Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

KI Sugar Group มอบแอลกอฮอล์ 50,000 ลิตร ช่วยโรงพยาบาลสู้วิกฤตไวรัส COVID-19

KI Sugar Group หรือบริษัท อุตสาหกรรมโคราช จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำตาลมานานกว่า 55 ปี ได้รับการการันตีด้วยมาตรฐานระดับโลกจากองค์กร ProTerra ประเทศเนเธอร์แลนด์ รายแรกและรายเดียวในเอเชีย โดยนายพัฒน์ และนายมั่นคง เสถียรถิระกุล 2 ผู้บริหารรุ่นใหม่ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสู้วิกฤต COVID-19 ด้วยการสนับสนุนแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ และเจลแอลกอฮอล์ 75% ซึ่งเป็นผลผลิตจากกระบวนการผลิตน้ำตาลของโรงงาน จำนวน 50,000 ลิตร ให้แก่โรงพยาบาลราชวิถี รวมถึงโรงพยาบาลและหน่วยงานรัฐกว่า 30 แห่งทั่วประเทศ พร้อมมอบน้ำตาลทรายและสิ่งของอุปโภคบริโภค รวมถึงอุปกรณ์สำหรับการทำหน้ากากอนามัยแบบผ้า รวมมูลค่า 7,550,000 บาท

นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังได้สนับสนุนเงินจำนวน 12,000,000 บาท ในการสร้างอาคารผู้ป่วยใน ให้กับโรงพยาบาลจักราช จังหวัดนครราชสีมา เพื่อเป็นสาธารณกุศลให้ประชาชนในท้องถิ่นได้ใช้ประโยชน์


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผลประกอบการหัวเว่ยไตรมาสแรกของปี 2563 เพื่อขึ้นร้อยละ 1.4

เซินเจิ้น ประเทศจีน/ 21 เมษายน 2563 –  วันนี้ หัวเว่ย ได้ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาสแรกของปี 2563 ด้วยยอดขาย 182.2 พันล้านหยวน หรือราว 835,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยไตรมาสนี้มีกำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 7.3

ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก  หัวเว่ยได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อดูแลความปลอดภัยของพนักงาน บริษัทยังได้ทำงานกับซัพพลายเออร์และพันธมิตรอย่างใกล้ชิดเพื่อร่วมหารือถึงปัญหาด้านการผลิต ทั้งนี้บริษัทได้กลับมาเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจและการผลิตอย่างเต็มกำลังแล้ว ธุรกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และผลประกอบการในภาพรวมของบริษัทในไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2563 ก็เป็นไปตามคาดการณ์

ในช่วงวิกฤตด้านสาธารณสุขเช่นนี้การเชื่อมต่อเครือข่ายกลายมาเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของทุกชีวิต การดูแลรักษาเครือข่ายให้ดำเนินได้ตามปกติถือเป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญสูงสุดในตอนนี้ หัวเว่ยกำลังทำงานอย่างเต็มความสามารถร่วมกับผู้ประกอบการโทรคมนาคมเพื่อให้เครือข่ายมีความมั่นคงและปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา ด้วยการร่วมแรงร่วมใจ เราจะให้บริการที่สอดรับความต้องการด้านเครือข่าย ที่ปรับเปลี่ยนไปเพราะการเว้นระยะห่างทางสังคม ผู้คนมากมายเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้การสื่อสารผ่านเครือข่าย การศึกษาทางไกล และอีคอมเมิร์ซมากขึ้น จนกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน

ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส หัวเว่ยและบริษัทพันธมิตรได้เร่งเปิดตัวแอปพลิเคชันทางการแพทย์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี 5G และ AI หลายรูปแบบ เราใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการสื่อสารมาต่อสู้กับการแพร่ระบาด และรักษาชีวิตของผู้ติดเชื้อ การตรวจวินิจฉัยทางเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) เพื่อวิเคราะห์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ด้วยเทคโนโลยี AI ช่วยลดเวลาในการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจาก 12 นาที เหลือเพียง 2 นาที เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการวินิจฉัยของแพทย์ ระบบให้คำปรึกษาผ่านทางวิดีโอทางไกลที่ขับเคลื่อนด้วย 5G ช่วยลดความขาดแคลนของผู้เชี่ยวชาญในแนวหน้า และเพิ่มประสิทธิผลของการวินิฉัยโรคและการรักษาผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤต อุปกรณ์ถ่ายภาพความร้อนที่ควบคุมด้วย AI สามารถจับอุณหภูมิความร้อน ช่วยยกระดับการป้องกันการติดเชื้อและการควบคุมดูแลพื้นที่สาธารณะให้ปลอดโรค นอกจากนี้ หัวเว่ยกำลังเดินหน้าจัดหาและส่งมอบหน้ากากอนามัย ชุดตรวจ และอุปกรณ์ป้องกันอื่น ๆ ไปยังหลากหลายประเทศและองค์กรที่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เหล่านี้

ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและในกลุ่มประเทศอาเซียน หัวเว่ยได้ร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ อาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน บังกลาเทศ กัมพูชา สปป. ลาว และอีกหลายประเทศ เพื่อช่วยดูแลแก้ปัญหาด้านการสื่อสารระหว่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาทำให้การเชื่อมต่อและบริการที่สำคัญดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

เมื่อวันที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของประเทศไทย ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของคณะแพทย์และบุคลากรในการดูแล รักษา และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ที่โรงพยาบาลศิริราช พร้อมติดตามผลการใช้งานโซลูชัน AI เพื่อวิเคราะห์โรคโควิด-19 ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหัวเว่ย ประเทศไทย ได้ส่งมอบให้แก่โรงพยาบาล โดยรัฐบาลไทยมีแผนที่จะนำโซลูชันดังกล่าวไปใช้ในอีกหลายโรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อเสริมศักยภาพการให้บริการสาธารณสุขและช่วยลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์

เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโดย AI และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิฉัยภาพเอกซเรย์ของผู้ป่วยสามารถวินิจฉัยภาพเอกซเรย์ปอดของคนไข้ได้อย่างแม่นยำ จากการเก็บข้อมูลจากดาต้าเบสที่มีภาพเอกซเรย์ของคนไข้กว่า 20,000 ภาพ ซึ่งเป็นผู้ป่วยโควิด-19 กว่า 4,000 ราย นอกจากนี้ ระบบเพื่อการติดต่อสื่อสารทางไกลยังจะช่วยลดการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ ช่วยขยายความสามารถในการควบคุมโรคในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศอีกด้วย

“เราอยากให้โรคระบาดสิ้นสุดโดยเร็วที่สุด และหวังว่าผู้ป่วยทุกๆ คนจะได้รับการรักษาและกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงอีกครั้ง การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นดั่งเครื่องเตือนใจว่าเราทุกคนบนโลกต่างต้องเผชิญความท้าทายนี้ไปพร้อมๆ กัน และเราต้องรวมมือกันเพื่อเอาชนะวิกฤตครั้งนี้ให้ได้ ไวรัสนั้นแพร่กระจายอย่างไม่มีขอบเขต ไม่มีเป้าหมายที่เจาะจง ไม่เลือกชนชาติ สีผิว หรือความยากดีมีจน” นายอีริค สวี ประธานกรรมการบริหารแบบหมุนเวียนตามวาระของหัวเว่ย กล่าว

เมล็ดพันธุ์ที่รอดพ้นพายุโหมกระหน่ำย่อมงอกงาม เบ่งบาน และผลิดอกออกผล แม้ตอนนี้เราจะยังไม่รู้ว่าวิกฤตจากโรคระบาดครั้งนี้จะคลี่คลายได้อย่างไร แต่หัวเว่ยเชื่อว่าหากเรารวมกันเป็นหนึ่งเดียว เราก็จะผ่านพ้นความท้าทายครั้งนี้ไปด้วยกัน

หมายเหตุ อัตราแลกเปลี่ยน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 – 1 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ = 7.0915 หยวน (อ้างอิงจากเอเจนซี่ส์)


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“CONTACT ME” อยู่ที่ไหนก็สมัครเรียนได้ สมัครเรียนปริญญาโท PIM

สมัครเรียนปริญญาโท สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม) อยู่ที่ไหนก็สมัครเรียนได้ CONTACT ME โทรปุ๊บรอรับส่วนลดการศึกษาปั๊บ หลักสูตรที่ก้าวทันทุกเทรนด์ธุรกิจ ตอบโจทย์ทุกสถานการณ์ ปรับรูปแบบการเรียนให้ทันสมัย พร้อมสร้างคุณสู่เป้าหมาย การเป็น Professional Leader สำหรับองค์กรธุรกิจในยุคดิจิทัล พิเศษกับส่วนลดการศึกษาให้ผู้ที่สนใจแบบไม่มีข้อผูกมัด สาขาการสื่อสารเชิงนวัตกรรมเพื่อองค์กรสมัยใหม่ (MCA) รับส่วนลดการศึกษา 50,000 บาท มีจำนวนจำกัด หลักสูตรการสร้างความเป็นผู้นำกลยุทธ์การสื่อสาร สร้าง Track เพื่อนักวางแผนกลยุทธ์การสื่อสารทางธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพสื่อมวลชน และหลักสูตรปริญญาโท (MBA) สาขาการจัดการธุรกิจการค้าสมัยใหม่และสาขาการบริหารคนและกลยุทธ์องค์การ ส่วนลดการศึกษา 30,000 บาท สร้างผู้นำพัฒนาองค์กรและ Up Skill เป็น Future Leader เพื่อผู้นำบริหารธุรกิจ สร้าง Track พัฒนา Entrepreneur หรือ Top Executive หลักสูตรปริญญาโท Panyapiwat พัฒนาผู้เรียนสู่การเป็น THE NEXT LEADER ขององค์กร

“เปิดสัมภาษณ์ออนไลน์ แบบ VDO Conference” อยู่ที่ไหนก็สมัครเรียนได้ สะดวก ปลอดภัย เเจ้งผลสัมภาษณ์วันถัดไป แบ่งชำระค่าเทอมได้ 22 งวด

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
คุณเพ็ญนภา กมลาสน์มรกต (เพ็น) โทร 06-18514414 E-mail: phennaphakam@pim.ac.th
คุณอมรรัตน์ ไกรทองสุข (น้ำฝน) โทร 084 9272693 E-mail: amornrutkri@pim.ac.th
Panyapiwat MBA Fanpage https://www.facebook.com/mbapanyapiwat/
Website www.pim.ac.th


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ สิ่งประดิษฐ์ สิ่งประดิษฐ์ในประเทศ

รถเข็นจ่ายยาอัจฉริยะ ผลงานนักศึกษาคณะครุศาสตร์ฯ มจพ. วิ่งจ่ายยาอัตโนมัติถึงเตียงผู้ป่วย

เรื่องโดย : ขวัญฤทัย

รถเข็นจ่ายยาอัจฉริยะ ที่จะเข้ามาช่วยลดความเสี่ยงในการสัมผัสผู้ป่วยให้กับคุณพยาบาล และนี่คือนวัตกรรมใหม่ล่าสุด ผลงานของ นายเกียรติศักดิ์ เพ็ชรมาก และ นางสาวกนิษฐา โกอินต๊ะ นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) สาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ภาควิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม โดยมีผศ.ดร.ดวงกมล โพธิ์นาค เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา

คุณสมบัติของระบบรถเข็นจ่ายยาอัจฉริยะ

ตัวรถเข็นใช้บอร์ด Arduino Mega เป็นหน่วยประมวลผลหลัก และพัฒนาโค้ดด้วยภาษา C++
• มีโมดูล ESP8266 เป็นตัวเชื่อมต่อ WiFi
• รถเข็นจ่ายยาอัจฉริยะมีขนาดกว้าง 30 เซนติเมตร ยาว 60 เซนติเมตร สูง 65 เซนติเมตร
• โครงรถเข็นใช้เหล็กกล่องขนาด 1×1 นิ้ว
• ใช้แผ่นอะคริลิก สีขาวขุ่น หนา 5 มิลลิเมตร เป็นแผ่นปิดโครงรถเข็น
• ใช้มอเตอร์เกียร์ขนาด 12V ความเร็วรอบ 50rpm จำนวน 2 ตัว ในการขับเคลื่อน
• ลิ้นชักบรรจุยามีขนาด 16 x 10 x 22 ซ.ม. (กว้าง x ยาว x สูง)
• ส่วนระบบฐานข้อมูลใช้โฮสต์ Firebase ในการเก็บข้อมูลตำแหน่งยา และใช้ SQL ในการเก็บประวัติการจ่ายยา
• ใช้ภาษา HTML ภาษา PHP และ JavaScript ในการสร้างส่วนของเว็บแอปพลิเคชั่น
• ใช้แหล่งจ่ายไฟจากแบตเตอรี่ 12V 20A
• มีวงจรรักษาระดับแรงดันเมื่อแบตเตอรี่มีแรงดันไฟต่ำ
• มีวงจรประจุแบตเตอรี่ในตัว เมื่อต้องการประจุแบตเตอรี่ใหม่สามารถเสียบปลั้กไฟ 220 โวลต์ ได้ทันที ทำให้สะดวกในการประจุแบตเตอรี่ใหม่ และระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อประจุแบตเตอรี่เต็มแล้ว

สำหรับงบประมาณที่ใช้ประมาณสองหมื่นบาท ใช้ระยะเวลาในการประดิษฐ์ต้นแบบ 4 เดือน นับว่าเป็นนวัตกรรมการจ่ายยาที่ยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วย โดยนำเอาเทคโนโลยีด้านเว็บแอปพลิเคชั่นมาผสมผสานกับเทคโนโลยีหุ่นยนต์ มาช่วยในการการจ่ายยาให้กับผู้ป่วยในโรงพยาบาล

การทำงานของรถเข็นจ่ายยาอัจฉริยะ
เมื่อเริ่มใช้งานพยาบาลจะกดสวิตช์เลื่อนลิ้นชักออกมาเพื่อนำยาใส่ลงในลิ้นชักแต่ละช่องของรถเข็น แล้วจึงระบุข้อมูลตำแหน่งของยาและเตียงผู้ป่วยลงในฐานข้อมูลผ่านหน้าเว็บแอปพลิเคชั่น จากนั้นรถเข็นจะทำการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยโมดูล ESP8266 เพื่อดึงข้อมูลตำแหน่งยาและเตียงผู้ป่วย จะวิ่งไปยังเตียงของผู้ป่วยโดยอัตโนมัติ  จากนั้นรางลิ้นชักที่บรรจุยาอยู่จะเลื่อนออกอัตโนมัติโดยอาศัยมอเตอร์เกียร์ เป็นตัวส่งกำลังให้ลิ้นชักทำการเปิด – ปิด โดยภายในลิ้นชักจะมีตัวตรวจจับ (sensor) มือของผู้ป่วยในการหยิบยา

เมื่อลิ้นชักเปิดแล้วระบบจะหน่วงเวลาเพื่อรอให้ผู้ป่วยหยิบยา 2 นาที หากไม่ได้หยิบยาในระยะเวลาที่กำหนดระบบจะปิดลิ้นชักและวิ่งไปจ่ายยายังเตียงถัดไป แต่หากผู้ป่วยรับยาแล้วลิ้นชักจะทำการปิดและไปจ่ายยายังเตียงถัดไปเช่นกัน ในขณะที่รถเข็นกำลังเคลื่อนที่ไปจ่ายยา หากพบสิ่งกีดขวางในระยะน้อยกว่า 50 เซนติเมตร รถเข็นจะหยุดและส่งสัญญาณเสียงเตือน และเมื่อไม่มีสิ่งกีดขวางจะเคลื่อนที่ต่อโดยอัตโนมัติ

ระบบของรถเข็นยังได้ออกแบบการใช้งานเป็น 2 ระดับ คือระดับผู้ใช้งาน และผู้ดูแลระบบ ในส่วนของผู้ใช้งานก็คือพยาบาลจะสามารถเพิ่มตำแหน่งจ่ายยา และเรียกดูประวัติการจ่ายยาของผู้ป่วยได้ และในส่วนของผู้ดูแลระบบจะสามารถเพิ่มข้อมูลตำแหน่งยา เรียกดูประวัติการจ่ายยา สมัครสมาชิก และระบบการจัดการสมาชิก

และนี่คือนวัตกรรมรถเข็นจ่ายยาอัจฉริยะต้นแบบ ที่สามารถเพิ่มความสะดวกในการจ่ายยาให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาล ที่ช่วยลดภาระเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอย่างพยาบาล และที่สำคัญลดความเสี่ยงการติดเชื้อ COVID-19 หรือโรคติดต่ออื่นๆ ได้เป็นอย่างดี ตลอดจนสามารถนำไปต่อยอดและพัฒนาในเชิงพาณิชย์

สอบถามรายละเอียดได้ที่
ภาควิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)
หรือที่ ผศ.ดร.ดวงกมล โพธิ์นาค โทรศัพท์ 064-639-4888 หรือนายเกียรติศักดิ์ เพ็ชรมาก โทรศัพท์ 0907080272 และนางสาวกนิษฐา โกอินต๊ะ โทรศัพท์ 0907796372


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สุดยอดหนังสือปกสวยสรรค์คว้ารางวัล OKMD Book Cover Award 2020

กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ – สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือ OKMD ประกาศผลการประกวดปกหนังสือสวยสร้างสรรค์ ครั้งที่ 2 (OKMD Book Cover Award 2020) โดยได้จัดโครงการประกวดอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 เพื่อเป็นเวทีแห่งโอกาสให้สำนักพิมพ์ที่มุ่งมั่นเสนอผลงานให้เป็นที่ยอมรับสู่สายตาสาธารณชน ได้นำเสนอความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นให้สังคมได้เห็นคุณค่าแห่งการออกแบบปกหนังสือ รวมถึงส่งเสริมและสนับสนุนให้สายอาชีพนักออกแบบปกหนังสือได้ออกแบบผลงานที่มีคุณภาพ สวยงาม สร้างสรรค์ และสอดคล้องกับเนื้อหา ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาซื้อและอ่านหนังสือมากขึ้น

