Categories
บทความ ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์

การทำงานของมอเตอร์ไฟตรงและการใช้งาน

มอเตอร์ไฟตรง  (DC motor)  เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล โดยเมื่อจ่ายไฟให้แก่มอเตอร์ จะทำให้แกนของมอเตอร์หมุน จึงสามารถนำการหมุนของแกนมอเตอร์ไปใช้ในการขับเคลื่อนวัตถุให้เกิดการเคลื่อนที่

มอเตอร์ไฟตรงมีขนาดและพิกัดแรงดันให้เลือกใช้มากมาย ในบทความนี้จะเน้นไปที่มอเตอร์ขนาดเล็กที่ใช้แรงดันในย่าน +1.5 ถึง +12V ซึ่งมีการใช้งานในหุ่นยนต์หรือสิ่งประดิษฐ์ที่มีกลไกเคลื่อนไหว ในรูปที่ 1 แสดงหน้าตาของมอเตอร์ไฟตรงในแบบต่างๆ


รูปที่ 1 มอเตอร์ไฟตรงที่มีชุดเฟืองขับในแบบต่างๆ

โดยปกติมอเตอร์ไฟตรงจะถูกสร้างขึ้นให้สามารถหมุนแกนด้วยความเร็วสูงมาก ตั้งแต่ 1,000 รอบขึ้นไป แต่แรงบิดที่ความเร็วรอบสูงมีน้อยมาก จนไม่สามารถนำไปขับกลไกเคลื่อนไหวได้ จึงต้องมีการทดจำนวนรอบด้วยการใช้เฟือง เพื่อให้เกิดแรงบิดมากขึ้น นั่นคือ ยิ่งมีอัตราทดสูงเท่าใด ความเร็วรอบของแกนมอเตอร์จะลดลง แต่จะมีแรงบิดมากขึ้น ดังนั้นการกำหนดอัตราทดที่เหมาะสมจะทำให้สามารถใช้งานมอเตอร์ไฟตรงเพื่อขับเคลื่อนกลไกเคลื่อนที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การทำงานของมอเตอร์ไฟตรง
การขับหรือทำให้มอเตอร์ไฟตรงทำงานเพื่อหมุนแกนนั้นง่ายมาก เพียงจ่ายไฟเข้าที่ขั้วของมอเตอร์เท่านั้น และเมื่อกลับขั้วของการจ่ายไฟมอเตอร์ก็จะหมุนกลับทิศทาง สำหรับการอธิบายการทำงานของมอเตอร์โดยทั่วไปจะอ้างถึงมอเตอร์แบบ 2 ขั้ว ดังในรูปที่ 2 เมื่อจ่ายไฟให้แก่มอเตอร์ผ่านทางแปรงสัมผัสซึ่งต่ออยู่กับคอมมิวเตเตอร์และขดลวด เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้น  และเกิดแรงดูดจากแม่เหล็กถาวร ทำให้ขดลวดสามารถหมุนได้ แต่ด้วยการใช้ขดลวดเพียง 2 ขั้ว การหมุนของมอเตอร์จะขาดเสถียรภาพ เพราะในความเป็นจริงเมื่อคอมมิวเตเตอร์หมุนไป 90 องศาจะทำให้เกิดการลัดวงจรคอมมิวเตอร์ทั้ง 2 ชิ้น ทำให้กระแสไฟฟ้าหยุดไหล แต่แกนของมอเตอร์ยังหมุนไปได้ด้วยแรงเฉื่อย ทำให้จังหวะการทำงานนั้นไม่ต่อเนื่อง และทำให้อัตราเร็วในการหมุนไม่คงที่ ซึ่งทางแก้ไขนั้นจะใช้มอเตอร์แบบมีขดลวด 3 ขั้ว ที่มีการพันในทิศทางที่สลับกัน


