Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

EATON (อีตั้น) เปิดตัวเครื่องสำรองไฟรุ่นล่าสุด “5V” เจาะกลุ่มผู้ใช้งานในสำนักงานและบ้าน พร้อมรับกระแส New Normal

บริษัท อีตั้น อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด (EATON) นำโดยนายปริญญา พงษ์รัตนกูล ผู้จัดการประจำประเทศไทย(เสื้อฟ้าขาว) เปิดตัวเครื่องสำรองไฟรุ่นล่าสุด “5V” โดยนำเสนอจุดเด่นทางด้านการทำงานแบบ Line interactive เจาะกลุ่มผู้ใช้ในสำนักงานเพื่อการใช้งานกับคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ อุปกรณ์โทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต และอุปกรณ์จุดจำหน่ายสินค้า (POS)

รวมทั้งกลุ่มผู้ใช้งานในบ้านที่ต้องการปกป้องอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีความสำคัญ ก็สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ, Full HD TV, อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต และอื่นๆ เพื่อรองรับกระแสการทำงานแบบ New Normal ที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งเครื่องสำรองไฟฟ้า 5V นี้ ถือว่าคุณสมบัติครบในราคาคุ้มค่า ที่มาพร้อมเต้ารับแบบสากล(universal outlets) ทำให้การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆเป็นไปอย่างง่ายดายเพื่อความปลอดภัยในการใช้งานแม้จะประสบปัญหาคุณภาพไฟฟ้าเช่น ไฟตก ไฟเกินหรือไฟดับ โดยมีนายนพคุณ วิศิษฎ์รัฐกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินแกรม ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด(เสื้อดำ) ตัวแทนจำหน่ายหลักอย่างเป็นทางการของแบรนด์ EATON ร่วมเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆนี้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. โชว์นวัตกรรมตู้ตรวจโรคโควิด -19 ความดันบวก สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) สนับสนุนสร้างนวัตกรรมสู้ภัยโควิด-19 โดยการผนึกกำลังของคณะและส่วนงานต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัย ร่วมกับศิษย์เก่า องค์กรเครือข่ายพันธมิตรของมหาวิทยาลัยด้านการวิจัยและเทคโนโลยี เพื่อรับมือกับความท้าทาย ตอบโจทย์ และพลิกวิกฤติเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเหลือสังคม นักศึกษา และสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่แนวหน้าทุกคนได้เข้าถึงงานวิจัย-นวัตกรรมช่วยเหลือสู้ภัยเชื้อไวรัสโควิด-19

นวัตกรรมที่สร้างมาจากองค์ความรู้ด้านการวิจัยของมหาวิทยาลัยและได้ส่งมอบใช้งานแล้ว ได้แก่ ตู้ตรวจโรคโควิด -19 ความดันบวก โดยเมื่อที่ 19 มิถุนายน 2563 ณ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร รศ.ดร.สันชัย อินทพิชัย รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนากิจการมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ประธานพิธีส่งมอบตู้ตรวจโรคโควิด -19 ความดันบวก พลตรี ธไนนิธย์ โชตนภูติ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร เป็นผู้รับมอบ เพื่อเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่มีความปลอดภัยในการคัดกรองโรคได้ โดยมี อาจารย์ ดร.เต็มสิริ ทรัพย์สมาน รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม ภาควิชาวิศวกรรมการผลิต คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจพ. หัวหน้าโครงการ “ตู้ตรวจโรคโควิด-19 ความดันบวก” ร่วมเป็นสักขีพยาน พร้อมคณะผู้บริหารสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร ร่วมพิธีดังกล่าว

อาจารย์ ดร.เต็มสิริ ทรัพย์สมาน เปิดเผยว่า นวัตกรรมตู้ตรวจโรคโควิด-19 ความดันบวก ก่อนหน้านี้ได้ออกแบบตู้ตรวจโรคความดันบวกเป็นตู้ต้นแบบแล้ว จัดสร้างด้วยเงินรายได้ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มจพ. โดยตู้ต้นแบบได้ไปทดลองที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรแล้ว ได้ผลการตอบรับที่ดีจากทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน แผนถัดไปก็จะสร้างตู้และมอบให้แก่โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ ต่อไป สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังมีความรุนแรงต่อเนื่อง กอปรกับความต้องการตู้ฆ่าเชื้อโรคโควิด-19 ก็ยังมีความต้องการอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ มจพ. มีนโยบายเพื่อการระดมทุนช่วยเหลือโรงพยาบาลต่าง ๆ สอดรับกับความต้องการตู้ตรวจโรคโควิด -19 ความดันบวก ที่ได้จัดสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหารใช้ประโยชน์ในการตรวจคัดกรองคนไข้หาเชื้อโรคโควิด-19 ใช้งบประมาณจัดสร้างตู้ละ 75,000 บาทและค่าขนส่งตู้ละ 10,000 บาท ซึ่งบริษัทที่ช่วยจัดสร้างตู้ดังกล่าว เป็นหนึ่งในทีมวิจัยด้วย ทั้งนี้ ตู้นี้ได้รับบริจาคเครื่องปรับอากาศจากบริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์-มหาจักร แอร์ คอนดิชั่นเนอร์ส จำกัด หรือ (MACO) ร่วมกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชา ระยะเวลาในการจัดสร้างประมาณ 1 เดือน โดยมีทีมงานวิจัย ตู้ตรวจโรคโควิด-19 ความดันบวก มาจากหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย (1) รศ.ดร.อุดมเกียรติ นนทแก้ว คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มจพ. หัวหน้าทีม (2) อาจารย์ ฐิฎิมา อัมพวรรณ คณะสถาปัตยกรรมและการออกแบบ มจพ.ออกแบบสติกเกอร์ตู้ (3) ผศ.ดร.ยอดชาย เตียเปิ้น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชา นักวิจัย (4) อาจารย์ ดร.ไทยทัศน์ สุดสวนสี มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ นักวิจัย (5) ดร.ธาเนตร แสงสว่างมาตุ้ม บริษัท Turbo Fluid Corporation จัดสร้าง ทดสอบ และติดตั้ง และ (6) คุณสุรชัย คงอุไร บริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์-มหาจักร แอร์คอนดิชั่นเนอร์ส จำกัด หรือ (MACO) บริจาคเครื่องปรับอากาศ