ดร.อธิปัตย์ บำรุง ผู้อำนวยการ OKMD เปิดเผยว่า “สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ สานต่อการประกวดปกหนังสือสวยสร้างสรรค์ ครั้งที่ 2 (OKMD Book Cover Award 2020) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้สำนักพิมพ์ทั่วประเทศมีโอกาสส่งผลงานปกหนังสือที่มีความโดดเด่นเข้าร่วมการประกวด ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และสร้างแรงบันดาลใจในการผลิตผลงานปกหนังสือที่มีคุณภาพให้แก่นักออกแบบ โดยจะนำผลงานปกหนังสือที่ได้รับคัดเลือกไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไป เพื่อให้เห็นความสำคัญของศิลปะและอาชีพการออกแบบปกหนังสือซึ่งต้องอาศัยทักษะและความคิดสร้างสรรค์”

ทั้งนี้ คณะกรรมการตัดสินการประกวด ประกอบด้วย คุณสุรชัย พุฒิกุลางกูร นักสร้างสรรค์โฆษณาภาพนิ่ง (Illustrator) อันดับหนึ่งของโลกตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปัจจุบันจากนิตยสาร Lurzer’s Archive กรรมการผู้จัดการบริษัท อิลลูชั่น จำกัด สตูดิโอสัญชาติไทยที่กวาดรางวัลระดับโลกมาแล้วกว่า 1,000 รางวัล คุณปัจฉิมา ธนสันติ อดีตอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ดร. เสรี นนทสูติ รองกรรมการผู้จัดการ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาองค์กรภาครัฐ (IRDP) คุณอาภาภรณ์ โกศลกุล “โสมชบา” คอลัมนิสต์จากไทยรัฐ คุณชาลอต โทณวณิก ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ บริษัท อชิโต จำกัด ตัวแม่ด้านสื่อสารการตลาด คุณกฤษฎา บุญราช อดีตรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย คุณเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT และสุดท้าย คุณเต็งหนึ่ง คณิศ ปิยะปภากรกูล เชฟ Owner April Trees Studio นักเขียน นักร้อง และนักแสดง ซึ่งร่วมกันตัดสินการประกวดปกหนังสือสวยสร้างสรรค์ ที่ 43 สำนักพิมพ์ทั่วประเทศส่งผลงานเข้าร่วมประกวดจำนวน 385 ชิ้นงาน ชิงเงินรางวัล รางวัลละ 50,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ โดยมี 5 ผลงาน ผู้ชนะรางวัลแต่ละประเภท ดังนี้

ผู้ชนะรางวัล Very Thai (เวรี่ไทย) : ปกหนังสือ “พระเสด็จโดยแดนชล” จากสำนักพิมพ์มติชน ออกแบบ โดยคุณนักรบ มูลมานัส

ผู้ชนะรางวัล Cute Cute (น่ารักยกกำลังสอง) : ปกหนังสือ “something sometime somewhere everyday special” จาก สำนักพิมพ์ FULLSTOP ออกแบบ โดยคุณศศิ วีระเศรษฐกุล และ FULLSTOP

ผู้ชนะรางวัล Striking Stumble (สวยสะดุด) : ปกหนังสือ “Sasi’s Sketch Book Japan Diary เล่ม1 Tokyo เล่ม2 Shirakawago” จาก สำนักพิมพ์ FULLSTOP ออกแบบ โดยคุณศศิ วีระเศรษฐกุล และ FULLSTOP

ผู้ชนะรางวัล One of a Kind (ไอเดียบรรเจิด) : ปกหนังสือ “The Old Man and the Sea” จากสำนักพิมพ์ แสงดาว ผู้ออกแบบ คุณกรมัยพล สิริมงคลรุจิกุล

ผู้ชนะรางวัล Best for Kids (ปกนี้เพื่อหนู) : ปกหนังสือ “Pirate Academy คู่มือล่าสมบัติ ฉบับโจรสลัดนามกระฉ่อน” จากสำนักพิมพ์ ห้องเรียน ผู้ออกแบบ ออกแบบลายเส้น – คุณสิทธิพร พวงสุข, ลงสี – คุณตรีโรจน์ รุ่งโรจน์ศิรวัช, กราฟิก – คุณกัลยา ภูอ่อน

สำหรับข้อมูลกิจกรรมสามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ www.okmd.or.th หรือติดตามความคืบหน้าของกิจกรรมต่างๆ ได้ที่ www.facebook.com/OKMDInspire หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) สำนักนายกรัฐมนตรี โทร. 02-105-6517


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพจากมลพิษฝุ่นจิ๋ว PM2.5


โดย ศ.นพ.ชายชาญ โพธิรัตน์ 

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหน่วยโรคระบบการหายใจ เวชบำบัดวิกฤตและภูมิแพ้อายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยมีความเป็นห่วงผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพจากมลพิษฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนบนไม่ว่าจะเป็นจังหวัดเชียงใหม่  เชียงราย หรือจังหวัดใกล้เคียง โดยองค์การอนามัยโลก หรือ WHO  ได้กล่าวไว้ว่า “การหายใจด้วยอากาศที่มีคุณภาพถือเป็น  “สิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน” 

ดังนั้นเมื่ออนุภาคมลพิษอากาศขนาดเล็กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 มีส่วนประกอบสำคัญหลัก คือ คาร์บอนอินทรีย์ สาร PAHs เกลือซัลเฟต เกลือไนเตรท โลหะหนัก มีสัดส่วน เปลี่ยนไปบ้างตามแหล่งกำเนิดมลพิษและฤดูกาล เนื่องจาก PM2.5 มีขนาดเล็กกว่าเม็ดเลือดแดงจึงเข้าสู่ทุกเซลล์ของระบบอวัยวะได้อย่างรวดเร็ว  เมื่อสูดหายใจเข้าไป จึงอาจมีผลกระทบต่อแทบทุกระบบอวัยวะของร่างกาย จะมีผลกระทบมากหรือน้อย ขึ้นกับปัจจัยสำคัญ ดังนี้