รูปที่ 2 แสดงส่วนประกอบและการทำงานของมอเตอร์ไฟตรง

ในมอเตอร์ไฟตรงที่ใช้งานจริงนั้น จะเป็นมอเตอร์แบบขดลวด 3 ขั้ว ดังนั้นคอมมิวเตเตอร์ที่ใช้ในการกำหนดจังหวะการจ่ายกระแสให้แก่ขดลวดจะมี 3 ชิ้น ดังแสดงโครงสร้างและการทำงานของมอเตอร์ไฟตรงแบบ 3 ขั้วในรูปที่ 3 ด่วยการใช้ขดลวด 3 ชุดนี้ช่วยให้การหมุนของมอเตอร์มีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะแม้ว่าจะเกิดจังหวะที่คอมมิวเตเตอร์ 2 ชิ้นจะถูกลัดวงจร ดังในขั้นตอนที่ 2 และ 4 ของรูปที่ 3 แต่เนื่องจากมีคอมมิวเตเตอร์ 3 ชิ้น เมื่อลัดวงจร 2 ชิ้น ก็เสมือนกับรวมกันเป็นคอมมิวเตเตอร์ 1 ชิ้น จึงสามารถทำงานกับคอมมิวเตเตอร์อีก 1 ชิ้นที่เหลือ เพื่อกำหนดจังหวะการจ่ายกระแสไฟฟ้าต่อไปได้ ทำให้ไม่เกิดภาวะกระแสไฟฟ้าหยุดไหลดังที่เกิดในมอเตอร์แบบขดลวด 2 ขั้ว


รูปที่ 3 แสดงส่วนประกอบและการทำงานของมอเตอร์ไฟตรงแบบขดลวด 3 ขั้ว ซึ่งเป็นแบบที่มีการผลิตใช้งานจริง

วงจรขับมอเตอร์ไฟตรงอย่างง่ายด้วยสวิตช์
แสดงวงจรในรูปที่ 4 ประกอบไปด้วย สวิตช์ 4 ตัว นั่นก็คือ S1, S2, S3 และ S4 ซึ่งในรูปตัวอย่างมอเตอร์จะเคลื่อนที่ทิศทางใด ขึ้นอยู่กับการต่อ สวิตช์ทั้ง 4 ตัว นั่นเอง
ในสภาวะเริ่มต้น ยังไม่มีการเปิดสวิตช์ที่ตัวใดเลย มอเตอร์จึงไม่ทำงาน


รูปที่ 4 หลักการของวงจรขับมอเตอร์ไฟตรงที่ใช้สวิตช์ 4 ตัว

เมื่อต้องการให้มอเตอร์หมุนตามเข็มนาฬิกา ให้ทำการต่อวงจร S1 และ S4 ตามรูปที่ 4.2 จะเห็นว่า แรงดัน +V จากแหล่งจ่ายไฟจะถูกต่อเข้ากับขั้วบวกของมอเตอร์ และขั้วลบของแหล่งจ่ายไฟต่อเข้ากับขั้วลบของมอเตอร์ ทำให้เกิดกระแสไหลผ่านมอเตอร์ มอเตอร์จึงหมุนตามเข็มนาฬิกา (CW : Clock wise)
เมื่อต้องการให้มอเตอร์หมุนกลับทิศทางหรือหมุนทวนเข็มนาฬิกา (CCW : Counterclockwise) ให้ทำการต่อสวิตช์ S2 และ S3 แทน ในขณะที่ S1 และ S4 เปิดวงจร มอเตอร์ก็จะได้รับแรงดันกลับขั้ว ทำให้กระแสไหลในทิศทางตรงข้าม มอเตอร์จึงหมุนกลับทิศทางกับในตอนแรก
วงจรขับมอเตอร์ไฟตรงอย่างง่ายด้วยรีเลย์
จากวงจรในรูปที่ 4 เปลี่ยนสวิตช์เป็นรีเลย์ 2 ตัว คือ RY1 และ RY2 โดยขั้วบวก (+) ของมอเตอร์ต่อกับขาร่วมของรีเลย์ RY1 และขั้วลบ (-) ของมอเตอร์ต่อกับขาร่วมของรีเลย์ RY2 ส่วนที่ขา NO ของทั้งรีเลย์ RY1 และ RY2 ต่ออยู่กับขั้วบวกของแหล่งจ่ายไฟ +Vm ที่จะจ่ายให้มอเตอร์ และขา NC ของทั้งรีเลย์ RY1 และ RY2 ต่อลงกราวด์ จะได้เป็นวงจรขับมอเตอร์ตามรูปที่ 5.1