ตู้ตรวจโรคโควิด-19 ความดันบวก เป็นตู้กรองอากาศที่สามารถป้องกันอันตรายและการปนเปื้อนจากการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน มีคุณสมบัติพิเศษและจุดเด่นของนวัตกรรมใหม่ จะคงความดันภายในที่ 7.47 ปาสคาล ซึ่งหมายถึงตู้ขณะทำการตรวจเชื้อต้องมีความดันเป็นบวก โดยจะดูดอากาศเข้าภายในตู้ผ่านแผ่นกรอง HEPA ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อคงความดันในตู้ให้เป็นบวก ที่ 7.47 ปาสคาล ซึ่งจะทำให้อากาศจากภายนอกไม่สามารถเข้าไปในตู้ในช่องทางอื่นได้ บุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในตู้จะไม่ได้รับเชื้อโควิด-19 ขณะทำการตรวจผู้ป่วย ทำให้อากาศที่ไม่ได้กรองภายนอกก็จะไม่สามารถเข้าไปได้ กล่าวคือความดันบวก : เมื่อต้องการตรวจเชื้อโดยแพทย์อยู่ด้านใน เหมาะกับการใช้งานกับคนไข้นอก OPD ที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก โดยติดตั้งภายนอกอาคารที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี ทำให้การตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 มีความปลอดภัย สำหรับใช้ตรวจวินิจฉัย (Swab) โดยไม่ต้องสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย ด้านการออกแบบทรงสี่เหลี่ยมแนวตั้งสำหรับผู้ป่วย 1 คน ต่อ 1 ห้อง ขนาดตู้กว้าง 1.2 x ยาว 1.2 x สูง 2.5 เมตร แบบติดตั้งภายนอกอาคาร ระบบบําบัดอากาศ HEPA Filter อุปกรณ์แสดงผลความดันบรรยากาศ และอุปกรณ์สื่อสารระหว่างภายในและภายนอก ตู้ตรวจโรคโควิด-19 ความดันบวก เป็นห้องตรวจเชื้อความดันบวกแบบเคลื่อนที่ (Positive Pressure) ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อขณะทำการตรวจวินิจฉัย จึงปลอดภัยต่อแพทย์และเจ้าหน้าที่ โครงสร้างผลิตจากโลหะปลอดสนิม ผนังด้านหน้า-ด้านข้าง ทำจาก Plexiglass แผงควบคุมใช้ไฟแสดงการทำงาน ปุ่มเปิด-ปิดหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์พร้อมปุ่มควบคุมการทำงานเครื่องปรับอากาศ ส่วนการสื่อสารใช้ผ่านอินเตอร์คอมหรือไมโครโฟน และติดตั้งเครื่องปรับอากาศขนาด 9,000 BTU ตู้ตรวจโรคโควิด-19 ความดันบวก อีกหนึ่งความปลอดภัย ที่ติดตั้งง่าย เคลื่อนย้ายสะดวกที่พัฒนาขึ้นโดยทีมวิจัย จาก มจพ. หากหน่วยงานใด สนใจสามารถติดต่อผ่าน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจพ.

โอกาสนี้ขอเชิญศิษย์เก่า ผู้ปกครองและผู้มีจิตศรัทธาทุก ๆ ท่าน ร่วมบริจาคสมทบทุนกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ต้านภัยโควิด-19 เพื่อนำเงินบริจาคร่วมจัดทำนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ สามารถโอนเงินเข้าบัญชี ชื่อบัญชี “กองทุนพัฒนามหาวิทยาลัยและต้านภัยโควิด มจพ.” ธนาคารกรุงเทพ สาขา มจพ. เลขที่บัญชี 907-3-50043-2 ใบเสร็จรับเงินในการบริจาคสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า

“ตู้ตรวจโรคโควิด-19 ความดันบวก” ถือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ นอกจากจะตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัยแล้ว ความสะดวกในการใช้งาน ทั้งการติดตั้งและเคลื่อนย้าย ใช้งานได้จริง เป็นสิ่งที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องการ เพื่อการใช้งานอย่างไม่มีข้อจำกัด โดย มจพ. ได้จัดสร้างและส่งมอบตู้ตรวจโรคโควิด-19 ความดันบวกนี้ให้แก่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร สำหรับใช้ประโยชน์ เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเป็นด่านแรกของการต่อสู้กับวิกฤติการณ์ COVID-19”

ขวัญฤทัย ข่าว-ภาพ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

PouchNATION เปิดตัวสายรัดข้อมือตรวจวัดอุณหภูมิสำหรับภาคธุรกิจและครัวเรือนเพื่อช่วยบรรเทาการระบาดของ COVID-19

ประเทศสิงคโปร์ (24 มิถุนายน 2563) – ในฐานะผู้นำเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการมวลชน ระบบชำระเงินแบบไร้การสัมผัส และการวิเคราะห์พฤติกรรม PouchNATION ซึ่งเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น ซึ่งเกิดจากการต่อยอดเพิ่มเติมจากผลิตภัณฑ์สำหรับสวมใส่ดั้งเดิมของบริษัท PouchPASS เป็นนวัตกรรมใหม่ของสายสายรัดข้อมือในการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายอย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้เทคโนโลยีบลูทูธ (Bluetooth) เพื่อบันทึกและซิงค์ข้อมูลอุณหภูมิของร่างกายผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือหรือผ่านแดชบอร์ดเมื่อมีจำนวนผู้ใช้งานจำนวนมาก ฟีเจอร์สำคัญของ PouchPASS คือสามารถใช้เครื่องมือในการติดตามตัว (Contact tracing) และคัดกรองระยะเริ่มต้นของผู้ที่มีอุณหภูมิร่างกายสูงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือนสามารถตรวจสุขภาพด้วยตนเองได้ เพื่อช่วยบรรเทาและลดการแพร่กระจายของ COVID-19

สายรัดข้อมือ PouchPASS และแอปพลิเคชัน
อิลยา คราฟซอพ ซีอีโอ PouchNATION กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเราสร้างธุรกิจเพื่อเป็นผู้นำด้านการใช้เทคโนโลยีสายรัดข้อมือในการบริหารจัดการมวลชนสำหรับงานอีเวนต์และสถานที่จัดงานและให้บริการด้านต่างๆ ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในทุกๆ ปีเราดำเนินงานอีเวนต์หลายร้อยงาน โดยใช้เทคโนโลยีของเราในการบริหารจัดการผู้เข้าร่วมงานหลายล้านคนทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งให้ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคเชิงลึก ระบบจำหน่ายตั๋วและการบริหารจัดการมวลชน การระบาดของไวรัส COVID-19 นับเป็นเหตุการณ์ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตการทำงานของเรา เมื่อเราเข้าใจถึงความรุนแรงของสถานการณ์ เราจึงตัดสินใจปรับเปลี่ยนความรู้และทรัพยากรของเราไปทิศทางที่จะเป็นการปกป้องชีวิตและสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้นสำหรับอนาคต

คูณ แวน กีน ผู้อำนวยการหน่วยปฏิบัติการผลิตภัณฑ์ใหม่ กล่าวว่า PouchNATION เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคมาโดยตลอด และการใช้ RFID เป็นการเปิดใช้งานระบบชำระเงินแบบไร้เงินสด การระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ (Geolocation) การจำหน่ายตั๋ว การพัฒนาระบบ POS ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมของเราซึ่งสามารถรายงานข้อมูลการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคได้อย่างละเอียด สำหรับคนที่รู้จักเราบวกกับสปิริต “เราทำได้” ก็คงไม่แปลกใจที่เราสามารถนำความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ การปฏิบัติได้งานจริงและข้อมูลเชิงลึก พร้อมด้วยประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการมวลชน งานอีเวนต์ สถานที่และการทำงานร่วมกับผู้จัดงานในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มาพัฒนาให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดของเรา

กรณีศึกษาขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในประเทศจีนและยุโรประบุว่าอาการบ่งชี้หลักของผู้ป่วย COVID-19 คือ มีอาการไข้ถึง 89.1% ดังนั้นการเพิ่มเครื่องมือในการวัดอุณหภูมิร่างกายเข้าไปในสายรัดข้อมือของเราจึงเป็นการเพิ่มความมั่นใจในอีกระดับให้กับผู้ร่วมงานและผู้จัดงานเมื่อกิจกรรมและธุรกิจกลับมาเปิดตัวอีกครั้ง เทคโนโลยีนี้สามารถใช้งานได้อย่างไม่จำกัด อาทิ ในการกีฬา ภายในอาคารสถานที่ กิจกรรม โรงงาน โรงเรียน โรงพยาบาล เรือนจำ ระบบขนส่งสาธารณะ นอกจากนี้เราต้องการให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงการใช้งานผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ ดังนั้นการกำหนดราคาจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเราในการเปิดตัว PouchPASS