1. ระดับความเข้มข้นของ PM2.5 ที่ร่างกายได้รับ
2. ระยะเวลาสะสมที่ร่างกายได้รับ PM2.5
3. สัดส่วนของสารประกอบชนิดต่างๆใน PM2.5
4. สภาวะของร่างกายขณะได้รับ PM2.5 (ทารกในครรภ์มารดาและช่วงวัยต่างๆ ความไวต่อมลพิษของบุคคล ความเจ็บป่วยที่มีอยู่เดิม ความแข็งแรงของร่างกาย)

ผลกระทบดังกล่าวอาจมีได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่ยังไม่ปรากฏอาการ ไม่มีการอักเสบ ไม่ปรากฏอาการแต่มีการอักเสบแฝงในระบบอวัยวะจนเกิดอาการผิดปกติ ซึ่งเกิดได้ทั้งฉับพลันทันทีทันใด แบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง

โดยผลกระทบตามระยะต่างๆ อาจทำให้เกิดโรคขึ้นใหม่ หรือทำให้โรคเดิมรุนแรงขึ้นทำให้เซลล์ของอวัยวะ เสื่อมจนทำให้อวัยวะทำงานเสื่อมเร็วและรุนแรงขึ้นอาจทำให้เซลล์กลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง

ตัวอย่างผลกระทบจาก PM2.5 ต่อระบบอวัยวะสำคัญหลักในการดำรงชีวิต ได้แก่ ระบบการหายใจ (เช่น โพรงจมูกอักเสบทั้งแบบภูมิแพ้ และติดเชื้อหลอดคอ กล่องเสียงและหลอดลมอักเสบ หอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ปอดอักเสบ) การอักเสบจาก PM2.5 ส่งเสริมให้ระบบการหายใจมีการอักเสบ มากขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อได้รับสารก่อแพ้และการอักเสบจาก PM2.5 ยังทำให้ติดเชื้อ (เช่นไวรัสไข้หวัด ไวรัส ไข้หวัดใหญ่ แบคทีเรีย)ได้ง่ายและรุนแรงมากขึ้นหลายเท่า และจำนวนไม่น้อยที่เกิดการอักเสบทั้งแบบ ภูมิแพ้และแบบติดเชื้อผสมผสานกัน ระบบหัวใจ (กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว) ระบบหลอดเลือด (หลอดเลือดไปเลี้ยงสมองเสื่อม โรstroke ของหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ หลอดเลือดดำอุดตัน) ระบบสมอง (สมองด้อยประสิทธิภาพ สมองเสื่อม สมาธิสั้นและระบบจิตประสาท (อารมณ์แปรปรวน ความผิดปกติทางจิตแบบซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย) และมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งของอวัยวะต่าง ๆ (โดยเฉพาะมะเร็งปอด)

ดังนั้น PM2.5 จึงเป็นมลพิษที่เป็นสาเหตุสำคัญต่อการเสียชีวิตทั้งแบบฉับพลัน เฉียบพลัน และทำให้อายุขัยสั้นลง เป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยทั้งฉับพลันและเฉียบพลันอาจรุนแรง ถึงกับต้องไปรับการรักษาที่แผนกฉุกเฉินหรือต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยเป็นโรคเรื้อรังโดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ โรคระบบการหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดหรือทำให้โรคเรื้อรังดังกล่าว มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นรวมทั้งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด

ส่วนระดับค่าเฉลี่ยของ PM2.5 รายวัน นิยมใช้ในการศึกษาวิจัยผลกระทบต่อการเสียชีวิตและสุขภาพในระยะสั้นและค่าเฉลี่ยรายปี นิยมใช้ในการศึกษาวิจัยผลกระทบระยะยาวต่อการเกิดโรค เรื้อรังของระบบอวัยวะต่างๆ รวมทั้งโรคมะเร็ง และช่วงอายุขัย

ส่วนค่า PM2.5 รายชั่วโมงมีผลกระทบต่อสุขภาพได้เช่นเดียวกัน ส่วนจะมากน้อยแตกต่างกันตามปัจจัยทั้ง 4 ที่กล่าวข้างต้น จึงนิยมใช้เตือนประชาชนในการวางแผนบริหารความเสี่ยงในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆในชีวิตประจาวันในชั่วโมงถัดไป

แม้จะไม่มีค่า PM2.5 ที่ต่ำสุดที่ถือว่าปลอดภัยไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ แต่องค์การอนามัยโลกได้แนะนำความเป็นไปได้ที่ประเทศต่างๆ ควรมีแผนการดำเนินการกำหนดเป้าหมายให้ระดับ PM2.5 ไม่เกินค่าที่แนะนำเพื่อลดผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพให้เหลือน้อยเท่าที่จะบริหารจัดการได้ตามหลักฐาน งานวิจัยทั่วโลกที่ใช้ประกอบคำแนะนำ (ค่าเฉลี่ยรายวันไม่เกิน 25 มคก./ลบ.ม และค่าเฉลี่ยรายปี ไม่เกิน 10 มคก./ลบ.ม)

ส่วนแต่ละประเทศจะกำหนดค่ามาตรฐานของประเทศตนเองอย่างไรขึ้นอยู่กับระดับมลพิษ PM2.5 การชั่งความสมดุลเรื่องชีวิตและสุขภาพกับงบประมาณการลงทุนเพื่อปรับปรุงสภาวะแวดล้อมของแต่ละประเทศ ตลอดจนความเข้าใจ ความตั้งใจและความจริงจังในการปรับปรุงคุณภาพอากาศของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยพิจารณาจากการมีฝ่ายปกครองมีคำมั่นสัญญาที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม กำหนดนโยบาย งบประมาณ แผนการดำเนินการ วิธีการดำเนินการและการประเมินผลที่มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนทันต่อสถานการณ์แนวโน้มระดับมลพิษอากาศ

จากการศึกษาในต่างประเทศ หลายประเทศพบว่างบการลงทุนเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศมีความคุ้มทุนสูงมากหลายสิบเท่าและเห็นผลดีอย่างรวดเร็วทั้งในด้านชีวิต สุขภาพ และเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจเจริญก้าวหน้าควบคู่ไปกับอากาศที่มีคุณภาพได้ ตัวอย่าง เช่น จีน สหรัฐอเมริกา ไนจีเรีย เป็นต้น

