอดชาย เตียเปิ้น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชา นักวิจัย (4) อาจารย์ ดร.ไทยทัศน์ สุดสวนสี มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ นักวิจัย (5) ดร.ธาเนตร แสงสว่างมาตุ้ม บริษัท Turbo Fluid Corporation จัดสร้าง ทดสอบ และติดตั้ง และ (6) คุณสุรชัย คงอุไร บริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์-มหาจักร แอร์คอนดิชั่นเนอร์ส จำกัด หรือ (MACO) บริจาคเครื่องปรับอากาศ

ตู้ตรวจโรคโควิด-19 ความดันบวก เป็นตู้กรองอากาศที่สามารถป้องกันอันตรายและการปนเปื้อนจากการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน มีคุณสมบัติพิเศษและจุดเด่นของนวัตกรรมใหม่ จะคงความดันภายในที่ 7.47 ปาสคาล ซึ่งหมายถึงตู้ขณะทำการตรวจเชื้อต้องมีความดันเป็นบวก โดยจะดูดอากาศเข้าภายในตู้ผ่านแผ่นกรอง HEPA ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อคงความดันในตู้ให้เป็นบวก ที่ 7.47 ปาสคาล ซึ่งจะทำให้อากาศจากภายนอกไม่สามารถเข้าไปในตู้ในช่องทางอื่นได้ บุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในตู้จะไม่ได้รับเชื้อโควิด-19 ขณะทำการตรวจผู้ป่วย ทำให้อากาศที่ไม่ได้กรองภายนอกก็จะไม่สามารถเข้าไปได้ กล่าวคือความดันบวก : เมื่อต้องการตรวจเชื้อโดยแพทย์อยู่ด้านใน เหมาะกับการใช้งานกับคนไข้นอก OPD ที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก โดยติดตั้งภายนอกอาคารที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี ทำให้การตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 มีความปลอดภัย สำหรับใช้ตรวจวินิจฉัย (Swab) โดยไม่ต้องสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย ด้านการออกแบบทรงสี่เหลี่ยมแนวตั้งสำหรับผู้ป่วย 1 คน ต่อ 1 ห้อง ขนาดตู้กว้าง 1.2 x ยาว 1.2 x สูง 2.5 เมตร แบบติดตั้งภายนอกอาคาร ระบบบําบัดอากาศ HEPA Filter อุปกรณ์แสดงผลความดันบรรยากาศ และอุปกรณ์สื่อสารระหว่างภายในและภายนอก ตู้ตรวจโรคโควิด-19 ความดันบวก เป็นห้องตรวจเชื้อความดันบวกแบบเคลื่อนที่ (Positive Pressure) ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อขณะทำการตรวจวินิจฉัย จึงปลอดภัยต่อแพทย์และเจ้าหน้าที่ โครงสร้างผลิตจากโลหะปลอดสนิม ผนังด้านหน้า-ด้านข้าง ทำจาก Plexiglass แผงควบคุมใช้ไฟแสดงการทำงาน ปุ่มเปิด-ปิดหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์พร้อมปุ่มควบคุมการทำงานเครื่องปรับอากาศ ส่วนการสื่อสารใช้ผ่านอินเตอร์คอมหรือไมโครโฟน และติดตั้งเครื่องปรับอากาศขนาด 9,000 BTU ตู้ตรวจโรคโควิด-19 ความดันบวก อีกหนึ่งความปลอดภัย ที่ติดตั้งง่าย เคลื่อนย้ายสะดวกที่พัฒนาขึ้นโดยทีมวิจัย จาก มจพ. หากหน่วยงานใด สนใจสามารถติดต่อผ่าน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจพ.

โอกาสนี้ขอเชิญศิษย์เก่า ผู้ปกครองและผู้มีจิตศรัทธาทุก ๆ ท่าน ร่วมบริจาคสมทบทุนกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ต้านภัยโควิด-19 เพื่อนำเงินบริจาคร่วมจัดทำนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ สามารถโอนเงินเข้าบัญชี ชื่อบัญชี “กองทุนพัฒนามหาวิทยาลัยและต้านภัยโควิด มจพ.” ธนาคารกรุงเทพ สาขา มจพ. เลขที่บัญชี 907-3-50043-2 ใบเสร็จรับเงินในการบริจาคสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า

“ตู้ตรวจโรคโควิด-19 ความดันบวก” ถือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ นอกจากจะตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัยแล้ว ความสะดวกในการใช้งาน ทั้งการติดตั้งและเคลื่อนย้าย ใช้งานได้จริง เป็นสิ่งที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องการ เพื่อการใช้งานอย่างไม่มีข้อจำกัด โดย มจพ. ได้จัดสร้างและส่งมอบตู้ตรวจโรคโควิด-19 ความดันบวกนี้ให้แก่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร สำหรับใช้ประโยชน์ เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเป็นด่านแรกของการต่อสู้กับวิกฤติการณ์ COVID-19”