รูปที่ 5 วงจรขับมอเตอร์ไฟตรงที่ใช้รีเลย์ 2 ตัวแทนสวิตช์ 4 ตัว

เมื่อจ่ายไฟเพื่อกระตุ้นให้รีเลย์ RY1 ทำงาน จะทำให้หน้าสัมผัสที่ขา NO และ C ของรีเลย์ RY1 ต่อกัน เกิดกระแสไฟฟ้าไหลจาก +Vm เข้าสู่ขั้วบวก (+) ของมอเตอร์ผ่านไปยังขาร่วม (C) ของรีเลย์ RY2 ต่อกับขา NC และลงกราวด์ ทำให้ครบวงจร มอเตอร์จึงทำงานและหมุนในทิศตามเข็มนาฬิกา ดังในรูปที่ 5.2

พิจารณารูปที่ 5.3 เมื่อจ่ายไฟเพื่อกระตุ้นให้รีเลย์ RY2 ทำงาน จะทำให้หน้าสัมผัสที่ขา NO และ C ของรีเลย์ RY2 ต่อกัน เกิดกระแสไฟฟ้าไหลจาก +Vm เข้าสู่ขั้วลบ (-) ของมอเตอร์ผ่านไปยังขาร่วม (C) ของรีเลย์ RY1 ซึ่งต่อกับขา NC และลงกราวด์ ทำให้ครบวงจร มอเตอร์จึงทำงานและหมุนในทิศทวนเข็มนาฬิกา

วงจรขับมอเตอร์แบบ H-Bridge
ลักษณะของวงจรขับมอเตอร์ทั้งในรูปที่ 4 และ 5 มีชื่อเรียกว่า วงจรขับแบบ H-Bridge เนื่องจากลักษณะของวงจรคล้ายกับตัวอักษร H ในภาษาอังกฤษ และมีการใช้อุปกรณ์ควบคุม 4 ตัว นอกจากนั้นยังสามารถใช้ อุปกรณ์ที่เรียกว่า ทรานซิสเตอร์ มาทดแทนรีเลย์ ดังแสดงวงจรในรูปที่ 6 ด้วย การใช้ทรานซิสเตอร์จะทำให้ขนาดของวงจรเล็กลง


รูปที่ 6 วงจรขับมอเตอร์ไฟตรงแบบ H-Bridge ใช้ทรานซิสเตอร์ 4 ตัว ทำงานแทนสวิตช์และรีเลย์

เมื่อส่งสัญญาณลอจิก “1” มาที่อินพุต CW จะทำให้ทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q4 ทำงาน เกิดกระแสไฟฟ้าไหลผ่านมอเตอร์ ทำให้มอเตอร์หมุนในทิศทางตามเข็มนาฬิกา

ถ้าหากส่งสัญญาณลอจิก “1” มาที่อินพุต CCW จะทำให้ทรานซิสเตอร์ Q2 และ Q3 ทำงานแทน เกิดกระแสไฟฟ้าไหลผ่านมอเตอร์ในอีกทิศทางหนึ่ง ทำให้มอเตอร์หมุนในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา

นอกจากนั้นยังมีการใช้ไอซีขับมอเตอร์โดยเฉพาะ นั่นคือ ไอซีเบอร์ L293D ซึ่งภายในบรรจุวงจรขับแบบ H-Bridge 2 ชุด จึงทำให้สามารถขับมอเตอร์ไฟตรงได้ 2 ตัว ในรูปที่ 7 เป็นวงจรขับมอเตอร์ที่ใช้ไอซี L293D


