Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท ทุบสถิติการเติบโต! ฉลองความสำเร็จ Advice iStore สาขาที่ 3 ใจกลางอุดรธานี

3 พฤศจิกายน 2567 – บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำความแข็งแกร่งในตลาด Apple ด้วยการเปิด Advice iStore สาขาที่ 3 ณ ใจกลางเมืองอุดรธานี ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือน สะท้อนความต้องการของผู้บริโภคในภูมิภาค และความพร้อมในการรุกตลาดอย่างเต็มรูปแบบ

นายณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Advice iStore ทั้ง 3 สาขาในเวลาเพียง 2 เดือน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของแอดไวซ์ในทุกด้าน ทั้งเงินลงทุน ทีมงานมืออาชีพ และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการเป็น ‘สิงห์ภูธร’ ที่มีฐานลูกค้าและเครือข่ายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้เราเข้าใจและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ได้อย่างแท้จริง”

ด้วยกระแสตอบรับที่เกินคาด แอดไวซ์จึงเร่งเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มเป็น 8 แห่งภายในสิ้นปี 2567 และวางเป้าหมายทะยานสู่ 35 สาขาภายในปี 2568 เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง “เราไม่ใช่แค่ตัวแทนจำหน่ายแต่เราคือผู้เล่นตัวจริงในตลาด Apple ที่พร้อมมอบประสบการณ์ระดับพรีเมียมครบวงจร ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ไปจนถึงบริการหลังการขายที่ได้มาตรฐาน ด้วยจุดแข็งของแอดไวซ์ที่เป็น Top of Mind ของลูกค้าต่างจังหวัดทั่วประเทศ ผนวกกับความเชี่ยวชาญในธุรกิจไอทีมากกว่า 20 ปี ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถยกระดับการเข้าถึงเทคโนโลยี Apple ให้กับผู้บริโภคทั่วประเทศได้อย่างแท้จริงในฐานะ Apple Authorized Reseller ” นายณัฏฐ์กล่าวทิ้งท้าย.

ไฮไลท์โปรโมชั่นต้อนรับการเปิด Advice iStore จ.อุดรธานี ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 30 พฤศจิกายน 2567 

  • ผ่อนนาน 0% สูงสุด 48 เดือน!
  • เก่าแลกใหม่! เมื่อนำสินค้าไอทีเก่าแลกส่วนลดสำหรับสินค้าใหม่ การันตีราคาดีสุดและรับแลกเต็มระบบสูงสุดถึง 5 เครื่อง
  • แลกซื้อสุดคุ้ม! เมื่อช้อปสินค้า Mac, iPad, iPhone, Apple Watch สามารถแลกซื้อ AirPods 2 ในราคา 3,590 บาท จากราคาปกติ 5,290 บาท
  • รับฟรี! กระเป๋า Magic Bag ตกหลุมรักอุดรธานี มูลค่า 990 บาท เมื่อช้อปสินค้าร้าน Advice iStore มูลค่าครบ 25,000 บาท ซึงสามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดเพิ่มอีก 10% สูงสุด 1,000 บาท สำหรับซื้อสินค้าที่ Advice iStore เป็นเวลา 1 เดือน เพียงหิ้วกระเป๋ามาช้อปที่ร้าน Advice iStore ด่วน! สินค้ามีจำนวนจำกัด
  • รับฟรี! หูฟัง Belkin Soundform Mini “Disney Exclusive Series” มูลค่า 1,790 บาท เมื่อซื้อ iPad รุ่นที่ร่วมรายการ
  • โค้ดส่วนลดท้ายบิล มูลค่า 300 บาท สำหรับนำไปซื้อผลิตภัณฑ์ Apple Accessories
  • ผ่อนง่าย เพียงบัตรประชาชนใบเดียวผ่านระบบ True Pay Next Extra
  • ฟรี! สำหรับลูกค้า Advice iStore กับกิจกรรมเวิร์คช้อปส่งเสริมการเรียนรู้ มูลค่า 2,990 บาท

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  https://www.advice.co.th/branch-promotion/4578


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

นักศึกษา วทอ. มจพ. คว้า 2 รางวัลชนะเลิศ จากการแข่งขันควบคุมหุ่นยนต์อัตโนมัติ

ทีมนักศึกษา  ภาควิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมเครื่องกล วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  (มจพ.) คว้า 2 รางวัลชนะเลิศ จากการแข่งขันการควบคุมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0  ประเภทที่ 5 การแข่งขันตรวจสอบชิ้นงานอุสาหกรรมด้วยเครื่อง 3D Laser Scanner ในงานนิทรรศการสื่อการศึกษาและการประชุมนานาชาติ didacta asia 2024 โดยมีนายสุรศักดิ์  พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  เป็นประธานในพิธีมอบถ้วยรางวัล เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและประชุมไบเทค  ดังนี้

1. ถ้วยรางวัลชนะเลิศพระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จากการแข่งขันควบคุมหุ่นยนต์อัตโนมัติ สมาชิกมีนายธนดล สวนเวียง  และนายชยุตพงศ์ บุษยากร ผศ.ดร.ณัฐพล บุญอธึก เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา 

2. ถ้วยรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สมาชิกมีนายณัฐกิตติ์ สุวรรณโล และนายอัลฮาดิช แซะเด็ง ผศ.ดร.ณัฐพล บุญอธึก เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา

โดยมีวัตถุประสงค์พัฒนาวิชาชีพด้านอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะเมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์ให้เกิดศักยภาพและสมรรถนะสูงสุดพร้อมเข้าสู่โลกอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มพูนทักษะความรู้และประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนนักศึกษาและผู้ที่สนใจได้ขยายขอบเขตความรู้ของตนในด้านการออกแบบและการสร้างหุ่นยนต์รวมถึงการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมหุ่นยนต์โดยการจัดความร่วมมือระหว่างสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษาสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ชีเทคไดแด็คติค จำกัด และเครือข่ายภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน, สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, มหาวิทยาลัยรามคำแหง, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์, และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ  โดยมีทีมเข้าแข่งขัน 40 ทีม

ขวัญฤทัย ข่าวภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ฯพณฯ นาย Jean-Claude Poimbœuf เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย เปิดงานประชุมวิชาการนานาชาติ ICOME2024 ครั้งแรกที่ประเทศไทย

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) และมหาวิทยาลัยลอร์แรน (University of Lorraine) จากประเทศฝรั่งเศส ได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านวัสดุและพลังงาน หรือ ICOME2024 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าภาพในการจัดงาน ICOME2024 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม 2567 ณ โรงแรม อวานี รัชดา กรุงเทพ โดยได้รับความร่วมมือจากนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกที่มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และนวัตกรรม

.ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงานประชุมวิชาการ และได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระดับนานาชาติว่าการเฉลิมฉลองครั้งนี้สะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและความร่วมมือที่เราสร้างสรรค์มาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมานอกจากนี้ ยังกล่าวถึงความสำเร็จจากความร่วมมือระหว่าง ห้องปฏิบัติการ EE-TFRC ของ มจพ. และ ห้องปฏิบัติการ GREEN ของมหาวิทยาลัยลอร์แรน ที่ได้ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนนักวิจัย การตีพิมพ์ผลงานร่วมกัน และโครงการปริญญาร่วม (Double Degree) ระหว่างมจพ.และมหาวิทยาลัยลอร์แรน และยังได้รับเกียรติอย่างสูงจากเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ฯพณฯ นาย Jean-Claude Poimbœuf  ให้โอวาทและเปิดงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านวัสดุและพลังงาน หรือ ICOME2024