ขวัญฤทัย ข่าว-ภาพ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร (Plant Factory) เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ยุค “เกษตร 4.0”

รองศาสตราจารย์วันชัย แหลมหลักสกุล หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมระบบไซเบอร์-กายภาพทางการผลิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) และผู้เชี่ยวชาญโปรแกรม ITAP สวทช. เปิดเผยว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) หนุนโปรแกรมไอแทปช่วยผู้ประกอบการพัฒนาระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร ปลูกผักและผลไม้ออแกนิกในห้องพักอพาร์ทเมนท์ เป็นโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP: ไอแทป) ให้การสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญโปรแกรม ITAP จากอาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ร่วมด้วยบริษัท ลอฟท์ บิวเดอร์ จำกัด ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง ที่แตกไลน์ธุรกิจ นำเทคโนโลยีระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร หรือ Plant Factory มาใช้กับการปลูกพืชออแกนิกในห้องพักอพาร์ทเมนท์ใจกลางเมืองของบริษัทฯ เป็นการช่วยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร หรือ Plant Factory ทำให้ห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ขนาด 10 ตารางเมตรในอพาร์ทเมนท์ใจกลางเมือง สามารถเป็นต้นแบบห้องที่ปลูกผักและผลไม้ออแกนิกชนิดต่าง ๆ เช่น สตรอว์เบอร์รี Kale และสมุนไพรเมืองหนาว อาทิ พาสเลย์และดอกไม้กินได้ สำหรับไว้ปั่นรับประทานได้ทุกฤดูกาล พร้อมเป็นสถานที่ดูงานของลูกค้าบริษัทฯ ที่สนใจจะทำระบบฟาร์มเกษตรในอาคารได้เห็นต้นแบบของธุรกิจประเภทนี้ เพราะผักและผลไม้ออแกนิกที่ปลูกเป็นพืชที่มีมูลค่าสูงในตลาด ราคาแพง และการลงทุนของเทคโนโลยีนี้เกษตรกรหรือผู้สนใจสามารถจะพอลงทุนได้ด้วยกำลังของตนเอง

การปลูกพืชในอาคารนั้นเหมาะสมต่อการเพาะปลูกผักและผลไม้บางชนิด ส่วนใหญ่เป็นผักใบ และผักผลไม้เมืองหนาว เช่น ผักสลัด สมุนไพร และสตรอว์เบอร์รี เป็นต้น จึงยังไม่หลากหลายและมีขนาดตลาดที่จำกัดอยู่เฉพาะผู้บริโภคบางกลุ่ม เช่น โรงพยาบาลเอกชนระดับบนที่ต้องการผักและผลไม้ปลอดสารพิษเพื่อให้บริการผู้ป่วย ร้านอาหารและโรงแรมที่ให้บริการอาหารเพื่อสุขภาพ ครัวเรือนที่มีรายได้ระดับปานกลางค่อนไปทางสูง เป็นต้น แต่ในต่างประเทศกระแสซุปเปอร์มาเก็ตปลูกผักเองในอาคารตามห้างสรรพสินค้าหรือตามสถานีรถไฟใต้ดินกำลังได้รับความนิยมทั่วทั้งยุโรป อเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งจะเน้นปลูกผักที่มีคุณภาพสูง อุดมด้วยสารอาหาร โดยจุดเด่นคือ ผักที่ปลูกแบบนี้ทั้งสด สะอาด ปลอดภัยจากยาฆ่าแมลง แถมยังมีรสชาติกรอบอร่อยกว่าผักที่ปลูกแบบเดิม


ระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร (Plant Factory) ในไทย โดยทั่วไปมีวัตถุประสงค์หลัก คือ ผลิตพืชผักและผลไม้เมืองหนาว เนื่องจากข้อจำกัดด้านภูมิอากาศให้มีการเจริญเติบโตที่ดี และให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยควบคุมและใช้ปัจจัยการผลิต เช่น การให้แสง การให้น้ำ แร่ธาตุอาหาร และปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ในขณะที่ปลดปล่อยของเสียสู่สภาพแวดล้อมน้อยที่สุด และใช้ต้นทุนในการผลิตต่ำ