จากการศึกษาวิจัยพบว่าประชากรของประเทศไทยได้รับผลกระทบด้านชีวิตและสุขภาพ จากฝุ่นมลพิษแทบทุกภาคมาอย่างยาวนานกว่าทศวรรษและทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงฤดูแล้ง (ช่วง เดือนธันวาคม-เมษายน) โดยเฉพาะ 3-5 ปี ล่าสุด

โดยแหล่งกำเนิดมลพิษที่เป็นปัญหาและมีผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชนมากที่สุดในช่วงฤดูแล้งคือ การเผาในพื้นที่เกษตรเพิ่มขึ้นจากการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตร (โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอ้อย ข้าวโพด และข้าว ในทุกภาคยกเว้นภาคใต้) และยังมีการทำเกษตรพืชเชิงเดี่ยวในพื้นที่ภูเขาบ่อยครั้งที่ไฟลุกลามออกนอกพื้นที่ปลูก กลายเป็นสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งของไฟป่า (ภาคเหนือตอนบน) ตลอดจนมีการเพิ่มการเผาพื้นที่เกษตรจากการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรในประเทศเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน ทำให้พื้นที่ทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ได้รับผลกระทบจาก PM2.5 ในช่วงฤดูแล้งกันอย่างถ้วนทั่ว รวมทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑลที่ได้รับ PM2.5 จากการเผาอุตสาหกรรมเกษตรเป็นหลักด้วยเช่นกัน  เพราะกระแสลมที่พัดมวล PM2.5 จากแหล่งกำเนิดเข้าสู่กรุงเทพฯและปริมณฑลร่วมกับสภาพความกดอากาศ การกักขังอากาศไม่มีการถ่ายเทเอื้อให้มลพิษ PM2.5 ลอยแขวนในบรรยากาศอยู่นาน ทำให้สัดส่วนแหล่งกำเนิด PM2.5 มาจากการเผาอุตสาหกรรมเกษตรมีอิทธิพลมากกว่ามลพิษจากการจราจรหรือมลพิษจากปล่องโรงงานอุตสาหกรรม

กล่าวโดยสรุปได้ว่ามลพิษ PM2.5 ในประเทศไทยในช่วงฤดูแล้งเกิดจากการเผาอุตสาหกรรมเกษตร อ้อย ข้าวโพด และข้าว เป็นหลัก และถูกซ้ำเติมด้วยการเผาอุตสาหกรรมเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งสาธารณรัฐกัมพูชา และสาธารณรัฐเมียนมาร์

คำแนะนำหลักสำหรับประชาชนในการดูแลตนเองช่วงวิกฤตมลพิษ
1. ติดตามค่าดัชนีคุณภาพอากาศในบริเวณที่ตัวเองอยู่หรือใกล้เคียงที่สุดเป็นระยะ โดยเลือกดัชนีที่สะท้อนผลกระทบต่อสุขภาพในช่วงเวลาชั่วโมงล่าสุดเป็นสำคัญ หากไม่มีค่าคุณภาพอากาศในบริเวณใกล้เคียงที่ตัวเองอยู่ การใช้เครื่องวัด PM2.5 แบบพกพา แม้ไม่แม่นยำเท่าเครื่องมาตรฐาน แต่ได้ค่าสอดคล้องกันเป็นอย่างดี มีประโยชน์ในการติดตามแนวโน้มค่ามลพิษส่วนบุคคลและสามารถร่วมกันทำเป็นเครือข่ายในพื้นที่ที่ละเอียดขึ้น (แต่มีข้อจำกัดหากวัดในที่ความชื้นสูงมาก จึงต้องหมั่นตรวจสอบและปรับค่า) ไม่ควรใช้ดัชนีคุณภาพอากาศรายวันมาใช้ในการวางแผนดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวัน


2. ปิดประตูหน้าต่าง เพื่อไม่ให้มลพิษอากาศเข้ามาสะสมในอาคาร และใช้เครื่องฟอกอากาศในอาคารที่ทำงานหรืออยู่อาศัย เช่น ห้องทำงาน ห้องนอน หรือห้องที่อยู่อาศัยเป็นเวลานาน หากปิดห้องนาน ๆ ระบบไหลเวียนอากาศไม่เพียงพอ (รู้สึกอึดอัด ปวดหรือมึนศีรษะ)ให้เปิดแง้มห้องเพื่อระบายอากาศระยะสั้น ๆ แล้วปิดตามเดิม อาจต้องทำสลับเช่นนี้จนคุณภาพอากาศลดลงมาอยู่ในระดับที่ปลอดภัยสำหรับแต่ละบุคคล

3. ควรสวมหน้ากากที่สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ (N-95) และสวมให้ถูกวิธี จำเป็นต้องเลือกขนาดที่ใส่ได้กระชับกับรูปจมูกและใบหน้า หากเริ่มอึดอัดหรือเหนื่อยให้ถอดออกเพียงชั่วครู่ ก็จะรู้สึกสบายขึ้นแล้วรีบสวมใหม่ ทำสลับกันไปเช่นนี้จนดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยกับตนเอง การใส่หน้ากากN95 ที่มีวาล์วระบายลมหายใจออกจะทำให้อึดอัดน้อยลงใส่ได้นานขึ้น

4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายนอกอาคารหรือในอาคาร(โรงยิม)ที่ไม่มีระบบฟอกอากาศนาน ๆหรืออาจต้องงดออกกำลังกายขึ้นกับระดับคุณภาพอากาศในช่วงเวลานั้นและปัจจัยเสี่ยงของแต่ละบุคคล

5. หลีกเลี่ยงการอยู่ในอาคารที่ไม่มีระบบฟอกอากาศ (เช่น โรงแรม ศูนย์การค้า ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ที่ไม่มีระบบฟอกอากาศ) ถ้าจำเป็นต้องอยู่ควรสวมหน้ากาก N-95 และทำตามข้อ 3

6. ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง หรือโรคระบบหายใจเรื้อรัง เช่นหอบหืด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง ควรหมั่นสังเกตอาการ โรคกำเริบ ถ้ามีอาการควรใช้ยาหรือรักษาเบื้องต้นตามที่แพทย์เคยแนะนำและไปพบแพทย์โดยเร็วหากอาการไม่หายเป็นปกติ

7. ผู้ที่ไม่มีโรคประจาตัวหรือแข็งแรง ถ้ามีอาการผิดปกติที่รบกวนชีวิตประจาวันควรรีบพบแพทย์เช่นกัน อาการสำคัญที่ควรรีบไปพบแพทย์อย่างฉุกเฉิน ได้แก่ แน่นอกหรือเจ็บอกหรือเจ็บท้องใต้ลิ้นปี่เหมือนมีของหนักกดทับ เหนื่อยหอบผิดปกติ ปวดมึนศีรษะ ชาหรืออ่อนแรงที่ใบหน้าหรือแขนขาซีกใดซีกหนึ่งอย่างฉับพลัน มุมปากตก ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด พูดไม่ออก สับสน มองไม่เห็นฉับพลัน อาการไอเป็นชุด ๆ ไอมีเสียงดังหวีด มีไข้และหอบเหนื่อย เป็นต้น

8. สวมแว่นตาขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันดวงตาจากมลพิษ ใช้น้ำเกลือมาตรฐานล้างตาหากรู้สึกระคายเคืองตา

9. ใช้น้ำเกลือล้างจมูก เพื่อล้างฝุ่นควันลดอาการคัดจมูก หรือ กลั้วคอ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ

10. ไม่เป็นผู้ก่อมลพิษเอง เช่น ไม่เผาทุกชนิด ไม่สูบบุหรี่ ไม่ใช้รถควันดำ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ออฟฟิศเมท มอบหน้ากาก Face Shield #สู้ไปด้วยกัน กับบุคลากรทางการแพทย์

บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) ธุรกิจออฟฟิศเมท รวมพลังพนักงานจิตอาสาร่วมแรงร่วมใจผลิตหน้ากากป้องกันละอองฝอย (Face Shield) เพื่อป้องกันสุขอนามัยของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นด่านหน้าในการรับมือกับเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยตั้งใจเดินหน้ามอบ Face Shield ให้โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง


นางสาวพิมพ์ตะวัน ทัลวัลลิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายทรัพยากรบุคคล กล่าวว่า ออฟฟิศเมท ห่วงใยและใส่ใจสุขอนามัยของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้รวมพลังพนักงานจิตอาสาจากทุกหน่วยงานในองค์กร ทั้งสำนักงานใหญ่, ศูนย์ Contact Center และพนักงานร้านออฟฟิศเมท #เป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ โดยร่วมผลิตหน้ากากป้องกันละอองฝอย (Face Shield) เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยป้องกันไวรัสโควิด-19 โดยหน้ากากทุกชิ้นพนักงานทำด้วยใจ ให้ความสำคัญกับความสะอาดในทุกขั้นตอน ตั้งใจส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมเริ่มต้นที่ 10,000 ชิ้น เพื่อ #ฝ่าโควิด19 ไปด้วยกัน โดยบริจาคที่แรกจังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับเกียรติจาก พลอากาศตรี ทวีพงษ์ ปาจรีย์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ พร้อมทีมบุคลากรทางการแพทย์เป็นผู้รับมอบ จำนวน 1,000 ชิ้น


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

DITP เปิดตัวกิจกรรมออนไลน์ “จับคู่ธุรกิจ ติดปีกการค้าออนไลน์” เตรียม SMEs ไทยส่งออกออนไลน์ข้ามแดน

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ปรับกลยุทธ์รับสถานการณ์โควิด-19 ชูระบบออนไลน์ เพื่อผลักดันการส่งออกผ่าวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัส ริเริ่มการจัดกิจกรรมออนไลน์ “จับคู่ธุรกิจ ติดปีกการค้าออนไลน์” ที่มาพร้อม Online Business Matching ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สนับสนุนและขยายโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคได้เข้าใจรูปแบบการขยายช่องทางธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศผ่านช่องทางการค้าออนไลน์ร่วมกับแพลตฟอร์มพันธมิตรชั้นนำในตลาดศักยภาพ

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ปรับรูปแบบการส่งเสริมผู้ส่งออกให้สอดรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19 ตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) โดยให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาขับเคลื่อนกิจกรรมทางการค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสอันดีในช่วงเวลานี้ที่การค้าออนไลน์กำลังได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กรมจึงได้ริเริ่มปรับรูปแบบการเจรจาธุรกิจจากเดิมที่ทำแบบออฟไลน์สู่ช่องทางออนไลน์ หรือเรียกได้ว่า Online Business Matching อย่างเต็มรูปแบบ และจะจัดควบคู่ไปกับรายการ “จับคู่ธุรกิจ ติดปีกการค้าออนไลน์” เพื่อให้ผู้ประกอบการณ์ที่สนใจสามารถทำความเข้าใจโมเดลธุรกิจการทำการค้าออนไลน์ระหว่างประเทศ (Cross-Border eCommerce) และประเมินความพร้อมของตนก่อนเริ่มธุรกิจ ซึ่งกรมฯ ได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรชั้นนำที่มีความหลากหลายและมีศักยภาพในตลาดเป้าหมายจากหลายประเทศในการเข้าร่วมให้คำปรึกษาและจับคู่เจรจาธุรกิจ โดยจะเริ่มครั้งแรกวันที่ 21 เมษายนนี้ กับแพลตฟอร์มในตลาดกัมพูชา – Klangthai.com และมีแผนร่วมกับแพลตฟอร์มพันธมิตรต่างๆ อาทิ Amazon.com (ตลาดอเมริกา) Bigbasket.com (ตลาดอินเดีย) และ Tmall (ตลาดจีน) เป็นต้น โดยคาดว่าจะสามารถช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการไทยได้ภายใต้ช่วงสถานกาณ์ดังกล่าว