ฟีเจอร์บน PocuhPASS แอปพลิเคชั่น
สร้างด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงแต่ง่ายในการใช้งาน


แอปพลิเคชัน PouchPASS ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบอุณหภูมิของร่างกายได้อย่างต่อเนื่องในระยะไกลโดยไม่ต้องมีการสัมผัสระหว่างบุคคล ข้อมูลอุณหภูมิร่างกายที่วัดได้จากเซ็นเซอร์บนสายรัดข้อมือจะถูกซิงค์โดยอัตโนมัติแบบเรียลไทม์ผ่านเทคโนโลยีบลูทูธที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือและเครือข่ายบลูทูธในพื้นที่ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกจัดเก็บบนคลาวด์ซึ่งสามารถเรียกดูข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน PouchPASS บนมือถือและแดชบอร์ดได้ เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ที่หลากหลายตั้งแต่การใช้งานส่วนบุคคล ไปจนถึงพื้นที่ขนาดใหญ่ อาทิ โรงเรียน โรงงาน ห้างสรรพสินค้า สนามบิน สถาบันและองค์กรต่างๆ ที่ต้องการตรวจสอบความปลอดภัยด้านสุขภาพของพนักงานและเพื่อให้การเปิดธุรกิจเปิดดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง และการใช้ PouchPASS จะช่วยให้องค์กรลดชั่วโมงการทำงานในการวัดและบันทึกอุณหภูมิในหลายๆครั้งต่อวันซึ่งเป็นมาตรฐานที่รัฐบาลหลายแห่งตั้งข้อกำหนดไว้

ฟีเจอร์บน PocuhPASS แดชบอร์ด

เต็มเปี่ยมด้วยข้อมูลแต่มีความเป็นส่วนตัว 100%

ผู้ใช้งานสามรถเปิดใช้งานบริการพิกัดข้อมูลสถานที่ (Location service) บนโทรศัพท์มือถือเพื่อแชร์ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ (Geolocation) ให้กับสมาชิกครอบครัวและเพื่อนร่วมงานได้ และเมื่อมีการเชื่อมต่อระหว่างสายรัดข้อมือ แอปพลิเคชันและเครือข่ายบลูทูธในพื้นที่ ข้อมูลอุณหภูมิจะถูกจัดเก็บผ่านการเชื่อมต่อทั้งหมดและสามารถดูข้อมูลผ่านออนไลน์แดชบอร์ด นอกจากนี้ผู้ใช้งานจะเป็นผู้กำหนดเองว่าข้อมูลไหนที่ต้องการจะแชร์ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนการตั้งค่านี้ได้ตลอดเวลา

คูณ แวน กีน กล่าวเพิ่มเติมว่า มีข้อกังวลเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลจากการใช้งานระบบต่างๆ จำนวนมากในตลาด เช่น ระบบจดจำใบหน้า การเช็คอินตำแหน่งด้วย QR แอปพลิเคชันใช้ติดตามตัว ฯลฯ PouchPASS จึงให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของคุณ และคุณเท่านั้นที่จะเป็นคนควบคุมและกำหนดว่าข้อมูลส่วนบุคคลส่วนใดที่คุณอยากจะแชร์

คงทนและทนทานด้วยราคาที่คุ้มค่า
ด้วยอัลกอริทึมที่มีความอัจฉริยะในการเปรียบเทียบค่าที่ได้จากเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิกับค่ามาตรฐาน จึงทำให้ผลการวัดอุณหภูมิมีความแม่นยำสูง ซึ่งการให้ข้อมูลการวัดอุณหภูมิที่มีความน่าเชื่อถือนั้นคือหัวใจสำคัญในระบบของแอปพลิเคชัน PouchPASS
ปลอกของสายรัดข้อมือผลิตจากซิลิโคนและโพลีคาร์บอเนต (PC) ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ทางผิวหนัง และยังมีผิวสัมผัสที่นุ่มลื่น มีความยืนหยุ่นจึงทำให้รู้สึกสบายเมื่อสวมใส่ และส่วนประกอบอีกหนึ่งชิ้นที่สามารถถอดออกจากสายได้คือ บลูทูธบีคอน (BLE 5.0) ที่มาพร้อมกับเซ็นซอร์วัดอุณหภูมิแบบดิจิทัลซึ่งมีการรับรองตามมาตรฐานอุปกรณ์การแพทย์และมาตรฐาน CE

สายรัดข้อมือ PouchBAND และสายรัดข้อมือ PouchBAND พลัส
สายรัดข้อมือ PouchBAND ทั้ง 2 รุ่นมีทั้งหมด 3 ขนาด คือ ขนาดเล็ก (11-16 ซม.) ขนาดกลาง (15-20 ซม.) และขนาดใหญ่ (18-23 ซม.) ลูกค้าสามารถเลือกสีที่หลากหลายจากสต็อกของเราได้เมื่อสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จำนวนต่ำกว่า 1,000 ชิ้น แต่หากสั่งผลิตจำนวนมากกว่า 1,000 ชิ้นลูกค้าจะสามารถกำหนดสีและออกแบบการพิมพ์โลโก้ได้ตามความต้องการ นอกจากนี้สายรัดข้อมือ PouchBAND มีคุณสมบัติในการป้องกันฝุ่น 100% และป้องกันการซึมเข้าของน้ำได้ จึงทำให้สามารถสวมใส่ขณะล้างจานหรือแม้กระทั้งขณะอาบน้ำ อีกทั้งยังลดความยุ่งยากในการชาร์จไฟด้วยเพราะสายรัดข้อมือ PouchBAND ใช้พลังงานจากถ่านกระดุมลิเธียมรุ่น CR2032 ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนเองได้และสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องนานหลายเดือน

บรรจุภัณฑ์ของ PouchPASS
สายรัดข้อมือ PouchBAND รุ่นพลัสจะมี RFID ไมโครชิปซึ่งเป็นการรวมคุณลักษณะ NFC ฟีเจอร์ดั้งเดิมของ PouchNATION ใช้งานในส่วนของการควบคุมการเข้าออก การบันทึกเข้างานของผู้ร่วมกิจกรรม ระบบชำระเงินแบบไร้เงินสด การทำงานเชื่อมต่อในการเปิดปิดล๊อคของประตู และเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ โดยแนะนำให้อัพเกรดการใช้งานเป็นรุ่นนี้สำหรับการจัดกิจกรรม งานอีเวนต์ โรงเรียน และองค์กรที่มีการใช้งานร่วมกันระหว่างการเข้าออก การซื้ออาหาร และการจำหน่ายตั๋วของงานอีเวนต์

ราคาแพ๊คเกจสมาชิกใช้งานสายรัดข้อมือ PouchBAND และสายรัดข้อมือ PouchBAND พลัส มีราคาเพียงไม่กี่ดอลลาร์ต่อเดือน หากท่านสนใจที่จะเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการใช้งานโซลูชั่นแนวหน้านี้ โปรดกรอกอีเมล์ของท่านบนเว็บไซต์ www.pouchpass.com เพื่อดูส่วนลดราคาพิเศษซึ่งมีจำนวนจำกัดเฉพาะผู้ซื้อกลุ่มแรกเท่านั้น