เนื่องจากระบบฟาร์มเกษตรในอาคารนั้นเป็นระบบที่ประหยัดการใช้ทรัพยากร ทั้งน้ำ แร่ธาตุอาหาร พื้นที่เพาะปลูก และแรงงาน รวมถึงยังสามารถควบคุมปริมาณและคุณภาพผลผลิตได้ตามที่ต้องการ จึงช่วยลดความผันผวนในด้านปริมาณและคุณภาพของผลผลิตได้ดีกว่าการเกษตรแบบดั้งเดิม จึงเป็นหนึ่งในเทรนด์สำคัญของภาคการเกษตรที่ค่อย ๆ มีบทบาทในเชิงพาณิชย์มากขึ้นในไทย โดยเทคโนโลยีระบบฟาร์มเกษตรของบริษัทฯ สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมด้วยระบบอัตโนมัติ เช่น อุณหภูมิ แสงเทียม (LED) เพื่อการสังเคราะห์แสงของพืช ซึ่งกระบวนการสังเคราะห์แสงนี้จะผ่านแสงจากหลอดไฟ LED ที่มีการควบคุมความเข้มของแสง คลื่นความถี่และระยะเวลาของแสงในแต่ละช่วงการปลูก เพื่อให้มีความคล้ายคลึงกับการสังเคราะห์แสงจากดวงอาทิตย์ ทั้งนี้การใช้แสง LED จะช่วยลดระยะเวลาการปลูกลงได้ครึ่งหนึ่งของระยะเวลาการเติบโต อีกทั้งยังมีการควบคุมลมและความชื้นในอากาศ หากความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศต่ำกว่ากำหนด ระบบจะเชื่อมต่อกับระบบพ่นละอองน้ำแบบพิเศษเพื่อปรับความชื้นสัมพัทธ์ให้อยู่ในช่วงที่กำหนด โดยตั้งค่าการทำงานผ่านแอปพลิเคชัน สามารถปรับตั้ง แก้ไข ควบคุมการทำงานผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตจากนอกสถานที่ได้ โดยระบบจะควบคุมพารามิเตอร์ต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด”

ผู้ประกอบการที่สนใจเทคโนโลยีและขอรับการสนับสนุนภายใต้โครงการยกระดับผักและผลไม้ไทย : โอกาสสำหรับพัฒนาเกษตรกรรมสู่ความยั่งยืน ด้านโรงเรือนอัจฉริยะ สามารถติดต่อขอรับการบริการได้ที่ โปรแกรม ITAP สวทช. โทร 0 2 564 7000 ต่อ 1301 หรืออีเมล panita@nstda.or.th

ขวัญฤทัย ข่าว


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. ร่วมขับเคลื่อนเปิดศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC)

ศ.ดร.สมฤกษ์ จันทรอัมพร รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นประธานเข้าร่วมการประชุม (Kick off) ร่วมขับเคลื่อนศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) พร้อมด้วย ผศ.ดร.พีรพงษ์ พรวงศ์ทอง รองคณบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนา คณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยเป็นตัวแทนด้านการศึกษาดำเนินการโครงการในพื้นที่ เพื่อร่วมขับเคลื่อนศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC) พ.ศ 2563 ของจังหวัดนนทบุรี โดยเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นการประชุมด้วยแอปพลิเคชัน Zoom ที่ได้เปิดศูนย์อย่างเป็นทางการและประชุมครั้งแรก (เป็นการ Kick off) ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 9 อาคารสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มจพ. โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐ (ส่วนราชการและมหาวิทยาลัย) และเอกชนเป็นภาคีเครือข่ายการทำงานร่วมกับจังหวัดนนทบุรี โดยมีเฉพาะส่วนงานและสำนักในวิทยาเขตกรุงเทพ ส่วน มจพ. วิทยาเขตปราจีนบุรีจะเป็นศูนย์ AIC ปราจีนบุรี ส่วน มจพ. วิทยาเขต ระยองจะเป็นศูนย์ AIC ระยอง

สำหรับ มจพ. มีความพร้อมในการทำงานร่วมกับภาครัฐและเกษตรกร โดยมีแนวคิดเชื่อมโยงงานวิจัย นวัตกรรม IOT ของ มจพ. กับการทำการเกษตรในรูปแบบแปลงใหญ่ หรือการพัฒนาต่อยอดการเกษตรที่เป็นสินค้าเด่นของจังหวัดนนทบุรี รวมถึงการจัดทำ Business Plan และการเชื่อมโยง E–commerce จะเป็นการดำเนินการตามแนวทางการเกษตรสมัยใหม่