งาน ICOME2024 ครั้งนี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 65 ปีของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 34 ปี ของความร่วมมือระหว่างไทยและฝรั่งเศสในการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีไทยฝรั่งเศส โดยนักวิจัยชั้นนำจะนำเสนอผลงานวิจัยที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ในด้านวัสดุและพลังงาน  ซึ่งมีผลงานวิจัยเข้าร่วมนำเสนอกว่า 140 ผลงาน จากนักวิจัย 21 ประเทศทั่วโลก โดยมีการบรรยายพิเศษจากวิทยากรชั้นนำจากประเทศไทย ฝรั่งเศส และอินเดีย ที่จะมานำเสนองานวิจัยใหม่ล่าสุดในด้านพลังงานและวัสดุ นอกจากนี้ยังมีรางวัลสนับสนุนนักวิจัยจากสถานทูตฝรั่งเศสในประเทศไทย และจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และความร่วมมือระหว่างประเทศ

งานประชุมวิชาการ ICOME2024 แสดงถึงพลังของความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศส และนักวิจัยจากนานาชาติ ในการเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลักดันนวัตกรรมด้านวัสดุและพลังงาน ในงานประชุมวิชาการนี้มีผู้สนับสนุนจากภาควิชาการและภาคเอกชนบริษัทต่างๆ เข้าร่วมมากมาย โดยคณะผู้จัดงานคาดหวังใว้เป็นอย่างยิ่งว่างานประชุมวิชาการนานาชาติด้านวัสดุและพลังงานในครั้งนี้จะนำไปสู่ความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนทางวิจัยใหม่ ๆ ที่จะส่งเสริมการพัฒนาในสาขาพลังงานและวัสดุศาสตร์ทั่วโลกต่อไป


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดสิ้นปีหน้าจะมียานยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนถึง 85 ล้านคัน

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 28 ตุลาคม 2567 — การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าสิ้นปีหน้า (2568) จะมีปริมาณรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) จำนวน 85 ล้านคัน วิ่งบนท้องถนน ครอบคลุมประเภทต่าง ๆ อาทิ รถยนต์รถบัสรถตู้ และรถบรรทุกขนาดใหญ่

โจนาธาน ดาเวนพอร์ท ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “แม้จะมีอุปสรรคหลายอย่างส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่เรายังคาดการณ์ว่าในปีนี้ยอดรวมของรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะอยู่ที่ 64 ล้านคัน และจะเพิ่มขึ้น 33% ในปี 2568 ซึ่งผลจากการที่บริษัทหลายแห่งต่างประเมินสูงเกินจริงไปว่าการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะเกิดขึ้นรวดเร็ว นั่นส่งผลให้ต้องเลื่อนการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ออกไป โดยปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปีหน้านั้น หลัก ๆ มาจากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นในจีน (58%) และยุโรป (24%) ซึ่งเมื่อนับรวมกันแล้วคิดเป็น 82% ของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดทั่วโลก

การ์ทเนอร์คาดว่า สิ้นปี 2568 ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEVs) จะมีจำนวนเกือบ 62 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 35% จากปี 2567 ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) คาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ช้ากว่าเล็กน้อยและปีหน้าจะมีปริมาณอยู่ที่ 23 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 28% จากปี 2567 (ดูตารางที่ 1)

ตารางที่ ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจำแนกตามประเภทรถ ระหว่างปี 2566-2568 (หน่วย: ตามจริง)

  2023 Installed Base 2024 Installed Base 2025 Installed Base
BEV 32,628,884 45,872,824 61,860,183
PHEV 13,402,907 18,159,560 23,283,006
Total 46,031,791 64,032,383 85,143,189

ที่มา: การ์ทเนอร์ (ตุลาคม 2567)

สำหรับประเทศไทย การ์ทเนอร์คาดว่าในปี 2568 จะมีรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) มากกว่า 77,800 คัน เพิ่มขึ้น 49% จากปี 2567 โดยรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่จะมีสัดส่วน 74% และมียอดรวมทั้งหมดกว่า 57,900 คัน (ดูตารางที่ 2) 

ตารางที่ ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยจำแนกตามประเภทรถ ระหว่างปี 2566-2568 (หน่วย: ตามจริง)

  2023 Installed Base 2024 Installed Base 2025 Installed Base
BEV 24,720 38,135 57,926
PHEV 9,392 13,943 19,880
Total 34,112 52,078 77,805

ที่มา: การ์ทเนอร์ (ตุลาคม 2567)

สำหรับในระดับภูมิภาค การ์ทเนอร์คาดว่าความต้องการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าในจีนจะยังคงมีปริมาณมากกว่าจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าส่วนที่เหลือของโลกรวมกันยาวไปจนถึงปีหน้า และอาจเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกทศวรรษ โดยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในยุโรปและอเมริกาเหนือ คาดว่าจะคิดเป็น 36% ของยอดรวมรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในปีนี้ (2567) การ์ทเนอร์ประมาณการว่าในปีหน้า (2568) จะมีรถยนต์ไฟฟ้า 49 ล้านคัน วิ่งอยู่ตามท้องถนนในจีน 20.6 ล้านคันในยุโรป และ 10.4 ล้านคันในอเมริกาเหนือ

ภายในอีกหกปี (2573) ผู้ผลิตรถยนต์จะสามารถรีไซเคิลแบตเตอรี่รถ EVs ได้สูง 95% ช่วยลดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ 

ตามที่คาดการณ์ว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี และการแก้ไขปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบถือเป็นเรื่องท้าทาย ดังนั้น “ความพยายามในการรีไซเคิลอย่างจริงจังเพื่อใช้ประโยชน์จากแบตเตอรี่ที่ผ่านการใช้งานรวมถึงเศษวัสดุจากกระบวนการผลิต ผนวกเข้ากับความพยายามของสหภาพยุโรปเพื่อบังคับให้มีการรีไซเคิลแบตเตอรี่ ก็อาจช่วยลดความจำเป็นในการขุดแร่เพิ่มเติมได้” ดาเวนพอร์ตกล่าวเพิ่มเติม 

เนื่องจากความเข้มข้นของโลหะหายากในแบตเตอรี่มีสูงกว่าแร่ธรรมชาติ ดังนั้นแบตเตอรี่ที่ใช้งานแล้วจึงอาจถือเป็นแร่ที่มีความเข้มข้นสูง หากสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ในปริมาณมาก ๆ อาจช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าในภาพรวมของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยการลดราคาแบตเตอรี่ลง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์เพิ่มเติมคือ แบตเตอรี่จะไม่ถูกกำจัดด้วยวิธีที่ผิดจริยธรรมหรือถูกนำไปทิ้งในหลุมฝังกลบ” ดาเวนพอร์ตกล่าวสรุป

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จับมือ กรีนเยลโล่ ปรับโซลูชั่นระบบปรับอากาศใหม่ทั้งโรงงานเพื่อประสิทธิภาพที่ยั่งยืน

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว เมียนมา ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง กับ นายสเตฟาน ดูเฟรน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์และพันธมิตร กรีนเยลโล่ ประเทศไทย เพื่อยกระดับระบบปรับอากาศ HVAC ด้วยการออกแบบใหม่ตามเทคโนโลยีล่าสุดในโรงงานผลิตของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ณ นิคมอุตสาหกรรมบางปู เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ พร้อมทั้งรองรับสายการผลิตในอนาคต โดย กรีนเยลโล่ จะใช้โซลูชั่นจาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่มีจุดเด่นในการสร้างความยั่งยืน พร้อมกันนี้ กรีนเยลโล่ จะดูแลเรื่องการบริการ การบำรุงรักษา ตามมาตรฐานของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค อีกด้วย