###################

PouchNATION เป็นบริษัทชั้นนำผู้ให้บริการเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการมวลชน ระบบชำระเงินแบบไร้การสัมผัส และการวิเคราะห์พฤติกรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีเครือข่ายสำนักงานอยู่ใน 6 ประเทศทั่วภูมิภาค PouchNATION ประสบความสำเร็จในการใช้งานโซลูชั่นด้านการจำหน่ายตั๋ว การลงทะเบียน การควบคุมการเข้าออก กิจกรรมของแบรนด์ สำหรับงานอีเวนต์และสถานที่ที่มีคนจำนวนมากในธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งแต่การกีฬา งานดนตรีไปจนถึงธุรกิจด้านการบริการ การจัดประชุมสัมมนา และการจัดนิทรรศการ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ธนาคารกรุงเทพชวนฟังประสบการณ์ 3 Gen 3 วงการ “Next Normal…รู้ก่อน รุกก่อน”

ครั้งแรกกับที่สุดของแขกรับเชิญ 3 Gens 3 วงการ ที่จะมาร่วมแชร์มุมมองอนาคตหลัง New Normal… ในหัวข้อ “Next Normal…รู้ก่อน รุกก่อน” ร่วมเปิดมุมมอง แสวงหาโอกาสทางธุรกิจ พร้อมรับมือโลกภายใต้มาตรฐานใหม่เต็มรูปแบบ กับ คุณเคน- นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ บรรณาธิการบริหาร The Standard คุณป้อม- ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ซีอีโอ ตลาด ดอท คอม กรุ๊ป และ คุณวีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ดำเนินรายการโดย คุณสุทธิชัย หยุ่น นักสื่อสารมวลชนแถวหน้า ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 เวลา 19.00 น. ห้ามพลาด!!! จับตาชมถ่ายทอดสด Full HD ผ่าน Webinar พร้อมถามตอบ Real Time

ลงทะเบียนรับชมฟรี แบบ Exclusive จำนวนจำกัด ที่นี่ : https://www.bangkokbanksme.com/en/sme-event-next-normal


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การเปลี่ยนแปลงราคาที่ดิน พ.ศ.2537-2563

สำหรับปีที่ผ่านมานี้ แม้จะมีวิกฤตต่างๆ เข้ามามากมาย แต่ราคาที่ดินยังกระโดดพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งที่เศรษฐกิจไม่ดี

ทั้งนี้เพราะมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ เป็นจำนวนมากในขณะนี้ ประกอบกับอุปทานที่ดินมีจำกัด เนื่องจากความหย่อนยานของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

ในทุกปี ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้สำรวจการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินตัวอย่างในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจำนวนประมาณ 200 กว่าแปลง และตามสถานีรถไฟฟ้าอีกประมาณ 150 สถานี โดยสำรวจมาตั้งแต่ปี 2537 ส่วนข้อมูลก่อนหน้านั้นย้อนไปถึงปี 2528 เป็นการเก็บข้อมูลอื่นจากการประเมินค่าทรัพย์สินและการสำรวจวิจัยต่อเนื่อง การเก็บข้อมูลเช่นนี้จะทำให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถทราบการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินในย่านต่างๆ ในเวลาเดียวกัน เพื่อจะได้พิจารณาศักยภาพของที่ดินแต่ละแห่ง

รายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินแบ่งได้ดังนี้

ราคาที่ดินในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพิ่มขึ้นถึง 66.8 เท่านับตั้งแต่ปี 2528 ถึงสิ้นปี 2563 ในระยะเวลาเพียง 35 ปี ทั้งนี้เพราะประเทศเปลี่ยนจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรม

ราคาเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดในปี 2539 ที่ประมาณ 31.2 เท่า ในช่วงปี 2528-2539 หรือ 11 ปี ทั้งนี้เป็นเพราะประเทศไทยในขณะนั้นเริ่มเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (Newly Industrialized Country) มีญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนหลังข้อตกลง Plaza Accord

อย่างไรก็ตามราคาที่ดินตกต่ำลงอย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนในยุควิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ทำให้ราคาลดลงเหลือ 25.9 เท่า จาก 31.2 เท่า ซึ่งเท่ากับราคาที่ดินลดลง 17% จากช่วงสูงสุดในปี 2539 ภายในเวลา 4 ปี (2539-2543) ของวิกฤติการณ์ดังกล่าว

ราคาที่ดินเริ่มฟื้นตัว และแม้จะมีวิกฤติ Hamburger Crisis ในสหรัฐอเมริกา ก็ไม่ทำให้ราคาที่ดินในประเทศไทยลดลง แต่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าในช่วงปี 2542-2563 ราคาที่ดินเพิ่มจากดัชนีที่ 25.9 เป็น 66.8 หรือ เพิ่มขึ้น 2.6 เท่านั่นเอง หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.6% ต่อปี

จะสังเกตได้ว่าราคาที่ดินฟื้นตัวเป็นอย่างมากเป็นในยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟูคือปี 2547-2549 แต่หลังจากนั้นราคาที่ดินก็ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนัก ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากการเมืองไทย ทำให้การลงทุนจากต่างประเทศน้อยลง และหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านแทน การลงทุนจริงจาก UNCTAD พบว่า ณ ปี 2561 ที่มีเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าในประเทศ (Foreign Direct Investment) จำนวน 154.7 พันล้านเหรียญสหรัฐนั้น ปรากฏว่า 50% ไปที่สิงคโปร์ 14% ไปที่อินโดนีเซีย 10% ไปเวียดนาม ส่วนไทยมีส่วนแบ่งเพียง 9% เท่านั้น

มีปรากฏการณ์พิเศษที่พึงให้ความสนใจก็คือ ในขณะที่เศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2560-2563 ตกต่ำมาก และพบกับภาวะโรคโควิด-19 ด้วย แต่ปรากฏว่าดัชนีราคาที่ดินที่ 51.6 ในปี 2560 น่าจะเพิ่มเป็น 66.8 ในปี 2563 หรือเพิ่มขึ้น 29% หรือเฉลี่ยปีละ 9% โดยเฉลี่ย ทั้งนี้เพราะการก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสายในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ความคาดหวังในอนาคตค่อนข้างดี จึงทำให้ราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างสูง และที่ดินประมาณ 1/3 ของทั้งหมด อยู่ในแนวรถไฟฟ้า

ช่วงสิ้นปีปี 2561-2562 สำรวจพบว่า ราคาที่ดินในเพิ่มขึ้นสูงสุด โดยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 14% ทั้งนี้เพราะการก่อสร้างรถไฟฟ้ามีความชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ ส่วนในช่วงสิ้นปี 2562-2563 ราคาก็ยังเพิ่มขึ้น แต่โดยเฉลี่ยแล้วเพิ่มขึ้น 8%

สำหรับราคาที่ดินที่แพงที่สุดในขณะนี้ คือบริเวณสยามสแควร์ ชิดลม เพลินจิต นานา ซึ่งเป็นไปตามแนวรถไฟฟ้า ราคาที่ดินจะเป็นเงินตารางวาละ 3 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3.3 ล้านบาทต่อตารางวา ณ สิ้นปี 2563 ณ ตารางวาละ 3.3 ล้านก็เท่ากับตารางเมตรละ 825,000 บาท หรือ ตารางฟุตละ 76,645 บาท หรือเป็นเงินตารางเมตรละ 26,613 เหรียญสหรัฐ หรือ 2,472 บาทต่อตารางฟุต

สำหรับการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดิน ย่อมมีผลสอดคล้องกับแนวทางการประเมินค่าทรัพย์สินในแต่ละแปลงเริ่มจากการสำรวจราคาที่ดินที่มีการซื้อขายในฐานะเป็น “แปลงเปรียบเทียบ” เพื่อนำมาวิเคราะห์มูลค่าตลาดของทรัพย์สินที่จะทำการประเมิน วิธีการประเมินในที่นี้เรียกว่า วิธีการทดสอบสมมติฐานในการพัฒนาที่ดิน (hypothetical development analysis) โดยสมมติให้มีการพัฒนาที่ดินตามประโยชน์สูงสุดและดีที่สุด (highest and best uses) และหามูลค่าการพัฒนานั้น จากนั้นจึงลบด้วยต้นทุนการพัฒนาต่าง ๆ ทั้งที่เป็น hard และ soft costs เช่น ค่าก่อสร้าง ค่าดำเนินการ ภาษีและกำไรตามสมควร จึงได้เป็นมูลค่าที่ดินที่เหมาะสม

สำหรับท่านที่ต้องการทราบข้อมูลการให้บริการประเมินราคาที่ดิน สามารถติดต่อฝ่ายประเมินค่าทรัพย์สิน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส สามารถติดต่อและสอบถามรายละเอียดของบริการได้ที่ โทร.02-295-3905 ต่อ 114 หรือ Email : area@area.co.th หรือ Line ID : @trebs หรือคลิก https://lin.ee/n0dWX94

ขอบคุณที่มา : area.co.th


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ออฟฟิศเมท เผยเทรนด์ช่วงโควิด New Normal Behavior ของกลุ่มลูกค้า B2B พร้อมเปิดประตูรับผู้ประกอบการเสริมทัพ B2B Marketplace

ออฟฟิศเมท ผู้นำตลาดสินค้า B2B รายใหญ่ลำดับต้นของไทย เผยเทรนด์พฤติกรรมของลูกค้ากลุ่ม B2B ที่เพิ่มการช้อปออนไลน์ ทำให้ตลาดออนไลน์ B2B เติบโตในช่วงโควิด-19 พร้อมเปิดประตูต้อนรับผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายหลัก และเจ้าของแบรนด์สินค้า B2B ให้ร่วมเติบโตไปด้วยกันกับ OfficeMate’s Online B2B Marketplace ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าธุรกิจกว่า 500,000 รายได้ทันที เพิ่มโอกาสติดปีกธุรกิจสู่มิติใหม่แห่งการขายอย่างไร้ขีดจำกัด

คุณจิตรลดา หาญวรวงศ์ชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ ออฟฟิศเมท เผยเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มลูกค้า B2B ในยุค #NewNormal ที่มีผลให้ลูกค้าดังกล่าวปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสั่งซื้อสินค้า B2B โดยการช้อปผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้า SME และองค์กรธุรกิจ ที่เดิมเคยช้อปผ่านหน้าร้านออฟฟิศเมท แต่เมื่อร้านปิดชั่วคราว ก็เริ่มหันมาเลือกช้อปผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ในช่วงเดือนมี.ค. – พ.ค. 2563 มีลูกค้า B2B เข้ามาใช้บริการผ่านหน้าเว็บไซต์ officemate.co.th พุ่งทะยานกว่า 6.3 ล้านครั้ง (เติบโต >100% เมื่อเทียบกับปี 2562), คิดเป็นจำนวนผู้ใช้กว่า 3.7 ล้านคน (เติบโต >120%) และมีการเข้าชมสินค้ารวมกว่า 21.6 ล้านหน้า (เติบโต >330%) โดยกลุ่มสินค้า #WorkAnywhere และ #Hygienic&Cleaning และ #PersonalSafetySupply ได้รับความนิยมในการค้นหาสินค้าเป็นสามอันดับต้น ตอบรับยุค #NewNormal

กลุ่มสินค้าขายดี :
ได่แก่ กระดาษถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์และหมึกพิมพ์ อุปกรณ์และน้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาด เป็นต้น

กลุ่มสินค้ามาแรง :
ได้แก่สินค้าหมวดต่างๆ เช่น
 หมวด Healthcare เช่น หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ เครื่องวัดอุณหภูมิ กระดาษชำระ
 หมวด Safety Supply & PPE Supply for Factory (อุปกรณ์นิรภัยส่วนบุคคล)
 หมวด Electronic & IT
 หมวดเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะและเก้าอี้ทำงาน
 หมวดบรรจุภัณฑ์อาหาร (Food Packaging)

#ในวิกฤติยังมีโอกาส สำหรับผู้ประกอบการที่พร้อมปรับตัวสู่ธุรกิจดิจิทัล (Digital Business) ออฟฟิศเมทขอร่วมเป็นฐานรากที่แข็งแกร่ง และพร้อมเคียงข้างผู้ประกอบการไทย ให้ต่อยอดธุรกิจแบบไม่สะดุดจากโควิด-19 เพื่อให้เราพร้อมสู้ไปด้วยกัน จึงขอเปิดโอกาสให้ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายหลัก และเจ้าของแบรนด์สินค้า B2B คุณภาพสูง ได้มาเข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่นำเสนอขายสินค้าและบริการต่างๆ บน OfficeMate’s Online B2B Marketplace ศูนย์รวมสินค้าเพื่อธุรกิจแบบ One-Stop Solutions ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้าที่ธุรกิจต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์

ธุรกิจเฉพาะทาง เช่นtha สินค้าโรงงานและอุตสาหกรรม (Factory & Industrial), สินค้าธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร บริการจัดเลี้ยง (HORECA), สินค้าสำหรับสถานพยาบาลและสุขภาพ (Healthcare & Medical Care), สินค้านวัตกรรม (Innovative Business Equipment), สินค้าสำหรับสถาบันการศึกษาและนันทนาการ (School & Entertainment) และอื่นๆ อีกมากมาย โดยปัจจุบันนี้ เรามีสินค้าจากผู้ประกอบการและแบรนด์ชั้นนำเข้าร่วมด้วย อาทิเช่น กลุ่มเซ็นทรัล ได้แก่ ไทวัสดุ บีทูเอส เพาเวอร์บาย ซูเปอร์สปอร์ต และแบรนด์ชั้นนำของไทยและสากลอีกมากมาย อาทิเช่น HP, Lenovo, Xiaomi, iRobot, SEVENFIVE และเจนบรรเจิด เป็นต้น

ติดปีกธุรกิจสู่มิติใหม่แห่งการขายไร้ขีดจำกัดไปกับ OfficeMate’s Online B2B Marketplace
1. ให้คุณเข้าถึงลูกค้าธุรกิจกว่า 500,000 รายได้ทันที ผ่านช่องทางการขายที่เหนือกว่าแค่ออนไลน์ ได้แก่ officemate.co.th, OfficeMate Mobile App, Contact Center 1281 และพนักงานขาย พร้อมโอกาสในการร่วมแคมเปญการตลาดเพื่อผลักดันยอดขายไปกับออฟฟิศเมท
2. ให้คุณขายได้ในทุกสถานการณ์ แบบไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายและการลงทุนเพิ่มด้วยตนเอง เพราะออฟฟิศเมทมีระบบออนไลน์ให้พร้อมใช้งาน ไม่มีค่าแรกเข้า และไม่มีค่าลงจำหน่ายสินค้า
3. ให้คุณขายสะดวกแบบไม่สะดุด โดยมีออฟฟิศเมทเคียงข้าง มี Seller Center System ให้จัดการการขายได้ง่าย ตั้งแต่รับออเดอร์ไปจนส่งสินค้าถึงมือลูกค้าและรับชำระเงิน และมี Customer Support Center คอยดูแลตอบคำถามและให้บริการลูกค้าที่สนใจสินค้าแทนคุณ