สืบเนื่องจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีพิธีเปิดศูนย์ Agritech and Innovation Center (AIC) พร้อมกันทั่วประเทศ 77 จังหวัด โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ร่วมด้วย นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้แทนจากมหาวิทยาลัย/สถาบันการศึกษา 77 จังหวัดทั่วประเทศ เป็นการขับเคลื่อนการเกษตรสมัยใหม่ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 คือ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และภูมิปัญญาในการพัฒนาสินค้าเกษตร เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าเกษตรให้ปลอดภัยต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้จัดตั้งศูนย์กลางทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตรในชื่อ “ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม” (Agritech and Innovation Center หรือ AIC) โดยมี

วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันภาคเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม สนับสนุนและส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์นวัตกรรม รวมทั้งเครื่องจักรกลการเกษตร และยังเป็นศูนย์อบรมบ่มเพาะเกษตรกร สนับสนุน Smart Farmer รวมถึง Young Smart Farmer ในแต่ละจังหวัด ตลอดจนผลักดันงานเทคโนโลยีและนวัตกรรมผ่านการวิจัย การพัฒนา การลงทุน การแปรรูปและการบริหารจัดการเชิงพาณิชย์
ศูนย์ AIC ถือเป็นศูนย์กลางในการบริการเกษตรกร เป็นที่รวบรวมองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร สามารถนำองค์ความรู้ต่าง ๆ ไปใช้พัฒนาต่อยอดการผลิต สามารถลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร ให้สินค้ามีคุณภาพและได้มาตรฐาน

ขวัญฤทัย ข่าว /สมเกษ ถ่ายภาพ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะอุตสาหกรรมเกษตร มจพ. วิทยาเขตปราจีนบุรี รับสมัครนักศึกษาใหม่ วุฒิ ปวช. ครั้งแรก (TCAS รอบ 5)

อาจารย์มีชัย ลัดดี รองคณบดีฝ่ายวิชาการและประกันคุณภาพการศึกษา คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตปราจีนบุรี แจ้งข่าวประชาสัมพันธ์ การรับสมัครนักศึกษาใหม่ สำหรับผู้มีวุฒิ ปวช. (TCAS รอบ 5) ในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การอาหารและการจัดการ (FSM) (B.Sc. Food Science and Management) คุณสมบัติของผู้สมัครต้องมีวุฒิ ปวช. (TCAS รอบ 5) ในสาขาคหกรรม หรือการจัดการอุตสาหกรรม หรือสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

อาจารย์มีชัย เล่าให้ฟังว่า เป็นครั้งแรกที่คณะอุตสาหกรรมเกษตร มจพ. วิทยาเขตปราจีนบุรี เปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่วุฒิ ปวช. เพราะเล็งเห็นว่าหลักสูตรนี้เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีวุฒิ ปวช. ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์การอาหารที่มีความสามารถด้านการจัดการ โดยทางคณะฯได้จัดการศึกษาตามสาขาวิชาที่เปิดสอน เพื่อพัฒนากำลังคนระดับฝีมือ และระดับผู้ชำนาญการกับการบริหารด้านอุตสาหกรรม เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน สภาพเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีในปัจจุบัน สามารถเป็นหัวหน้างานฝ่ายต่าง ๆ หรือเป็นผู้ประกอบการ และการประกอบอาชีพอิสระได้ โดยเน้นการแก้ปัญหา สร้างองค์ความรู้ในอาชีพ หลักสูตรนี้เรียกว่าเป็น “หลักสูตรปริญญาตรีสายปฏิบัติการที่เข้มข้นทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ”ตลอดหลักสูตร ใช้เวลาเรียน 4 ปี เมื่อจบการศึกษาได้รับวุฒิปริญญาตรี ในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สามารถไปประกอบอาชีพได้ทั้งงานเอกชนและงานราชการ

จุดเด่นหลักสูตร เป็นหลักสูตรที่ผสมผสานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร (60%) กับการบริหารจัดการอุตสาหกรรมอาหาร (40%) เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลกำไร ซึ่งเป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมอาหารเป็นอย่างมาก
จริง ๆ แล้วในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การอาหารและการจัดการ เมื่อจบการศึกษาไปแล้ว นักศึกษาสามารถไปทำงานได้หลากหลาย อาทิ หัวหน้างานฝ่ายต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมอาหาร ที่เกี่ยวกับฝ่ายเพิ่มผลผลิต ฝ่ายควบคุมคุณภาพ ฝ่ายวางแผนการผลิต ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายโลจิสติกส์ ฝ่ายการตลาด นักวิทยาศาสตร์การอาหาร ข้าราชการ ครู อาจารย์ เจ้าของธุรกิจ/ผู้ประกอบการ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการศึกษาต่อด้านอุตสาหกรรมอาหาร อาจารย์มีชัย กล่าวท้ายที่สุด