ความร่วมมือในครั้งนี้ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และ กรีนเยลโล่ มีเจตนารมณ์เดียวกัน คือ การยกระดับและตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล เพื่อสร้างความยั่งยืน โดยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและค่าบำรุงรักษา พร้อมทั้งลดการปล่อยคาร์บอนได้ในคราวเดียวกัน ซึ่งได้คาดการณ์ไว้ว่า หลังจากการติดตั้งระบบต่างๆ พร้อมใช้งาน จะช่วยให้โรงงานชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในประเทศไทย ลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 720 ตัน ต่อปี

เทคโนโลยีที่ กรีนเยลโล่ ใช้ในการปรับปรุงและยกระดับระบบปรับอากาศ HVAC ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมต่อกันได้แบบ IoT เซ็นเซอร์ที่ใช้ในการตรวจจับและรวบรวมข้อมูล โดยใช้ซอฟต์แวร์ EcoStruxure Building Operation รุ่นล่าสุด ช่วยในการบริหารจัดการอาคาร สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพในแบบเรียลไทม์ ลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน ลดต้นทุนด้านการซ่อมบำรุง และที่สำคัญช่วยให้สามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังมีความพร้อมในการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านผู้เชี่ยวชาญของโรงงาน โดยใช้โรงงานเป็นต้นแบบและกรณีศึกษา ในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อให้คู่ค้าและลูกค้าที่มีเป้าหมายเดียวกัน ได้เห็นผลลัพธ์ที่แท้จริงตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และ Net Zero ในอนาคตอีกด้วย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผลการศึกษาของซิสโก้เผย พาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของรายได้ที่มาจาก AI

กรุงเทพฯ25 ตุลาคม 2567 – ซิสโก้ผู้นำระดับโลกด้านเครือข่ายและความปลอดภัย เผยผลการศึกษา Cisco Global AI Partners Study ฉบับล่าสุด ภายใต้หัวข้อ “ลดช่องว่างความพร้อมในการใช้ AI ของลูกค้า – โอกาสทางธุรกิจที่รออยู่สำหรับพาร์ทเนอร์” พบว่าพาร์ทเนอร์ด้านไอทีทั่วโลกต่างคาดการณ์ว่า ในอีก 4-5 ปีข้างหน้าการเปลี่ยนแปลงของความต้องการเทคโนโลยี AI ครั้งใหญ่จะขับเคลื่อนรายได้ส่วนใหญ่ของพวกเขา นอกจากนี้ยังพบว่า 40% ของพาร์ทเนอร์ในภูมิภาค APJC เชื่อว่ามากกว่า 50% ของรายได้จะมาจากเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI ในช่วงเวลาดังกล่าว

ผลสำรวจล่าสุดชี้ให้เห็นว่า 44% ของพาร์ทเนอร์เชื่อว่าความต้องการการลงทุนในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI จะเติบโตมากกว่า 75% ภายใน 4-5 ปีข้างหน้า โดยความต้องการใช้ AI ในปีต่อๆไปจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วใน 3 ด้านหลัก ๆ ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (31%), ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (17%) และประสบการณ์ลูกค้า (9%) เมื่อความต้องการ AI เพิ่มขึ้น พาร์ทเนอร์ยังคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในสัดส่วนรายได้ โดย 35% คาดว่า AI จะช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 26-50% ภายในปีหน้า และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว

อเล็กซ์ พูโจลส์, รองประธานฝ่ายวิศวกรรมโกลบอลพาร์ทเนอร์ของซิสโก้ กล่าวว่า “เทคโนโลยี AI มีศักยภาพในการทรานส์ฟอร์มการดำเนินธุรกิจอย่างมาก และการที่จะบรรลุเป้าหมายได้นั้นต้องอาศัยความพยายามร่วมกันในการเสริมสร้างขีดความสามารถและทักษะของพาร์ทเนอร์ในการนำ AI ไปใช้งานจริง ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการสร้างรายได้ที่สำคัญสำหรับพาร์ทเนอร์ด้านไอทีในการนำ AI เข้ามาใช้งาน โดยการให้ความสำคัญกับความพร้อมด้าน AI ซิสโก้และอีโคซิสเต็มของพาร์ทเนอร์เราพร้อมจะร่วมกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้กับลูกค้า และสร้างโอกาสใหม่ๆ ในยุคของ AI”

ผลสำรวจ Cisco Global AI Partners Study เป็นการสำรวจแบบ double-blind ที่สำรวจความคิดเห็นของพาร์ทเนอร์ด้านไอทีกว่า 1,500 รายใน 29 ประเทศ โดยประเมินขีดความสามารถของพาร์ทเนอร์ในยุค AI ซึ่งสอดคล้องกับรายงานดัชนีความพร้อมด้าน AI ของซิสโก้ (Cisco AI Readiness Index) ที่พบว่าแม้เทคโนโลยี  AI จะมีความสำคัญมากขึ้น แต่บริษัททั่วโลกยังขาดความพร้อมในการนำ AI มาใช้จริง โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการข้อมูล การกำกับดูแล รวมทั้งบุคลากรที่มีความพร้อมด้าน AI ผลการสำรวจครั้งนี้ตอกย้ำถึงบทบาทสำคัญของพาร์ทเนอร์ในการช่วยให้ลูกค้าบรรลุความพร้อมด้าน AI

พาร์ทเนอร์แสดงความมั่นใจและลงทุนเพื่อเอาชนะความท้าทาย

ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า พาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีแสดงความมั่นใจในความรู้และความเข้าใจในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI โดยการประเมินมุ่งเน้นไปที่โซลูชันและความสามารถเฉพาะในการปรับใช้งาน AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 4 ด้านที่สำคัญคือ โครงสร้างพื้นฐาน ข้อมูล การกำกับดูแล และบุคลากรที่มีความสามารถ

ความสามารถเหล่านี้รวมถึง:

  • การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรับ AI ที่ปรับขนาดและยืดหยุ่นได้
  • ความมั่นใจว่ามีเครื่องมือและทรัพยากร GPU ที่เพียงพอสำหรับโครงการที่ดำเนินอยู่
  • การประเมินและรักษา latency และ throughput (ปริมาณงาน) ของศูนย์ข้อมูล
  • ความเข้าใจชุดข้อมูล อธิปไตยด้านข้อมูล และกฎระเบียบข้อบังคับความเป็นส่วนตัวในภูมิภาค/ประเทศต่างๆ

แม้ว่าพาร์ทเนอร์จะแสดงความมั่นใจอย่างมากเกี่ยวกับความรู้และความเข้าใจในการใช้งานเทคโนโลยี AI แต่พวกเขาก็ยังเข้าใจว่ามีความท้าทายที่พวกเขาต้องแก้ไขเพื่อเพิ่มโอกาสในอนาคต ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือการขาดประสบการณ์ในการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ (64%), การขาดความรู้เกี่ยวกับระบบและกระบวนการ (54%) และการขาดเทคโนโลยีที่พร้อมใช้งาน (52%) เพื่อจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ พาร์ทเนอร์กำลังลงทุนในการพัฒนาและยกระดับทักษะพนักงานด้าน AI โดย 80% ของพาร์ทเนอร์ได้ดำเนินการฝึกอบรมพนักงานภายใน หรือเชิญผู้เชี่ยวชาญภายนอกมาให้ความรู้และฝึกอบรมเฉพาะทางด้าน AI

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลศึกษา Cisco Partner AI และรายงานฉบับเต็ม สามารถคลิก ที่นี่

เกี่ยวกับ ซิสโก้ (Cisco)

Cisco (NASDAQ: CSCO) เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่เชื่อมต่อทุกสิ่งอย่างปลอดภัยเพื่อให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ เป้าหมายของซิสโก้คือขับเคลื่อนอนาคตสำหรับทุกคนโดยช่วยลูกค้าคิดใหม่ (reimagine) เกี่ยวกับแอปพลิเคชัน ขับเคลื่อนการทำงานแบบไฮบริด รักษาความปลอดภัยให้กับองค์กร ทรานส์ฟอร์มโครงสร้างพื้นฐาน และบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน เปิดประสบการณ์กับซิสโก้ที่ห้องข่าว The Newsroom และติดตามข่าวสารของซิสโก้บน X ที่ @Cisco.