สำหรับกิจกรรม “จับคู่ธุรกิจ ติดปีกการค้าออนไลน์” มาในลักษณะการจัดรายการออนไลน์แบบ Live Steaming ที่ผสมผสานระหว่างการให้ความรู้และกิจกรรมเวิร์กช็อปจาก Thaitrade.com จัดสลับกับการพูดคุยกันแบบเจาะลึกกับพันธมิตรธุรกิจออนไลน์จากทั่วโลก ผู้ชมสามารถสอบถามข้อสงสัยในการส่งออกและรูปแบบการทำธุรกิจได้ทันที โดยจะถ่ายทอดสดผ่านช่องทาง Facebook เพจ : Thaitrade.com พร้อมทั้งสามารถจัดทำนัดหมายต่อเนื่องเพื่อเจรจาจับคู่ทางธุรกิจผ่านทางระบบออนไลน์กับแพลตฟอร์มชั้นนำ

ทั้งนี้ กิจกรรม “จับคู่ธุรกิจ ติดปีกการค้าออนไลน์” จะเริ่มครั้งแรกกับ ผู้แทนการค้าจากแพลตฟอร์ม Klangthai.com และผู้แทนจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่จะมาให้ข้อมูลการเข้าร่วมขายผ่านร้าน TOPTHAI Store บนแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลส และวิธีขายสินค้าให้เป็นที่รู้จักในตลาดออนไลน์ในกัมพูชาและทั่วโลก ในวันอังคารที่ 21 เมษายน 2563 เวลา 13.00 – 14.00 น. ถ่ายทอดสด บน Facebook page: Thaitrade.com และ ในวันที่ 22 – 24 เมษายน 2563 จะเปิดให้มีการจับคู่เจรจาธุรกิจ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม Online Business Matching ได้ที่ www.pynx.net/ditp หรือติดตามข่าวสารของการจัดงานดังกล่าวได้ผ่านช่องทาง Facebook page: Thaitrade.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อเมริกันสแตนดาร์ด สนับสนุนบุคลากรสาธารณสุขและหน่วยงานภาครัฐ สู้ Covid-19 ด้วยการส่งมอบเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ

อเมริกันสแตนดาร์ด แบรนด์สุขภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก เดินหน้าให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์และหน่วยงานภาครัฐสู้ Covid-19 โดยส่งมอบเจลแอลกอฮอล์ล้างมือจำนวนมากกว่า 30,000 ขวด ให้แก่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, มูลนิธิโรงพยาบาลรามาธิบดีฯ, มูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต, กรมกิจการเด็กและเยาวชน และกรมกิจการผู้สูงอายุ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, รวมทั้งหน่วยงานทหาร 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 25) และสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า วัดดอนจั่น จังหวัดเชียงใหม่

โดยเจลแอลกอฮอล์ล้างมือเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันในเบื้องต้น อเมริกันสแตนดาร์ดขอยกย่องและชื่นชมในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรด้านสาธารณสุขที่อยู่ด่านหน้าทุกท่านในการต่อสู้กับ COVID-19


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คาลเท็กซ์ ฮาโวลีน โฉมใหม่ เพิ่มพลังแกร่ง ให้รถจักรยานยนต์ของคุณ บิดได้เต็มแรง

บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นคุณภาพระดับโลก คาลเท็กซ์ ฮาโวลีน แนะนำ ผลิตภัณฑ์ใหม่ น้ำมันเครื่องสำหรับรถจักรยานยนต์ มาตรฐาน API SN มาตรฐานสูงสุดของผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นในกลุ่มรถจักรยานยนต์ ได้แก่ น้ำมันเครื่องสำหรับรถจักรยานยนต์เกียร์ธรรมดา ฮาโวลีน ซูเปอร์ 4ที ฟูลลี่ ซินเธติก SAE 5W-40, ฮาโวลีน ซูเปอร์ 4ที เซมิ-ซินเธติก SAE 10W-30 และ ฮาโวลีน ซูเปอร์ 4ที เซมิ-ซินเธติก SAE 10W-40 และน้ำมันเครื่องสำหรับรถจักรยานยนต์เกียร์ออโตเมติก ฮาโวลีน ซูเปอร์เมติก 4ที เซมิ-ซินเธติก SAE 10W-30 และ ฮาโวลีน ซูเปอร์เมติก 4ที เซมิ-ซินเธติก SAE 10W-40 ที่ได้พัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ขึ้นใหม่โดยเฉพาะ ด้วย C.O.R.E + Technology ที่ช่วยให้เครื่องยนต์สะอาดยิ่งกว่าเดิม ลดคราบเขม่าสะสม เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มสมรรถนะ (Cleans and Protects) ต้านทานการเกิดออกซิเดชั่น รักษาความหนืดได้ดีขึ้น (Oxidation Stability) ทนทานต่อความร้อนได้ยาวนานมากขึ้น น้ำมันมีความเสถียรสูง ช่วยลดความเสียหายของเครื่องยนต์จากความร้อน (Reduces Engine Heat Damage) และเพิ่มอัตราเร่งได้ดีกว่าด้วย เทคโนโลยี ZOOMTECH ที่ช่วยปรับแรงเสียดทานให้เหมาะสมทำให้การจับคลัทช์ดีขึ้น มั่นใจในทุกสภาวะการขับขี่ พร้อมปรับเปลี่ยนดีไซน์และรูปลักษณ์บรรจุภัณฑ์โฉมใหม่ ทันสมัย ฉลากดูเด่นชัด เพื่อง่ายต่อการมองเห็น

เติมพลังแกร่ง เต็มแรงบิดด้วยนวัตกรรมสำหรับการปกป้องรถจักรยานยนต์ ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย กับผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นคาลเท็กซ์ ฮาโวลีน ได้ตั้งแต่วันนี้ ที่สถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ทั่วประเทศ ร้านตัวแทนจำหน่ายของคาลเท็กซ์ ร้าน Havoline bikePro และจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ที่Lazada และ Shopee หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมของผลิตภัณฑ์ได้ที่ โทร 02 081 4123 ติดตามข้อมูลข่าวสารพร้อมกิจกรรมดี ๆ จากคาลเท็กซ์ได้ที่ www.caltex.co.thwww.facebook.com/CaltexThailand, @Line iLoveCaltex


 

Exit mobile version