กำหนดการรับสมัคร มีรายละเอียดดังนี้ 1) รับสมัครทางอินเตอร์เน็ต วันที่ 1-15 มิ.ย. 2563 2) ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ วันที่ 17 มิ.ย. 2563 3) สอบสัมภาษณ์ วันที่ 19 มิ.ย. 2563 4) ประกาศผลสอบคัดเลือก วันที่ 20 มิ.ย. 2563 และ 6) ชำระเงิน วันที่ 22-26 มิ.ย. 2563

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม อาจารย์มีชัย ลัดดี โทรศัพท์ 0909409199 และสมัครได้ที่ http://www.admission.kmutnb.ac.th หรือเข้าไปที่ Facebook: คณะอุตสาหกรรมเกษตร มจพ.
วิทยาเขตปราจีนบุรี

ขวัญฤทัย ข่าว –ภาพ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะอุตสาหกรรมเกษตร มจพ. วิทยาเขตปราจีนบุรี จัดโครงการ “ปันน้ำใจสู้ภัยโควิด 19” ช่วยเหลือชุมชน

สโมสรนักศึกษาคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตปราจีนบุรี ได้จัดโครงการ “ปันน้ำใจสู้ภัยโควิด 19 จากชาวคณะอุตสาหกรรมเกษตร มจพ.ปราจีนบุรี” เพื่อเป็นการบรรเทาและช่วยเหลือชุมชนที่อยู่โดยรอบตามนโยบายของมหาวิทยาลัย เป็นความร่วมมือจากอาจารย์และบุคลากรในคณะ นักศึกษา ศิษย์ปัจจุบันและศิษย์เก่า รวมทั้งภาคเอกชนหลายบริษัท อาทิ บริษัทซีพีไอไรซ์ สหกรณ์โคนมวังน้ำเย็น จำกัด บริษัท Star cannery จำกัด ผู้ผลิตปลากระป๋อง ตราปาปี้ (PaPi) บริษัทไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) บริษัทเบทาโกร จำกัด (มหาชน) และบริษัทซันฟูดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นต้น

ภายใต้โครงการนี้ คณะอุตสาหกรรมเกษตรเน้นจัดการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร การแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร และการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อส่งมอบให้กับชุมชน โดยเน้นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ สามารถบริโภคได้ทันที และเก็บไว้รับประทานได้นานหลายวัน ดังนั้นจึงเลือกใช้กระบวนการผลิตที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษา อาศัยหลักการทำงานร่วมกันของกระบวนการต่าง ๆ (Hurdle technology) จำนวน 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่

1. น้ำพริกปลาป่น ซึ่งเลือกวัตถุดิบหลักเป็นปลานิลจากสหกรณ์ประมงนิคมบ้านสร้างพัฒนาปราจีนบุรี จำกัด โดยนำมาแปรรูปนึ่งให้สุก ขูดเอาเฉพาะส่วนเนื้อมาทอดให้แห้งฟู นำมาคลุกผสมกับสมุนไพร ได้แก่ พริกแห้ง หอมเจียว กระเทียมเจียว และน้ำมะขามเปียก จากนั้นนำเข้าตู้อบลมร้อนเพื่อไล่น้ำมัน ซึ่งจะทำให้น้ำพริกมีลักษณะแห้ง ไม่อมน้ำมัน และเก็บได้นาน

2. น้ำพริกกะปิปลาทู ส่วนผสมประกอบด้วย กะปิ น้ำตาลปี๊บ พริกสด น้ำมะนาว และกระเทียม และเพิ่มความพิเศษโดยการผสมเนื้อปลาทูนึ่งที่นำไปคั่วจนฟูเพื่อเป็นการเสริมคุณค่าสารอาหารโปรตีน

3. พะแนงไก่บรรจุกระป๋อง พัฒนาเข้มข้นด้วยเครื่องแกงสมุนไพร และใช้กระบวนการฆ่าเชื้อระดับสเตอริไลซ์ ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย และมีอายุการเก็บที่นาน

นอกจากนี้คณะอุตสาหกรรมเกษตร ได้ดำเนินการผลิตแอลกอฮอล์สำหรับทำความสะอาดมือ สูตรความเข้มข้นเอทานอล 75% ทั้งชนิดสเปรย์และเจล เพื่อแจกจ่ายให้กับชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะในเขตชุมชนตำบลเนินหอม และตำบลเนินบาก อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี ทั้งนี้จะมีการแจกจ่ายสิ่งของทั้งหมด 3 ครั้งในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน พ.ศ. 2563 โครงการนี้คาดว่าจะมีชาวบ้านที่เข้าร่วมรับสิ่งของไม่ต่ำกว่า 500 ครัวเรือน ซึ่งน่าจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือชาวบ้านให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในช่วงวิกฤตินี้อีกระดับหนึ่ง