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

รู้ยัง!! มจพ. เปิดหลักสูตรวิทยาศาสตร์สุขภาพและความงาม หลักสูตรใหม่ ปี’ 67 จบ ม.6 สายวิทย์-คณิต ไม่ควรพลาด

หลักสูตรวิทยาศาสตร์สุขภาพและความงามเป็นวิทยาศาสตร์สาขาหนึ่งของเคมีอุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  ที่เรียนวิเคราะห์สารเคมีที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความงาม เจาะลึกวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง เพราะปัจจุบันธุรกิจและกิจการที่เกี่ยวกับการผลิตเครื่องสำอางถือว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจและสร้างรายได้เป็นอย่างดี ประกอบกับความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสื่อสาร ทำให้ผู้อุปโภค บริโภคเข้าถึงข้อมูล วิทยาศาสตร์สุขภาพและความงามเป็นวิทยาศาสตร์ที่เรียนเกี่ยวข้องกับสุขภาพและความงามนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้มีคุณภาพมาตรฐานเทียบเคียงสากลจึงเป็นความจำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมในประเทศ ตลอดจนการปั้น Project มองเห็นโอกาส การพัฒนาไอเดียสู่ธุรกิจ มีผลิตภัณฑ์ สู่ท้องตลาด และตอบโจทย์ผู้เรียนที่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองด้านความงามงามแบบตะโกนจริงๆๆ สุด chic !!! วันนี้ มาทำความรู้จักสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพและความงาม ภาควิชาเคมีอุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มจพ.  เริ่มจาก

ผศ.ดร.นิศาลักษณ์ ตรงศิริวัฒน์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมีอุตสาหกรรม เล่าว่า เทรนด์สุขภาพและความงามในปัจจุบัน (Health & Wellness) เป็นตลาดสินค้าสุขภาพและความงามมีอัตราการเติบโตทั่วโลกเนื่องด้วยประเทศต่าง ๆ เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ มีประชากรที่มีอายุมากขึ้น ขณะที่กระแสคนรุ่นใหม่ หันมาให้ความสำคัญและใส่ใจในการดูแลสุขภาพมากขึ้น และสืบเนื่องจากภาควิชาต้องการพัฒนาหลักสูตรใหม่ที่แตกไลน์ ไปจากหลักสูตรเคมีอุตสาหกรรมเดิม  ที่เน้นไปทางอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี เคมีวัสดุ ซึ่งหลักสูตรใหม่มุ่งจะไปที่การสร้างผู้ประกอบการรายเล็ก และผลิตบัณฑิตสำหรับกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME)  ด้านสุขภาพและความงาม จากผลการสำรวจ คุยกับทางผู้ประกอบการและผู้เรียน พบว่า เมื่อนักศึกษาที่เรียนจบไปแล้วกว่า 70% ตอบว่าอยากเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เทรนด์ใหม่อย่างด้านสุขภาพ ความงาม และสปาซึ่งตอบโจทย์กับหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพและความงาม (หลักสูตรใหม่ พ.. 2567) เรียนจริง ปฏิบัติจริง เปิดรับสมัครนักเรียนที่จบมัธยมศึกษาตอนปลาย (.6)  สายวิทย์คณิต ไม่ควรพลาด เปิดสอนระดับปริญญาตรีทั้งโครงการปกติ  ค่าเล่าเรียน 25,000 บาท และโครงการสมทบ ค่าเล่าเรียน 29,000 บาท จำนวน 135 หน่วยกิต ระยะเวลาเรียน 4 ปี  ภาควิชาได้ออกแบบหลักสูตรขึ้นมาเป็น 3+1  นั่นหมายความว่านักศึกษาจะเรียนเนื้อหาในรายวิชาต่าง ๆ ในหลักสูตรเพียง 3 ปี และนักศึกษาจะได้รับโอกาสในการหาประสบการณ์ในการฝึกงานในภาคฤดูร้อน และทำโครงงานพิเศษ หรือโครงงานสหกิจศึกษาในสถานประกอบการที่ตรงกับสายอาชีพที่ต้องการเป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งภาควิชาสนับสนุนให้นักศึกษาทุกคนได้เรียนรู้ประสบการณ์ตรงผ่านการทำงานกับมืออาชีพเพื่อตามหาความฝันและสิ่งที่ชอบในอาชีพที่ต้องการ

จุดเด่นของหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิตสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพและความงาม (หลักสูตรใหม่.. 2567) นี้ เรียนเนื้อหา 3 ปี ฝึกทักษะการพัฒนาวิจัยผลิตภัณฑ์ 1 ปี ทั้งในด้านการพัฒนาวิจัย ในห้องปฏิบัติการวิจัยหรือสถานประกอบการณ์ในภาคอุตสาหกรรม  ทั้งนี้ภาควิชาเองได้มีการลงนามความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ที่หลากหลายทั้งศูนย์วิจัยเฉพาะทาง โรงพยาบาล รวมถึงโรงงานรับพัฒนาและผลิตเครื่องสำอาง (ODM) ที่เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก ซึ่งจะช่วยส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้โดยใช้องค์ความรู้เคมี เช่น เทคโนโลยีการสกัดสารธรรมชาติ และวิเคราะห์สาระสำคัญ  การสังเคราะห์สารสำคัญทางชีวภาพ (Bioactive agent) เทคโนโลยีระบบกักเก็บและนำส่งสารสำคัญ (Encapsulation and delivery Technology of active ingredients) เสถียรภาพความเป็นพิษและพัฒนาตัวตรวจวัดเชิงเคมีในผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงามเพื่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์  รวมถึงการทำงานในห้องปฏิบัติการด้านสุขภาพและความงามได้ โดยใช้ทักษะและความรู้ด้านเคมี/ชีวเคมี  การพัฒนาผู้เรียนให้มีความเป็นเลิศทางด้านความคิดสร้างสรรค์ นำความรู้สู่การปฏิบัติ สนับสนุนการผลิตงานวิจัยเพื่อนำไปสู่การพัฒนาเป็นสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมที่สามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์ต่อไป