รูปที่ 7 วงจรขับมอเตอร์ไฟตรงโดยใช้ไอซี L293D

การขับมอเตอร์แต่ละตัวใช้สายสัญญาณ 3 เส้น เนื่องจากต้องการ ควบคุมทิศทางของมอเตอร์ไปพร้อมๆ กับการควบคุมความเร็วของมอเตอร์ด้วยสัญญาณ PWM สำหรับมอเตอร์ช่องที่ 1 จะใช้อินพุต DIR1A และ DIR1B ในการกำหนดทิศทางการหมุน ส่วนอินพุตรับสัญญาณเพื่อควบคุมความเร็วจะเป็นขา 1E ส่วนมอเตอร์ช่องที่ 2 ใช้อินพุต DIR2A และ DIR2B ส่วนอินพุตควบคุมความเร็วคือขา 2E

การกำหนดเงื่อนไขในการขับมอเตอร์ของ L293D เป็นดังนี้
DIRxA = 0, DIRxB = 1 มอเตอร์หมุนทวนเข็มนาฬิกา
DIRxA = 1, DIRxB = 0 มอเตอร์หมุนตามเข็มนาฬิกา
x คือ 1 หรือ 2

โดยไอซี L293D จะสามารถทำงานได้เมื่อมีสัญญาณลอจิก “1” ส่งมาที่อินพุต 1E สำหรับมอเตอร์ช่อง 1 และ 2E สำหรับมอเตอร์ช่อง 2

ที่เอาต์พุตของวงจรขับมอเตอร์มี LED สองสีแสดงขั้วแรงดันที่จ่าย ให้กับมอเตอร์ ถ้า LED ติดเป็นสีเขียว หมายถึงการจ่ายแรงดันตรงขั้วให้กับมอเตอร์ ถ้าแรงดันที่จ่ายให้กลับขั้ว LED จะติดเป็นสีแดง

ควบคุมความเร็วของมอเตอร์
ในการขับมอเตอร์โดยปกติจะป้อนแรงดันไฟตรงให้โดยตรง มอเตอร์จะทำงานเต็มกำลัง ซึ่งอาจมีความเร็วมากเกินไป ดังนั้นการปรับความเร็วของมอเตอร์จึงใช้วิธีลดแรงดันไฟฟ้าที่ป้อนให้กับมอเตอร์ วิธีที่นิยมคือ การป้อนพัลส์ไปขับมอเตอร์แทน แล้วปรับความกว้างพัลส์ช่วงบวก เพื่อให้ได้ค่าแรงดันเฉลี่ยตามต้องการ วิธีการนี้เรียกว่า พัลส์วิดธ์มอดูเลเตอร์ (PWM)


รูปที่ 8 การเปรียบเทียบค่าแรงดันที่เกิดขึ้นเมื่อใช้ PWM 

(8.1) ป้อนสัญญาณไฟตรง 
(8.2) PWM มีดิวตี้ไซเกิล 50% 
(8.3) PWM มีดิวตี้ไซเกิล 75% 
(8.4) PWM มีดิวตี้ไซเกิล 25%

โดยความกว้างพัลส์ช่วงบวกเมื่อเทียบกับความกว้างพัลส์ทั้งหมดเรียกว่า ดิวตี้ไซเกิล (duty cycle)โดยจะคิดค่าดิวตี้ไซเกิลเป็นเปอร์เซ็นต์ของค่าความกว้างพัลส์ทั้งหมด ตัวอย่างจากรูปที่ 8.2 มีค่าดิวตี้ไซเกิล 50% หมายถึง ความกว้างของพัลส์ช่วงบวกมีความกว้างเป็น 50% ของความกว้างทั้งหมด ดังนั้นแรงดันเฉลี่ยที่ได้เท่ากับ (50 x 4.8) /100 = 2.4V สำหรับรูปที่ 8.3 และ 8.4 เป็นการกำหนดค่าดิวตี้ไซเกิล 75% และ 25% ตามลำดับ