ท่านใดหรือหน่วยงานใดสนใจผลิตภัณฑ์สามารถติดต่อเข้ามาที่ ศูนย์วิจัยอุตสาหกรรมเกษตร มจพ. วิทยาเขตปราจีนบุรี โทรศัพท์ อาจารย์ ดร.พนิดา เรณูมาลย์ โทร. 099-2619-990

ขวัญฤทัย ข่าว-ภาพ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. จับมือโรงเรียนช่างฝีมือทหารพัฒนา “ตู้อบฆ่าเชื้อด้วยยูวี” นวัตกรรมใหม่สู้โควิด -19

รศ. ดร.สุรพันธ์ ยิ้มมั่น คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ผศ.ดร.พีรพงษ์ พรวงษ์ทอง รองคณบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนา พร้อมด้วยทีมนักวิจัย คณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เปิดเผยถึงการพัฒนาตู้อบฆ่าเชื้อด้วยยูวี ว่าเป็นการร่วมมือระหว่างคณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มจพ. กับโรงเรียนช่างฝีมือทหาร ร่วมพัฒนานวัตกรรมตู้อบฆ่าเชื้อด้วยยูวี เพื่อมอบแก่โรงพยาบาลเพื่อใช้ต่อสู้กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

การพัฒนาตู้อบฆ่าเชื้อด้วยยูวี นวัตกรรมใหม่เพื่อการกำจัดเชื้อ ลดการระบาด แก้ไขปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัยในโรงพยาบาล ตู้อบฆ่าเชื่อประกอบด้วยหลอดกำเนิดรังสียูวี 8 วัตต์ จำนวน 2 หลอด โดยการทดสอบผลของการฉายยูวีโดยใช้ตู้อบฆ่าเชื้อด้วยยูวีต่อลักษณะของเส้นใยของหน้ากากอนามัย ไม่มีผลต่อเส้นใย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงการทดสอบประสิทธิภาพการกรองอนุภาคขนาด 0.3 ไมโครเมตรหรือใหญ่กว่ายังพบว่า มีประสิทธิภาพเท่ากับการกรองอนุภาคของหน้ากากอนามัย N95 มีประสิทธิภาพใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ Escherichia coli และยังพบว่าความเข้มของรังสีที่ติดตั้งในตู้อบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนหน้ากาก N95 ได้ภายในระยะเวลา 1 นาที แสดงให้เห็นว่าตู้อบฆ่าเชื้อด้วยยูวีมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรคบนหน้ากากอนามัยในระยะเวลาอันสั้น และอาจจะนำมาประยุกต์ใช้ในการฆ่าเชื้อบนอุปกรณ์การแพทย์ที่ทำจากวัสดุต่างๆ ได้อีกด้วย

อุปกรณ์นี้ตั้งระยะเวลาในการทำงานและมีระบบตัดการทำงานอัตโนมัติเมื่อมีการเปิดตู้เพื่อป้องกันการรั่วไหลของรังสียูวี ทั้งยังผ่านการทดสอบความปลอดภัยทางไฟฟ้าของเครื่องมือแพทย์ตามมาตรฐานสากล IEC 60601 และมีความปลอดภัยจากการใช้รังสี การประกอบเครื่องทำได้ง่ายใช้วัสดุภายในประเทศซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าเครื่องมือดังกล่าวที่มีราคาสูงจากต่างประเทศ

สำหรับตัวต้นแบบนี้ ติดต่อได้ที่ คณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โทรศัพท์ 0-2555-2000 ต่อ 4209 หรือ 062-193-6445 ในเวลาราชการ หรืออีเมล์ research@sci.kmutnb.ac.th
ขวัญฤทัย ข่าว / วิลัยพร ถ่ายภาพ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เปิดตัวหนังสือแปลเทคนิคงานโลหะ “การสร้างแม่พิมพ์” จากเยอรมัน