ผศ.ดร.สุกัญญา เทพวาที อาจารย์ประจำภาควิชาเคมีอุตสาหกรรม เสริมว่า สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพและความงาม มีการบูรณาการศาสตร์ทางด้านวิทยาศาสตร์ ความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์ และการเป็นผู้ประกอบการให้กับนักศึกษา นอกจากรายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานอย่างวิชาเคมี ซึ่งจะเรียนค่อนข้างลึกกว่าวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางโดยทั่วไปเพื่อให้นักศึกษาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาและพัฒนาสูตรเครื่องสำองได้ในอนาคต นอกจากวิชาเคมีที่เป็นวิชาหลักแล้วยังมีวิชาทางด้านชีววิทยา (Biology) เพื่อให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ในการนำไปดูแลสุขภาพและความงามได้อย่างปลอดภัย มีการเสริมรายวิชาคำนวณที่จะเกี่ยวกับวิศวกรรมการผลิต เช่น วิชาเกี่ยวกับ Mass Balance หลักการผสม การกวน เป็นต้น เพื่อให้มีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับกระบวนการผลิต นอกจากนี้จากข้อมูลที่ผู้เรียนต้องการเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงาม ภาควิชาฯ จึงเสริมรายเกี่ยวกับการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) เป็นวิชาทางสังคมศาสตร์ที่ศึกษาถึงพฤติกรรมของมนุษย์และสังคมที่เกี่ยวข้องกับผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ และที่สำคัญจากที่ผู้เรียนจะได้ลงมือพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างเต็มที่คลอด 1 ปีสุดท้าย จะทำให้นักศึกษามีความโดดเด่นและมีความมั่นในในการออกไปประกอบอาชีพต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้านสุขภาพและความงาม   

นอกจากนี้ยังดูแลเรื่องความคุ้มค่าการลงทุนซึ่งจะสอดคล้องกับการเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นเราต้องความรู้ ความเข้าเรื่องของการลงทุนเช่น เรียนการคอร์สแผนธุรกิจวิทยาศาสตร์สุขภาพและความงาม เรียนรู้

การพัฒนาแนวคิดและคอนเซปต์ของสินค้าเข้าใจกลุ่มผู้บริโภคเพื่อพัฒนาสินค้าหรือบริการ ให้สอดคล้องกับความต้องการสำหรับตลาดสินค้าและบริการ เรียนรู้การสร้างและวิเคราะห์จุดขาย ศึกษาพฤติกรรมเป้าหมายเพื่อสามารถสร้างและพัฒนาสินค้า เรียนรู้กระบวนการสร้างแบรนด์สำหรับสินค้าความงามและสุขภาพ รวมไปถึงเข้าใจแนวคิดและขั้นตอนการออกแบบ Packaging ให้สอดคล้องกับแบรนด์ผลิตภัณฑ์ เพื่อให้นักศึกษาได้เตรียมตัวเข้าสู่ตลาดแรงงาน

ด้านรศ.ดร. สมิทธิชัย สียางนอก หัวหน้าภาควิชาเคมีอุตสาหกรรม กล่าวถึง รายวิชาที่ได้เปิดสอนแก่นักศึกษานั้นยังมีรายวิชาที่เกี่ยวกับการเป็นผู้ประกอบการเช่น วิชาการลงทุน (Investment) ชี้ช่องเริ่มต้นลงทุนที่เกี่ยวข้องกับระดับความเสี่ยง  ด้านงบประมาณในการลงทุนว่าควรพิจารณา  และเตรียมความพร้อมก่อนอย่างไรสำหรับมือใหม่ โดยต้องมีทิศทางในการลงทุนที่ชัดเจนและมีการจัดสรรเงินลงทุนที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คือ การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product design) เพราะจะสอดคล้องกับผู้เรียนที่ลงมือทำ เพื่อสร้างพัฒนาผลิตภัณฑ์และมองเห็นโอกาส การพัฒนาไอเดียสู่ธุรกิจ แล้วยังมีอีก 1 รายวิชาที่ให้สำคัญเช่นกัน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างและจับคุณค่า ให้เป็นมูลค่าทางธุรกิจผ่านวิธีการและกระบวนการสำหรับการพัฒนาและนวัตกรรมของโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน ที่ได้กล่าวมาข้างต้นล้วนแต่เกี่ยวข้องเศรษฐศาสตร์ทั้งสิ้น นอกจากนี้นักศึกษาเรียนรู้การทำวิจัยที่เข้มข้นในรายวิชา Research Methodology การสอนการเรื่องระเบียบการทำวิจัยและการยื่นขอทุนด้วยเช่นกัน  ผู้เรียนจะมีองค์ความรู้ขั้นสูง  มีความคิด  ความสามารถในการพัฒนาและวิจัย การประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ที่มีรูปแบบทันสมัยมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล จบจากสาขานี้ไปมีงานทำแน่นอน 100% เนื่องจากสุขภาพและความงามถือเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ของตลาดงานและบุคลากรด้านสุขภาพและความงามเป็นที่ต้องการอย่างมากทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศและต่างประเทศ

ผศ.ดร.นิศาลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพและความงาม ของภาควิชาเคมีอุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มจพ. กำหนดการรับสมัครไว้ 4  ดังนี้ รอบที่ 1 Portfolio เน้นความสามารถพิเศษ  รอบที่ 2 Quota รอบที่ 3 Admission รอบที่ 4 Direct Admission โดยใช้คะแนนในการสมัคร TGAT-TPAT และ A-Level  สมัครเรียนได้ที่

https://stdadmis2.kmutnb.ac.th/ApplyStart?ReturnUrl=%2f   อ่านระเบียบการรับสมัครแต่ละคณะได้ที่ https://admission.kmutnb.ac.th/apply/round  หรือที่ กลุ่มงานรับเข้าศึกษา โทรศัพท์ 0-2555-2000 ต่อ 1626,1627 และที่  facebook : Admission.KMUTNB – กลุ่มงานรับเข้าศึกษา มจพ.  หรือที่ ภาควิชาเคมีอุตสาหกรรม  คณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มจพ. โทร. 02 555-2000 ต่อ 4802-4

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เข้าใจความปลอดภัยของคริปโตเคอร์เรนซี: ทำไมการตรวจสอบย้อนกลับจึงสำคัญสำหรับทุกคน

โดย ดร.กร พูนศิริวงศ์

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และผู้อำนวยการโครงการ Binance TH Academy บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด

“คริปโตฯ เอาไว้ฟอกเงิน” “เงินดิจิทัลติดตามไม่ได้” เป็นคำพูดที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ในสังคมไทย แต่ความจริงแล้วเป็นอย่างไร? ในฐานะผู้ที่ทำงานทั้งด้านการศึกษาและกลยุทธ์ในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรงในประเทศไทย ผมพบเจอความเชื่อผิด ๆ นี้อยู่บ่อยครั้ง ตรงกันข้าม ธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซีไม่เพียงสามารถติดตามได้ แต่ยังมีความโปร่งใสมากกว่าระบบการเงินแบบดั้งเดิมเสียอีก

ทำความเข้าใจง่าย ๆ เรื่องการตรวจสอบในบล็อกเชน

ลองเปรียบเทียบง่าย ๆ นะครับ ถ้าเราจ่ายเงินสดซื้อของในตลาด เราจะติดตามเงินนั้นได้ยากมาก แต่การใช้คริปโตฯ เหมือนกับการโอนเงินผ่านพร้อมเพย์ที่มีการเก็บประวัติทุกรายการ แต่เพิ่มความพิเศษตรงที่ทุกคนสามารถตรวจสอบได้ เหมือนกับมีสำเนาสมุดบัญชีที่โปร่งใสและแก้ไขไม่ได้ ที่ Binance TH ระบบนี้ช่วยป้องกันการทุจริตได้ดีกว่าระบบเดิม ๆ เสียอีก เทคโนโลยีบล็อกเชนจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น