ออฟฟิศเมทพร้อมเปิดรับเจ้าของสินค้าเพื่อธุรกิจเข้าร่วม B2B Marketplace แล้ววันนี้ ลงทะเบียนได้ที่ https://bit.ly/3dSW66L หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ Line: @OFM_Marketplace


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ตลาดรับสร้างบ้านในยุค Customer Centric ปรับตัวภายใต้สภาวะ New Normal ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกคน

ตลาดรับสร้างบ้านในยุค Customer Centric นายกสมาคมฯ “วรวุฒิ กาญจนกูล” แนะสมาชิกปรับตัวภายใต้สภาวะ New Normal เน้นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้ทุกคนทุกระดับ ด้วยแบบบ้านที่ หลากหลาย ได้คุณภาพงานมีมาตรฐาน ให้บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยมเดินหน้าจัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2020 เพื่อตอบรับกระแสของกลุ่มลูกค้า โดยกำหนดจัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2020 แบบ ออฟไลน์ กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-4 ตุลาคม 2563 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อาคาร 8 เชื่อมั่นแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภายใต้วงเงิน 4 แสนล้านบาท จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ในภาพรวมและหนุนทุกภาคธุรกิจให้มีแรงขับเคลื่อนต่อไป

นายวรวุฒิ กาญจนกูล นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association : HBA) เปิดเผยว่า ถึงแม้ ทางสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกที่คาดจะมีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็ยอมรับว่าธุรกิจ โดยรวมยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยลบต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในภาวการณ์ดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการที่อยู่ภายใต้สภาวะ “New Normal” ที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดต่างๆ มากมาย ดังนั้น ผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้านจำเป็นต้องปรับ รูปแบบการตลาดใหม่จับทางความต้องการของผู้บริโภคหรือต้องมีความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง

“เมื่อลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านจะต้องเข้าใจเหตุผลถึงความต้องการ อย่างแท้จริงและลงลึกในรายละเอียดสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของทุกคน” นายวรวุฒิ กล่าว

พร้อมกันนี้นายวรวุฒิ ยังกล่าวด้วยว่า จากที่สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านได้รวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคผ่าน ผ่านเว็บไซต์ของสมาคมฯ รวมถึงข้อมูลที่ได้จากการเข้าเยี่ยมชมงานรับสร้างบ้านออนไลน์ 2020 ระหว่างวันที่ 20 – 31 มีนาคม 2563 ซึ่งเป็น Online Exhibition ครั้งแรก พบมี 4 อันดับแรกหลัก ๆ ที่ผู้บริโภคค้นหา ซึ่งผู้ประกอบการจะ ต้องเตรียมความพร้อมรองรับ ดังนี้

· อันดับแรกคือ “แบบบ้าน” แบบบ้านจะต้องมีความหลากหลาย และแบบบ้านที่มีต้องสอดรับกับไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตของคนในสังคมยุคใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือที่เรียกว่า New normal รวมถึง ชีวิตวิถีใหม่ สังคมที่ไร้การสัมผัส (Touchless Society), การใส่ใจถึงสุขอนามัย และการประหยัดพลังงานภายในบ้าน การเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ผู้ประกอบการในธุรกิจรับสร้างบ้านจะต้องเกาะติด และเตรียมพร้อมเพิ่มทาง เลือกให้กับผู้บริโภคในตลาด

· อันดับสองคือ ผลงานของบริษัทนั้นๆ ซึ่งนั่นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นว่าบริษัทมีความน่าเชื่อถือในด้าน “คุณภาพ”และ“มาตรฐาน” งานด้านการก่อสร้างเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านก็ พยายามผลักดันให้สมาชิกของสมาคมฯ มีความรู้และได้รับการรับรองระบบมาตรฐาน ISO 9001:2015 เวอร์ชั่นใหม่ อีกทั้งยังจัดโครงการสัมมนา “Home Builder Expert” หรือ HBEX เพื่อให้ความรู้และยกระดับ ในการพัฒนาบริษัทรับสร้างบ้านโดยมีเป้าประสงค์ให้มีคุณภาพ และมาตรฐานให้เกิดความพึงพอใจกับลูกค้า

· อันดับสามคือ “การบริการ” ที่มุ่งเน้นตั้งแต่เริ่มต้นจนการก่อสร้างเสร็จแบบครบวงจร รวมถึงการดูแลหลัง การขายด้วยการรับประกันต่างๆ เช่น บางบริษัทฯ รับประกันงานโครงสร้างนาน 5-10 ปี เพื่อให้ผู้บริโภคอุ่นใจ

· อันดับสี่คือ “เวลา” เราพบว่าผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านทั่วไปมักก่อสร้างล่าช้า บริษัทรับสร้างบ้านจะต้อง พิจารณาเรื่องนี้เมื่อว่าจ้างบริษัทรับสร้างบ้านปลูกสร้างบ้านแล้วจะต้องได้บ้านตรงตามเวลาที่สัญญาไว้

นายวรวุฒิ ยังกล่าวถึงภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 คาดว่าน่าจะหดตัวไม่น้อยกว่า 20-30% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (Covid-19) ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 โดยเฉพาะในช่วง ไตรมาสแรกของปี 2563 ทำให้หยุดการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ และจากมาตรการปิดเมือง (Lockdown) แต่นับจากนี้ไปหากไม่มีการระบาดรอบสองหลังจากการคลายล็อก รวมถึงรัฐบาลได้ประกาศแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและ สังคมภายใต้วงเงิน 400,000 ล้านบาท จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมและหนุนทุกภาคธุรกิจให้มีแรง ขับเคลื่อนต่อไป

ทั้งนี้ แม้ธุรกิจรับสร้างบ้านจะไม่ได้รับประโยชน์โดยตรง แต่เมื่อบรรยากาศโดยรวมดีขึ้นผู้บริโภคเกิดความมั่นใจ กล้าที่ จะกลับมาใช้จ่ายมากขึ้น ก็เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจรับสร้างบ้านให้กลับมาสู่ภาวะปกติได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งนอกจากผู้บริโภคจะว่าจ้างปลูกสร้างบ้านใหม่ทั้งบนที่ดินใหม่หรือบนที่ดินเดิม ด้วยการรื้อบ้านหลังเก่าที่มีอายุการใช้งาน มากกว่า 30 – 40 ปีแล้วสร้างใหม่ นอกจากนี้ยังมีตลาดรีโนเวทบ้านเก่าเพื่อให้ใช้งานได้มากขึ้น สอดคล้องกับการใช้ ชีวิตแบบใหม่ หรือ “New Normal” ทั้งการทำงานที่บ้าน (Work From Home) รวมถึงเรียนออนไลน์ ที่ต้องการ พื้นที่เพิ่มเติมเฉพาะ ซึ่งที่ผ่านมามีสมาชิกของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านได้ปรับตัวเข้าไปรับงานรีโนเวทบ้านมากขึ้น