รองศาสตราจารย์บรรเลง ศรนิล อดีตอธิการบดี มจพ. และที่ปรึกษาคณบดีบัณฑิตวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติสิรินธร ไทย-เยอรมัน (TGGS) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เปิดตัวหนังสือแปลเทคนิคงานโลหะ “การสร้างแม่พิมพ์” ต้นฉบับจากเยอรมัน แปลกันแบบหน้าต่อหน้า แต่ยังคงแน่นด้วยเนื้อหา สาระ มากคุณภาพตามแบบฉบับหนังสือเยอรมันที่มีองค์ประกอบของรูปภาพและเทคนิคพิเศษในบทเรียน ที่ออกแบบให้สนุกกับการเรียนด้วยตนเอง ประกอบด้วยรูปภาพมากกว่า 700 รูปรวมทั้งตารางต่าง ๆ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าถึงในบทเรียนได้อย่างถ่องแท้ รศบรรเลง เล่าให้ฟังว่า หนังสือแปลเทคนิคงานโลหะ “การสร้างแม่พิมพ์” เล่มนี้เป็นหนังสือใหม่ คือ การสร้างแม่พิมพ์เป็นอุตสาหกรรมสนับสนุน Supporting Industy ที่ไปสนับสนุนอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมสร้างเครื่องมือทั้งหมด เช่น เครื่องมือแพทย์ เพราะชิ้นส่วนต่างๆ ต้องผลิตด้วยแม่พิมพ์ เพราะฉะนั้นแม่พิมพ์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมทั่วๆ ไป ในเนื้อหาสาระของหนังสื่อมีจำนวน 8 บท ประกอบด้วย แม่พิมพ์ตัดชิ้นส่วนโลหะ แบ่งประเภทต่างๆ อาทิ แม่พิมพ์ตัดชิ้นโลหะ แม่พิมพ์ปั๊มขึ้นรูป เป็นต้น

นอกจากนี้ยังได้รวบรวมหลักการ แนวคิด และทฤษฎีที่สำคัญ ๆ พร้อมกับยกตัวอย่างจากรูปภาพประกอบที่เข้าใจง่าย เห็นเด่นชัด และจัดเตรียมแบบฝึกหัดที่เหมาะกับผู้เรียน ตลอดจนการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ปัจจุบันจึงอาจกล่าวได้ว่า อุตสาหกรรมแม่พิมพ์ เป็นอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงอุตสาหกรรมอื่นๆ หรืออาจเรียกได้ว่า Mold and Die Mother of Industry โดยแม่พิมพ์ที่ดีจะส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตสามารถผลิตชิ้นส่วนได้อย่างรวดเร็วเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่อความได้เปรียบในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการผลิตที่เกี่ยวข้องอีกด้วย เมื่อเทรนด์ของอุตสาหกรรมในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป และการมาถึงของเทคโนโลยีในยุค 4.0 ด้วย หนังสือเทคนิคงานโลหะ “การสร้างแม่พิมพ์” จึงเหมาะสำหรับนักเรียนอาชีวศึกษาสาขาช่างทำแม่พิมพ์ และช่าง Fine mechanic ที่เน้นด้านแม่พิมพ์ ผู้ที่สนใจหาความรู้เสริมและหาความรู้เพิ่มเติม รวมทั้งนักศึกษาที่เตรียมสอบเป็น Meister และช่างเทคนิค รวมทั้งนักศึกษาที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยก็สามารถหาความรู้จากหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทที่ 2 และบทที่ 5 เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานด้านเทคนิคการผลิตเรื่องพลาสติกและยาง

หนังสือเล่มนี้แปลมาจากหนังสือ Werkzeugbau ของสำนักพิมพ์ Europa-Lehrmittel แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งเป็นหนังสือที่มีการนำเอาไปแปลเป็นภาษาอื่น ๆ อีกหลายภาษา เช่น ภาษาจีน ภาษากรีก และภาษาในประเทศยุโรปตะวันออกอีกหลายประเทศ เนื่องจากเป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับการเรียนการสอนในสาขาช่างเครื่องมือกลและช่างสร้างแม่พิมพ์รวมทั้งใช้เป็นหนังสือค้นคว้าหาความรู้ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ต่าง ๆ คณะผู้แปลและเรียบเรียงเห็นว่า น่าจะนำหนังสือเล่มนี้มาแปลเป็นภาษาไทย เพื่อให้บุคลากรในอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ของไทยมีศักยภาพไม่แพ้ประเทศอื่น

เนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย
– เทคนิคการปั๊มตัดและขึ้นรูปโลหะ
– การสร้างแม่พิมพ์ต่าง ๆ เช่น แม่พิมพ์พลาสติก แม่พิมพ์ Die Casting และแม่พิมพ์ Sintering
– อุปกรณ์จับยึดชิ้นงาน Jigs & Fixtures) – เครื่องมือวัดและตรวจสอบ
– กรรมวิธีการทำงานสร้างแม่พิมพ์ – วัสดุต่าง ๆ และการอบชุบโลหะ
– ตัวอย่างพร้อมการวิเคราะห์แม่พิมพ์และอุปกรณ์จับยึด – กรณีตัวอย่างสำหรับการเรียนการสอน