ความปลอดภัยในบริบทประเทศไทยที่เห็นชัดเจน

ความโปร่งใสของบล็อกเชนตอบโจทย์อีกหนึ่งความกังวลที่พบบ่อย นั่นคือเรื่องความปลอดภัย ทุกธุรกรรมบนเครือข่ายคริปโตเคอร์เรนซี เหรียญยอดนิยมอย่าง Bitcoin และ Ethereum ถูกบันทึกถาวร สามารถตรวจสอบได้โดยสาธารณะ และไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้ กลไกนี้สร้างความสามารถในการติดตามบน Chain ที่ไม่มีวันถูกทำลาย ซึ่งเหนือชั้นกว่าระบบการเงินทั่วไป

รายงานอาชญากรรมคริปโตล่าสุดจาก Chainalysis (2024) เผยว่าธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซีที่ผิดกฎหมายมีเพียง 0.24% ของปริมาณธุรกรรมคริปโตทั้งหมด การวิเคราะห์บล็อกเชนสมัยใหม่สามารถติดตามรูปแบบการทำธุรกรรมได้อย่างแม่นยำ ทำให้คริปโตเคอร์เรนซีกลายเป็นตัวเลือกที่ไม่เข้าท่าสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการตรวจจับ

ประเทศไทยกับการพัฒนาไปข้างหน้า

ประเทศไทยถือว่าเป็นผู้นำในภูมิภาคเรื่องการกำกับดูแลคริปโตฯ ก.ล.ต. ของเราออกกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ทำให้ผู้ลงทุนไทยได้รับการคุ้มครองที่ดี เทียบเท่าการลงทุนในตลาดหุ้น จากรายงานการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลล่าสุดของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยว่าปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดคริปโตฯ ไทยมีมูลค่าการซื้อขายกว่า 100,000 ล้านบาท โดยทุกธุรกรรมต้องผ่านการตรวจสอบตัวตน (KYC) เหมือนกับการเปิดบัญชีธนาคาร ทำให้ปลอดภัยกว่าการซื้อขายในตลาดต่างประเทศที่ไม่มีใบอนุญาต ทำให้สามารถติดตามธุรกรรมได้ 100%

แนวทางและข้อกำหนดในการขอใบอนุญาตที่ชัดเจนของ ก.ล.ต. ไทย ส่งผลให้ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนบนกระดานเทรดในประเทศต้องรักษามาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง ทั้งนี้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รายงานว่าปีที่ผ่านมา สามารถติดตามธุรกรรมต้องสงสัยได้ถึง 95% นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าระบบคริปโตฯ ไม่ได้เอื้อต่อการทำผิดกฎหมายอย่างที่หลายคนเข้าใจ

มองไปข้างหน้า

เทคโนโลยีบล็อกเชนกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว รายงานสินทรัพย์ดิจิทัลปี 2567 ของ World Economic Forum คาดว่าภายในปี 2569 ประสิทธิภาพการตรวจจับธุรกรรมผิดปกติจะพัฒนาขึ้นอีก 300% เมื่อเครื่องมือเหล่านี้พัฒนาขึ้น เราเห็นการเพิ่มขีดความสามารถในการจดจำรูปแบบ การติดตามแบบเรียลไทม์ และโมเดลการประเมินความเสี่ยงขั้นสูง 

การศึกษาคือกุญแจสำคัญของคนไทย

จากการสำรวจล่าสุดของสมาคมฟินเทคประเทศไทย พบว่า 73% ของนักลงทุนคริปโตชาวไทยระบุว่า ความปลอดภัยและความสามารถในการติดตามตรวจสอบเป็นปัจจัยสำคัญอันดับหนึ่งในการเลือกแพลตฟอร์มการซื้อขาย สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นในผู้ใช้งานในตลาดของเรา ที่ Binance TH Academy เราจึงเน้นการให้ความรู้แบบเข้าใจง่าย ใช้ตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนไทย

สรุป

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนมุมมองเรื่องคริปโตฯ จากความกลัวและความไม่เข้าใจ มาสู่การเรียนรู้และใช้ประโยชน์อย่างถูกต้อง ด้วยกฎระเบียบที่รัดกุมและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ประเทศไทยมีโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลของภูมิภาค

สำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้เพิ่มเติม Binance TH Academy มีคอร์สออนไลน์ฟรี ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับคนไทย เน้นการประยุกต์ใช้จริงและการลงทุนอย่างปลอดภัย ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นจนถึงระดับมืออาชีพ

ดร.กร พูนศิริวงศ์ ผู้นำด้านกลยุทธ์และการศึกษาของ Gulf Binance โดยนำประสบการณ์ขั้นสูงด้านความปลอดภัยของสินทรัพย์ดิจิทัลและการพัฒนาตลาดมาสู่ระบบนิเวศคริปโตเคอร์เรนซีของประเทศไทยผ่าน Binance TH Academy ดร.กร มุ่งทำงานเพื่อยกระดับความเข้าใจในเทคโนโลยีบล็อกเชนและส่งเสริมแนวทางการซื้อขายที่ปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ

เกี่ยวกับบริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด

ไบแนนซ์ คือแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลโดยได้รับใบอนุญาตภายใต้ชื่อบริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด (บริษัทในเครือของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไบแนนซ์ แคปปิตอล แมเนจเมนท์ จำกัด (บริษัทในเครือของกลุ่ม Binance) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม เว็บไซต์ https://www.binance.th/th


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ปรับโฉมดาต้าเซ็นเตอร์ ให้พร้อมสำหรับ AI

โดย นาตาลยา มากาโรชกีนา รองประธานอาวุโส, Secure Power International, ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

ในปีที่ผ่านมา ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนการมาถึงของยุคดิจิทัล ที่สะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วสู่การใช้งานอินเทอร์เน็ตในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรม และนิยามการใช้ชีวิตประจำวันในรูปแบบใหม่ อีกทั้งสร้างผลกระทบมากมายอย่างรวดเร็ว

แรงกระเพื่อมของ AI มีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มอย่างมากมายภายในไม่กี่ปีข้างหน้า การลงทุนด้าน generative AI ในปี 2023 มีมูลค่าสูงถึง 25,200 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าเม็ดเงินที่ลงทุนในปี 2022 ถึงเกือบ 9 เท่า และเมื่อเทียบเงินลงทุนในปี 2019 นับว่าเป็นอัตราเพิ่มที่สูงในราว 30 เท่า ทีเดียว เหล่านี้คือข้อเท็จจริงที่ถูกหยิบยกมาไฮไลท์ในรายงาน AI Index ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

การเติบโตของ AI ยังชี้ให้บรรดาบริษัทดาต้าเซ็นเตอร์ เห็นถึงโอกาสในการสร้างนวัตกรรมและขยายการนำเสนอบริการใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการเปลี่ยนมาใช้แอปพลิเคชั่นที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมถึงตัวองค์กรเองเช่นกัน ซึ่งการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ พร้อมปรับโครงสร้างพื้นฐานและการดำเนินการให้เหมาะสม จะช่วยให้ศูนย์ข้อมูลมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการใช้งาน AI ในภาคส่วนต่างๆ อย่างแพร่หลายได้ประสบความสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้มาพร้อมต้นทุนที่ต้องจ่าย ปัจจุบัน AI ต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูล 4.3 กิกะวัตต์ โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 18 กิกะวัตต์ภายในปี 2028 ซึ่งจะทำให้ความต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูล แซงหน้าอัตราเติบโตของความต้องการด้านพลังงานในปัจจุบัน ทำให้ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลต้องพบกับความท้าทายทั้งเรื่องของสมรรถนะ และความยั่งยืน ศูนย์ข้อมูลจึงต้องปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับความต้องการด้านพลังงานที่เปลี่ยนสู่การขับเคลื่อนด้วย AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