อนึ่ง หลักสูตรการอบรม Home Builder Expert หรือ HBEX ซึ่งสมาคมฯ เป็นผู้จัด โดยในปีนี้จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 แล้ว เป็นหลักสูตรอบรมเพื่อยกระดับการบริหารธุรกิจรับสร้างบ้านอย่างมืออาชีพ โดยเฉพาะในยุค New Normal เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้านได้เติบโตอย่างเข้มแข็ง ในภาวะท่ามกลาง ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว โดยการอบรม HBEX ได้เชิญวิทยากรมากความสามารถและมืออาชีพด้านต่างๆ มาอบรม ให้ความรู้ ตลอด 4 วัน ของหลักสูตร ซึ่งจะเริ่มต้นอบรมครั้งแรก ในเดือนสิงหาคม นี้

ส่วนการแข่งขันของตลาดธุรกิจรับสร้างบ้าน นายวรวุฒิ ยอมรับว่า ตลาดมีการแข่งขันกันค่อนข้างมากในรูปแบบต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ของผู้บริโภค แต่อย่างไรก็ตาม ภายใต้การแข่งขันของธุรกิจที่รุนแรงนั้น สิ่งสำคัญที่บริษัท รับสร้างจะต้องให้ความสำคัญควบคู่กันไปก็คือการบริหารต้นทุนว่ามีส่วนใด “รั่วไหล” หรือไม่ ขณะเดียวกัน เนื่องจาก ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามามีบทบาททางด้านการตลาด การทำตลาดและการสื่อสารผ่านระบบออนไลน์จึงมีความ สำคัญ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนการขยายสาขาเพิ่มแล้วยังทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ด้วยเหตุนี้จึง เป็นเหตุผลสำคัญที่สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านต้องปรับตัว ผ่านรูปแบบการจัดงาน ทั้งแบบออฟไลน์ และออนไลน์ เพื่อ ตอบรับกับกระแสของกลุ่มลูกค้าทั้ง 2 ช่องทาง โดยกำหนดจัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2020 แบบออฟไลน์ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 4 ตุลาคม 2563 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อาคาร 8 ส่วน Online Exhibition ทางสมาคมฯ จะหารือกับคณะกรรมการอีกครั้งหนึ่งถึงกำหนดการจัดงานทาง Online ต่อไป


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ทางเลือกใหม่กับการผ่าตัดส่องกล้องปอด

โดย นพ. ศิระ เลาหทัย
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หน่วยศัลยศาสตร์ทรวงอกและหัวใจ
ภาควิชาศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลวชิรพยาบาล

เป็นที่ทราบกันดีว่าการผ่าตัดในช่องทรวงอกนั้น การผ่าตัดแบบเปิดเป็นการผ่าตัดพื้นฐานที่นิยมทำกันมาอย่างยาวนาน แต่ด้วยเทคโนโลยีด้านการแพทย์ในปัจจุบันมีการพัฒนามาก ส่งผลทำให้วิธีการผ่าตัดมีการเปลี่ยนแปลงจากการผ่าตัดแบบเปิด ซึ่งทำให้ผู้ป่วยต้องเกิดอาการเจ็บปวดบริเวณแผลผ่าตัด ทั้งยังใช้เวลาพักฟื้นยาวนาน รวมถึง โอกาสติดเชื้อที่บริเวณแผลผ่าตัด ปอดติดเชื้อ และอื่น ๆ ดังนั้นการผ่าตัดแบบเดิม จึงค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยวิธีการผ่าตัดแบบส่องกล้องเพิ่มมากขึ้น โดยการผ่าตัดแบบส่องกล้องนั้น มีผลดีคือทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล เสียเลือดน้อยลง รวมไปถึงลดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด

เมื่อไม่นานมานี้ นพ.ศิระ เลาหทัย ศัลยแพทย์ทรวงอกผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดส่องกล้อง จากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ได้นำการผ่าตัดทางเลือกใหม่ที่เรียกว่า การผ่าตัดส่องกล้องในทรวงอกแบบไม่ใส่ท่อช่วยหายใจ มาริเริ่มในประเทศไทย โดยเป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้อง ซึ่งขณะผ่าตัดจะใช้วิธีดมยาสลบแบบปริมาณไม่มาก ทำให้ผู้ป่วยเคลิ้ม และไม่จำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจขณะผ่าตัด เทคนิคนี้สามารถลดอาการบาดเจ็บทางเส้นเสียง รวมไปถึงสามารถลดภาวะแทรกซ้อนจากยาที่ใช้ดมยาสลบทั่วไป นอกจากนี้แผลผ่าตัดบริเวณข้างลำตัวมีเพียงตำแหน่งเดียว ขนาด 3 – 4 ซม. ซึ่งจะสามารถลดผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้นจากการผ่าตัดแบบเปิด ทั้งนี้แพทย์ผู้รักษาจะพิจารณาว่าคนไข้เหมาะสมกับการผ่าตัดชนิดไหนที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การผ่าตัดส่องกล้อง ชนิดนี้สามารถทำได้ในหลาย ๆ โรค เช่น 1.มะเร็งปอดระยะเริ่มต้น (lung cancer) 2.โรคลมรั่วในเยื่อหุ้มปอด (recurrent pneumothorax) 3.โรคเนื้องอกหรือจุดในปอด (solitary lung nodule) 4.หนองในเยื่อหุ้มปอดระยะเริ่มต้น ( Empyema thoracis) และ 5.โรคเนื้องอกในช่องทรวงอก (mediastinum tumour eg. thymoma)

อาการของโรคปอดและในทรวงอกเป็นอย่างไรและทำไมควรต้องตรวจพบในระยะแรก

ผู้ป่วยของโรคปอด มักไม่มีอาการ หากมีอาการมักจะมีอาการอย่างเช่น เหนื่อยง่าย ไอเรื้อรัง หรือ เจ็บแน่นหน้าอก ในผู้ป่วยบางราย เมื่อแสดงอาการแล้ว ก้อนอาจจะลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ ส่งผลทำให้การรักษาอาจได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร

แล้วใครบ้างควรได้การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มคน 2 กลุ่ม ได้แก่

1. ผู้ที่มีอาการทางระบบหายใจ ได้แก่ : กลุ่มผู้ที่มีอาการไอเรื้อรัง โดยเฉพาะไอมีเสมหะ ไอเป็นเลือด เหนื่อย เจ็บหน้าอก

2. ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง ได้แก่ : กลุ่มผู้ที่สูบบุหรี่ ทำงานในโรงงานที่มีมลภาวะ ควัน ก๊าซเคมีที่เป็นพิษต่อทางเดินหายใจและปอด,ทำงานในเหมืองแร่ โรงโม่หิน โรงผลิตซีเมนต์ ,ทำงานในบรรยากาศ ที่อาจปนเปื้อนสารกัมมันตภาพ, ผู้ป่วยที่มีพ่อ หรือ แม่เป็นโรคมะเร็งปอด

ทั้งนี้คนที่ไม่มีอาการ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ควรหมั่นดูแลสุขภาพ และตรวจเช็คร่างกายเป็นประจำ เพราะว่ามะเร็งปอดสามารถพบได้ในคนที่ไม่สูบบุหรี่ หรือไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ หากตรวจพบโรคขณะที่ยังไม่มีอาการ โอกาสหายขาดจะมีมากขึ้น


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“ซัสโก้” เปิดสถานีบริการน้ำมันสาขา “เลียบทางด่วนทุ่งครุ”

นายชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดสถานีบริการน้ำมันซัสโก้สาขา เลียบทางด่วนทุ่งครุ โดยมี นายโคะอิจิ ฮิโรเซะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สห ลอว์สัน จำกัด และนางสาวภคมน สมบูรณ์เวชชการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเด้นครีม จำกัด ร่วมแสดงความยินดี ณ สถานีบริการน้ำมันซัสโก้ สาขาเลียบทางด่วนทุ่งครุ เมื่อเร็วๆ นี้