จุดเด่นของหนังสือมีเพิ่มเนื้อหาและปรับปรุงเนื้อหาเก่าให้สมบูรณ์ขึ้น เนื้อหาที่เพิ่มเติมได้แก่ เรื่อง “การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบแม่พิมพ์ปั้มตัด” “การบำรุงรักษาแม่พิมพ์” และ “แม่พิมพ์ที่ใช้ในงานปั๊มตัดขนาดใหญ่” บทที่นำเสนอใหม่ได้แก่เรื่อง Jigs & Fixtures, กรรมวิธีในการผลิตแม่พิมพ์และวัสดุทำแม่พิมพ์ และเรื่องกรรมวิธีทางความร้อนในงานสร้างแม่พิมพ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างความเข้าใจเนื้อหา จะแนบกรณีตัวอย่างของเรื่องเทคนิคการปั๊มตัด การสร้างแม่พิมพ์ และการสร้างเป็นพิเศษสำหรับการนำเสนอในการสอนในกรณีศึกษา มีหลักการทาง Jigs & Fixtures ไว้ในตอนท้าย ซึ่งเหมาะเทคโนโลยีและเทคนิควัสดุแล้ว ยังมีเนื้อหาของการวางแผนการทำงานและการคำนวณทางเทคนิคเอาไว้ด้วย ซึ่งผู้เรียบเรียงมีความตั้งใจเป็นพิเศษในการเชื่อมโยงไปสู่การใช้งานและการแก้ปัญหาในการทำงานจริง เพื่อเพิ่มหลักการในการสอน “การเรียนในกรณีศึกษา” และได้นำเสนอกรณีศึกษา 5 ถึง 14 ไว้ด้วย นอกจากนี้ยังมีผลงานหนังสือแปลจากภาษาเยอรมันอีกหลายเล่ม เช่น ตารางคู่มืองานโลหะ คู่มืองานวิศวกรรมไฟฟ้า คู่มือตารางเทคนิคยานยนต์ ทฤษฎีงานโลหะ เล่ม 1 และทฤษฎีงานโลหะ เล่ม 2

สำหรับท่านใดที่สนใจหนังสือเทคนิคงานโลหะ “การสร้างแม่พิมพ์” สามารถสั่งซื้อโดยตรงได้ที่ ศูนย์ผลิตตำราเรียน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ในราคาเล่มละ 300 บาท นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นดีๆ สำหรับสถาบันการศึกษา หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่ต้องการสั่งคราวละหลายเล่มก็จะได้รับส่วนลดพิเศษ ดังนี้ 1)ยอดสั่งซื้อครบ 10,000 บาท ได้รับส่วนลด 20% 2) ยอดสั่งซื้อครบ 20,000 บาท ได้รับส่วนลด 25% และ 3) ยอดสั่งซื้อครบ 30,000บาท ได้รับส่วนลด 30% นอกจากนี้แล้วยังมีสำหรับช่องทางการสั่งซื้อที่อื่นๆ เช่น ร้านหนังสือซีเอ็ดบุ๊ค เซ็นเตอร์ (SE-ED) และ ร้านหนังสือ ศูนย์หนังสือจุฬาฯ อย่างไรแล้วขอฝากหนังสือเทคนิคงานโลหะ “การสร้างแม่พิมพ์” เล่มนี้ให้แก่ผู้ที่สนใจและกำลังมองหาเพื่อเติมเต็มด้านแม่พิมพ์ที่ตอบโจทย์ได้ครอบคลุมทั้งสายเรียนและสายอุตสาหกรรม ตลอดจนการนำไปใช้ให้ตรงจุดในการปฏิบัติงานและการแก้ปัญหาในขณะปฏิบัติงานได้จริง มีเล่มนี้แล้วคุ้มจริงๆ รศ.บรรเลง กล่าวท้ายที่สุด

การเปิดโลกการเรียนรู้ให้กว้างขึ้นด้วยตำราเรียนดีๆ สักเล่ม เพื่อเสริมแนวคิด (concept) ให้เกิดความเข้าใจและแนวทางปฏิบัติในเรื่องนั้นๆ อย่างลึกซึ้งเป็นการเสริมทับให้กับตนเองที่สามารถนําไปประยุกต์ใช้ได้จริง
ทําให้เห็นลําดับต่อเนื่องขององค์ความรู้ และเกิดทักษะให้ความรู้ที่ถูกต้องและร่วมสมัย ตลอดจนการขยายเนื้อหาเพื่อให้มีความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ เทคนิคงานโลหะ “การสร้างแม่พิมพ์” เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาสาระทางวิชาการถูกต้อง สมบูรณ์ และทันสมัยมีแนวคิดและการนำเสนอที่ชัดเจน เป็นประโยชน์ต่อการศึกษามาก

ขวัญฤทัย ข่าว-ภาพ


 

Exit mobile version