การขับเคลื่อนด้วย AI ต้องอาศัยศูนย์ข้อมูลแห่งอนาคต ไม่ใช่แค่การเพิ่มแอปพลิเคชั่นเข้าไปในศูนย์ข้อมูลที่มีอยู่ แต่ต้องใช้สถาปัตยกรรมที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานไอทีเฉพาะด้าน ระบบไฟฟ้า และระบบระบายความร้อนที่ออกแบบมาเฉพาะเช่นกัน

สร้างความยั่งยืน ให้ AI ดาต้าเซ็นเตอร์

เราคาดการณ์ว่าเวิร์กโหลด AI จะโตเร็วกว่าเวิร์กโหลดของศูนย์ข้อมูลแบบเดิมถึง 2-3 เท่า และคิดเป็น 15-20 เปอร์เซ็นต์ ของความจุของศูนย์ข้อมูลทั้งหมดภายในปี 2028  โดยจะมีเวิร์กโหลดจำนวนมากย้ายมาที่เอจด์ ซึ่งอยู่ใกล้ผู้ใช้ปลายทางมากขึ้น

การฝึกฝนโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM – Large Language Models) ต้องใช้ GPU หลายพันตัวทำงานร่วมกันในคลัสเตอร์ AI ขนาดใหญ่ ขนาดของคลัสเตอร์จะอยู่ที่ประมาณ 1 – 2 เมกะวัตต์ โดยที่ความหนาแน่นของแร็คจะอยู่ระหว่าง 25 -120 กิโลวัตต์ ขึ้นอยู่กับรุ่นและปริมาณของ GPU ซึ่งลักษณะเฉพาะเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากในเรื่องการใช้พลังงาน

ปัจจุบันศูนย์ข้อมูลส่วนใหญ่สามารถรองรับความหนาแน่นของพลังงานในแร็คสูงสุดได้เพียง 10 ถึง 20 กิโลวัตต์ ฉะนั้นในการติดตั้งแร็คจำนวนหลายสิบหรือหลายร้อยแร็ค โดยที่แต่ละแร็คใช้พลังงานเกิน 20 กิโลวัตต์ จะทำให้ศูนย์ข้อมูลในคลัสเตอร์ AI ต้องเจอกับความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างมาก ซึ่งชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีความเชี่ยวชาญในการปรับโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพให้ตอบสนองความต้องการด้าน AI ได้อย่างเหมาะสม โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมในไซต์มาช่วย จึงสามารถสนับสนุนให้ลูกค้าเปลี่ยนการตั้งค่าจากความหนาแน่นต่ำ (low-density) เป็นความหนาแน่นสูง (high-density) ได้เหมาะสมต่อการใช้งาน

ล่าสุดชไนเดอร์ อิเล็คทริคได้ร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อปฏิวัติโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูล ซึ่งช่วยสร้างความก้าวหน้าในเทคโนโลยี edge AI และ digital twin ซึ่งนอกจากชไนเดอร์ อิเล็คทริคจะเปิดตัวดีไซน์อ้างอิง สำหรับงานดัดแปลง หรือ retrofit ถึงสามแบบ สำหรับผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่ต้องการเพิ่มคลัสเตอร์ AI ในสถานที่เดิมที่มีอยู่ ยังได้เปิดตัวดีไซน์ใหม่ที่สามารถปรับขยายได้ สำหรับผู้ให้บริการที่ต้องการสร้างพื้นที่ไอทีสำหรับคลัสเตอร์ AI โดยเฉพาะ  ซึ่งเป็นดีไซน์สำหรับคลัสเตอร์เร่งการประมวลผลของ NVIDIA โดยดีไซน์เหล่านี้ ได้ถูกปรับให้เหมาะกับการใช้งานด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลข้อมูล การจำลองทางวิศวกรรม การออกแบบอิเล็กทรอนิกส์อัตโนมัติ การออกแบบยาโดยใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย รวมถึง Generative AI

ดีไซน์อ้างอิงเหล่านี้ จะให้เฟรมเวิร์กที่มั่นคงเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเวิร์กโหลด AI ที่เพิ่มขึ้น โดยผสานการทำงานของแพลตฟอร์มเร่งการประมวลผลของ NVIDIA ร่วมกับดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รองรับการปรับขยายและให้ความยั่งยืน

การที่ศูนย์ข้อมูลมีต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นและใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น จึงต้องให้ความสำคัญเรื่องฮาร์ดแวร์และโครงสร้างพื้นฐานที่ประหยัดพลังงาน รวมถึงแหล่งจ่ายไฟที่มีประสิทธิภาพสูง และแหล่งพลังงานหมุนเวียน เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดปริมาณการปล่อยคาร์บอน ซึ่งการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานของชไนเดอร์ อิเล็คทริค นอกจากจะช่วยรองรับการทำงานของ AI ยังช่วยแก้ไขปัญหาพลังงานในอนาคต เอื้อต่อการพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่ปรับขยายได้

การรักษาศูนย์ข้อมูล AI ให้เย็นอยู่เสมอ

ศูนย์ข้อมูล AI สร้างความร้อนในปริมาณมาก จึงต้องใช้การระบายความร้อนด้วยของเหลว เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงาน ที่ดีที่สุด ให้ความยั่งยืน และเชื่อถือได้

ในอีกมุมหนึ่ง ระบบระบายความร้อน ที่ไม่ได้รวมอยู่ในโครงสร้างพื้นฐานไอที ยังใช้พลังงานมากเป็นอันดับสองสำหรับศูนย์ข้อมูลแบบดั้งเดิม โดยคิดเป็น 20 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ของการใช้พลังงานทั้งหมดในศูนย์ข้อมูล

การระบายความร้อนด้วยของเหลวเป็นสถาปัตยกรรมที่ให้ประโยชน์มากสำหรับบริษัทที่ให้บริการศูนย์ข้อมูล เช่น การช่วยให้ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้พื้นที่น้อยลง มีต้นทุนต่ำกว่า เสียงรบกวนน้อยลง และอื่นๆ อีกมากมาย โดยบริษัทศูนย์ข้อมูลในเอเชียกำลังเปลี่ยนมาใช้การระบายความร้อนด้วยของเหลวอย่างจริงจัง เพื่อลดการใช้พลังงาน

เมื่อความต้องการพลังประมวลผล AI เพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้องแบกรับความร้อนที่เพิ่มขึ้นตาม การระบายความร้อนด้วยของเหลวจึงกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในการออกแบบศูนย์ข้อมูล การใช้แนวทางที่สร้างสรรค์ ครอบคลุม และยืดหยุ่นจึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งชไนเดอร์ ให้การสนับสนุนลูกค้าเรื่องการนำระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวมาใช้ มีโซลูชั่นหลากหลาย ครอบคลุมทั้งในส่วนพื้นที่ที่ไม่มีการใช้งาน (white space solutions) ตลอดจนกลยุทธ์ด้านการระบายความร้อน

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริคยังได้เผยแพร่เอกสารฉบับใหม่เมื่อไม่นานมานี้ ชื่อว่า “การนำร่องด้วยสถาปัตยกรรมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวสำหรับศูนย์ข้อมูลสำหรับเวิร์กโหลด AI” ข้อมูลนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยนำร่องให้บริษัทศูนย์ข้อมูลสามารถก้าวข้ามความซับซ้อนของระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว พร้อมให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการออกแบบระบบ การนำไปใช้งาน และข้อควรพิจารณาในการปฏิบัติงาน