สำหรับ สถานีบริการน้ำมันซัสโก้ สาขาเลียบทางด่วนทุ่งครุ ตั้งอยู่บนถนนเลียบวงแหวนกาญจนาภิเษก ใกล้กับโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยธนบุรี, หมู่บ้าน City Sense และซอยพุทธบูชา 36 สามารถเดินทางมาใช้บริการได้สะดวกจากหลายเส้นทาง ซึ่งภายในสถานีบริการน้ำมันแห่งนี้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ร้านสะดวกซื้อ “ลอว์สัน 108” และร้านกาแฟ “ดิโอโร่” เป็นต้น


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร (Plant Factory) เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ยุค “เกษตร 4.0”

รองศาสตราจารย์วันชัย แหลมหลักสกุล หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมระบบไซเบอร์-กายภาพทางการผลิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) และผู้เชี่ยวชาญโปรแกรม ITAP สวทช. เปิดเผยว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) หนุนโปรแกรมไอแทปช่วยผู้ประกอบการพัฒนาระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร ปลูกผักและผลไม้ออแกนิกในห้องพักอพาร์ทเมนท์ เป็นโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP: ไอแทป) ให้การสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญโปรแกรม ITAP จากอาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ร่วมด้วยบริษัท ลอฟท์ บิวเดอร์ จำกัด ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง ที่แตกไลน์ธุรกิจ นำเทคโนโลยีระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร หรือ Plant Factory มาใช้กับการปลูกพืชออแกนิกในห้องพักอพาร์ทเมนท์ใจกลางเมืองของบริษัทฯ เป็นการช่วยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร หรือ Plant Factory ทำให้ห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ขนาด 10 ตารางเมตรในอพาร์ทเมนท์ใจกลางเมือง สามารถเป็นต้นแบบห้องที่ปลูกผักและผลไม้ออแกนิกชนิดต่าง ๆ เช่น สตรอว์เบอร์รี Kale และสมุนไพรเมืองหนาว อาทิ พาสเลย์และดอกไม้กินได้ สำหรับไว้ปั่นรับประทานได้ทุกฤดูกาล พร้อมเป็นสถานที่ดูงานของลูกค้าบริษัทฯ ที่สนใจจะทำระบบฟาร์มเกษตรในอาคารได้เห็นต้นแบบของธุรกิจประเภทนี้ เพราะผักและผลไม้ออแกนิกที่ปลูกเป็นพืชที่มีมูลค่าสูงในตลาด ราคาแพง และการลงทุนของเทคโนโลยีนี้เกษตรกรหรือผู้สนใจสามารถจะพอลงทุนได้ด้วยกำลังของตนเอง

การปลูกพืชในอาคารนั้นเหมาะสมต่อการเพาะปลูกผักและผลไม้บางชนิด ส่วนใหญ่เป็นผักใบ และผักผลไม้เมืองหนาว เช่น ผักสลัด สมุนไพร และสตรอว์เบอร์รี เป็นต้น จึงยังไม่หลากหลายและมีขนาดตลาดที่จำกัดอยู่เฉพาะผู้บริโภคบางกลุ่ม เช่น โรงพยาบาลเอกชนระดับบนที่ต้องการผักและผลไม้ปลอดสารพิษเพื่อให้บริการผู้ป่วย ร้านอาหารและโรงแรมที่ให้บริการอาหารเพื่อสุขภาพ ครัวเรือนที่มีรายได้ระดับปานกลางค่อนไปทางสูง เป็นต้น แต่ในต่างประเทศกระแสซุปเปอร์มาเก็ตปลูกผักเองในอาคารตามห้างสรรพสินค้าหรือตามสถานีรถไฟใต้ดินกำลังได้รับความนิยมทั่วทั้งยุโรป อเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งจะเน้นปลูกผักที่มีคุณภาพสูง อุดมด้วยสารอาหาร โดยจุดเด่นคือ ผักที่ปลูกแบบนี้ทั้งสด สะอาด ปลอดภัยจากยาฆ่าแมลง แถมยังมีรสชาติกรอบอร่อยกว่าผักที่ปลูกแบบเดิม


ระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร (Plant Factory) ในไทย โดยทั่วไปมีวัตถุประสงค์หลัก คือ ผลิตพืชผักและผลไม้เมืองหนาว เนื่องจากข้อจำกัดด้านภูมิอากาศให้มีการเจริญเติบโตที่ดี และให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยควบคุมและใช้ปัจจัยการผลิต เช่น การให้แสง การให้น้ำ แร่ธาตุอาหาร และปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ในขณะที่ปลดปล่อยของเสียสู่สภาพแวดล้อมน้อยที่สุด และใช้ต้นทุนในการผลิตต่ำ

เนื่องจากระบบฟาร์มเกษตรในอาคารนั้นเป็นระบบที่ประหยัดการใช้ทรัพยากร ทั้งน้ำ แร่ธาตุอาหาร พื้นที่เพาะปลูก และแรงงาน รวมถึงยังสามารถควบคุมปริมาณและคุณภาพผลผลิตได้ตามที่ต้องการ จึงช่วยลดความผันผวนในด้านปริมาณและคุณภาพของผลผลิตได้ดีกว่าการเกษตรแบบดั้งเดิม จึงเป็นหนึ่งในเทรนด์สำคัญของภาคการเกษตรที่ค่อย ๆ มีบทบาทในเชิงพาณิชย์มากขึ้นในไทย โดยเทคโนโลยีระบบฟาร์มเกษตรของบริษัทฯ สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมด้วยระบบอัตโนมัติ เช่น อุณหภูมิ แสงเทียม (LED) เพื่อการสังเคราะห์แสงของพืช ซึ่งกระบวนการสังเคราะห์แสงนี้จะผ่านแสงจากหลอดไฟ LED ที่มีการควบคุมความเข้มของแสง คลื่นความถี่และระยะเวลาของแสงในแต่ละช่วงการปลูก เพื่อให้มีความคล้ายคลึงกับการสังเคราะห์แสงจากดวงอาทิตย์ ทั้งนี้การใช้แสง LED จะช่วยลดระยะเวลาการปลูกลงได้ครึ่งหนึ่งของระยะเวลาการเติบโต อีกทั้งยังมีการควบคุมลมและความชื้นในอากาศ หากความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศต่ำกว่ากำหนด ระบบจะเชื่อมต่อกับระบบพ่นละอองน้ำแบบพิเศษเพื่อปรับความชื้นสัมพัทธ์ให้อยู่ในช่วงที่กำหนด โดยตั้งค่าการทำงานผ่านแอปพลิเคชัน สามารถปรับตั้ง แก้ไข ควบคุมการทำงานผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตจากนอกสถานที่ได้ โดยระบบจะควบคุมพารามิเตอร์ต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด”

ผู้ประกอบการที่สนใจเทคโนโลยีและขอรับการสนับสนุนภายใต้โครงการยกระดับผักและผลไม้ไทย : โอกาสสำหรับพัฒนาเกษตรกรรมสู่ความยั่งยืน ด้านโรงเรือนอัจฉริยะ สามารถติดต่อขอรับการบริการได้ที่ โปรแกรม ITAP สวทช. โทร 0 2 564 7000 ต่อ 1301 หรืออีเมล panita@nstda.or.th

ขวัญฤทัย ข่าว


 

Exit mobile version