AI กับผลกระทบด้านความยั่งยืน

ผลกระทบของ AI เหมือนเหรียญสองด้าน แม้ AI ให้ศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน แต่ก็สร้างความกังวลเรื่องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมบางรายคาดการณ์ว่าการประมวลผลแบบเร่งความเร็ว ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนการปฏิวัติ AI จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ในขณะที่ใช้ทรัพยากรโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลน้อยลง เมื่อการประมวลผลถูกเร่งความเร็ว ความหนาแน่นของแต่ละแร็คก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้จำนวนแร็คในศูนย์ข้อมูลลดลงมาก โดยหลักๆ คือการประมวลผลแบบเร่งความเร็วให้ศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมได้มาก

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการประเมินผลกระทบของ AI ในวงกว้างอย่างรอบคอบทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงาน โดย Gartner เปิดเผยว่า 80% ของซีไอโอ จะใช้ตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนขององค์กรไอทีภายในปี 2027 การที่บริษัทต่างๆ ตั้งเป้าเพื่อลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนในระบบไอที รวมถึงในศูนย์ข้อมูล จำเป็นจะสร้างพื้นฐานข้อมูลจากข้อเท็จจริง สามารถเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ และเข้าถึงข้อมูลในอดีตได้

ซอฟต์แวร์ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถวัดผล และรายงานประสิทธิภาพของศูนย์ข้อมูล โดยอิงจากข้อมูลในอดีต และวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต ซอฟต์แวร์ EcoStruxure IT สำหรับการจัดการโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลของชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีการผสานรวม AI และการมอนิเตอร์แบบเรียลไทม์ เพื่อเปลี่ยนเป็นข้อมูลเชิงลึกให้ลูกค้านำมาใช้ดำเนินการเพื่อปรับปรุงความยั่งยืน ซึ่งจากการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยรวมของ Forrester จัดทำโดย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค พบว่าบริษัทต่างๆ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าได้มากถึง 22.5% โดยใช้ความสามารถในการจัดการพลังงานขั้นสูงของ จาก EcoStruxure ที่ช่วยปรับการใช้พลังงานและประสิทธิภาพการระบายความร้อนได้เหมาะสมที่สุด

การเปิดตัวฟีเจอร์การรายงานความยั่งยืนอัตโนมัติรูปแบบใหม่ล่าสุด สำหรับซอฟต์แวร์ EcoStruxure IT ช่วยให้มองเห็นการใช้พลังงานและทรัพยากร มีการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต และการวัดผลโดยละเอียดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ฟีเจอร์เหล่านี้ผสานความเชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน กฎระเบียบข้อบังคับ ศูนย์ข้อมูล รวมถึงความเชี่ยวชาญในการการพัฒนาซอฟต์แวร์ มากว่า 20 ปี รวมถึงแมชชีนเลิร์นนิ่ง เพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ ปฏิบัติตามข้อกำหนดการรายงานด้านกฎระเบียบที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในอนาคต

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มุ่งสร้างความยั่งยืนให้ศูนย์ข้อมูล

การที่ศูนย์ข้อมูลทำงานโดยอาศัยพลังงานจำนวนมาก ทำให้เกิดความท้าทายต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มุ่งมั่นในการช่วยให้ศูนย์ข้อมูลดำเนินการอย่างรับผิดชอบ เพื่อส่งเสริมอนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน ลดการปล่อยคาร์บอน และเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน

ตัวอย่างหนึ่งของความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในความร่วมมือกับอุตสาหกรรม โดยชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง Infrastructure Masons Climate Accord ร่วมกับบริษัท 50 แห่ง โดยมีข้อตกลงและจุดมุ่งหมายเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ และพลังงานของโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล นอกจากนี้ ข้อตกลงดังกล่าวยังมุ่งที่การกำหนดมาตรฐานระดับโลก สำหรับบัญชีคาร์บอนในโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมให้บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ ยังได้เปิดตัวคู่มือฉบับแรกของอุตสาหกรรม เพื่อรับมือกับความท้าทายในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพสำหรับศูนย์ข้อมูลใหม่ เพื่อรองรับเวิร์กโหลดที่เกิดจาก AI ซึ่งกำหนด gold standard ด้วยการออกแบบศูนย์ข้อมูลที่ปรับให้เหมาะกับ AI เอกสารเผยแพร่ดังกล่าวมีชื่อว่า “การเปลี่ยนแปลงของ AI: ความท้าทายและแนวทางสำหรับการออกแบบศูนย์ข้อมูล” จะให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าและทำหน้าที่เป็นต้นแบบที่สมบูรณ์สำหรับบริษัทต่างๆ ที่ต้องการนำ AI มาสร้างศักยภาพสูงสุดให้ศูนย์ข้อมูลของตน รวมถึงมุมมองเชิงคาดการณ์ของเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อรองรับคลัสเตอร์ AI แห่งอนาคตได้


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. จัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติ “พลิกโฉมธุรกิจอุตสาหกรรมด้วยปัญญาประดิษฐ์ และการจัดการคาร์บอนเครดิตสู่อนาคตที่ยั่งยืน”

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2567 เวลา 08.00 . มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดยนักศึกษาปริญญาเอก คณะพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ได้จัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติ เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 65 ปี ของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยฯ ภายใต้หัวข้อพลิกโฉมธุรกิจอุตสาหกรรมด้วยปัญญาประดิษฐ์และการจัดการคาร์บอนเครดิตสู่อนาคตที่ยั่งยืน” TRANSFORMING INDUSTRIAL BUSINESSES WITH ARTIFICIAL INTELLIGENCE AND CARBON CREDIT MANAGEMENT TOWARDS A SUSTAINABLE FUTURE” โดย ศ.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัย ให้การต้อนรับผู้เข้าร่วมงานสัมมนา พร้อมได้รับเกียรติจากคุณวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  เป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อทิศทางการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมสู่อนาคตที่ยั่งยืนโดยมี ศ.ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดี มจพ.  คุณอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยฯ และคณะผู้บริหารของกระทรวงฯ ให้เกียรติเข้าร่วมในพิธีฯ ทั้งนี้ได้เชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ ดร.รัสรินทร์ ชินโชติธีรนันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลิสเซินฟิลด์ จำกัด คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด และคุณกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด มาร่วมแบ่งปันความรู้     ซึ่งงานสัมมนานี้จัดขึ้น ณ หอประชุมเบญจรัตน์ อาคารนวมินทรราชินี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

งานสัมมนานี้ เป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการและนักศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและสามารถแข่งขันในอนาคต โดยมุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ภาคธุรกิจเกี่ยวกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การจัดการข้อมูล และการวิเคราะห์ตลาด รวมถึงการจัดการคาร์บอนเครดิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนในอนาคต นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมงานยังได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งช่วยสร้างเครือข่ายและเปิดมุมมองใหม่ๆ สำหรับการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมไทยให้แข่งขันในระดับสากล อีกทั้งยังเป็นเวทีสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจและการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคตผ่านการเรียนรู้จากกรณีศึกษาและนวัตกรรม โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมมากกว่า 350 คน รวมถึงผู้เข้าร่วมทางออนไลน์ผ่าน FACEBOOK LIVE คณะพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม มจพ. HTTPS://WEB.FACEBOOK.COM/BID.FACULTY อีกเป็นจำนวนมาก


Exit mobile version