ตัวอย่างวงจรกำเนิดสัญญาณ PWM สำหรับควบคุมความเร็วมอเตอร์
วงจรสำหรับสร้างสัญญาณพัลส์ PWM เพื่อนำไปขับมอเตอร์ไฟตรงขนาดเล็กนั้นมีตัวอย่างแสดงในรูปที่ 9, 10 และ 11 โดยในรูปที่ 9 เป็นวงจรกำเนิดสัญญาณพัลส์ PWMที่ง่ายที่สุดใช้ไอซี 555 โดยความถี่ของสัญญาณ PWM จะถูกกำหนดด้วยค่าของตัวเก็บประจุ C1 สามารถเปลี่ยนค่าดิวตี้-ไซเกิลหรือความกว้างของพัลส์ได้ด้วยการปรับ VR1 สัญญาณ PWM จะถูกส่งไปยังมอสเฟต Q1 เพื่อขับให้มอเตอร์ไฟตรงหมุน ด้วยการปรับค่าของ VR1 ทำให้แรงดันที่ใช้ขับมอเตอร์มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าพัลส์มีความกว้างมาก แรงดันที่ส่งไปขับมอเตอร์ก็จะมากตาม ส่งผลให้ความเร็วของมอเตอร์เพิ่มขึ้น ในทางตรงข้ามถ้าพัลส์มีความกว้างน้อยลง แรงดันเฉลี่ยที่เอาต์พุตก็จะลดลง ความเร็วของมอเตอร์ก็ลดลงตาม


รูปที่ 9 วงจรขับมอเตอร์ไฟตรงด้วยสัญญาณ PWM อย่างง่าย


รูปที่ 10 วงจรควบคุมความเร็วของมอเตอร์ไฟตรงที่ใช้ไอซีออปแอมป์

รูปที่ 10 เป็นวงจรควบคุมความเร็วของมอเตอร์ไฟตรง ซึ่งใช้วงจรกำเนิดพัลส์ PWM ที่สร้างขึ้นจากไอซีออปแอมป์ โดย IC1/1 และ IC1/2 ต่อร่วมกับตัวต้านทานและตัวเก็บประจุเพื่อทำงานเป็นวงจรกำเนิดสัญญาณสามเหลี่ยม แล้วส่งมาเปรียบเทียบกับแรงดันที่ได้จากการปรับค่า VR1 ที่ IC1/4 โดยแรงดันจาก VR1 จะผ่านวงจรบัฟเฟอร์ IC1/3 แล้วส่งไปยังอินพุตกลับเฟสของ IC1/4 ส่วนอินพุตไม่กลับเฟสได้รับสัญญาณรูปสามเหลี่ยมมาจาก IC1/2 สัญญาณ PWM จะเกิดจากการเปรียบเทียบแรงดันระหว่างสัญญาณรูปสามเหลี่ยมกับแรงดันที่กำหนดโดยค่า VR1 นั่นคือความกว้างของสัญญาณหรือ ดิวตี้ไซเกิลจะขึ้นการปรับแรงดันที VR1 ส่วนความถี่ของสัญญาณจะขึ้นกับค่าของตัวเก็บประจ C1 สัญญาณ PWM เอาต์พุตจะถูกส่งไปยังมอสเฟต Q1 เพื่อขับมอเตอร์ไฟตรงต่อไป ด้วยวงจร นี้สามารถปรับความเร็วของมอเตอร์ได้จากการปรับค่าความกว้างของสัญญาณพัลส์ที่ VR1


รูปที่ 11 วงจรควบคุมความเร็วของมอเตอร์ไฟตรงที่สามารถปรับค่าดิวตี้ไซเกิลได้เต็มย่าน 0 ถึง 100%

จากวงจรกำเนิดสัญญาณ PWM ในรูปที่ 9 และ 10 จะมีข้อจำกัดที่คล้ายกันข้อหนึ่งคือ ไม่สามารถปรับค่าติวตี้ไซเกิลได้เต็มย่าน 0 ถึง 100% แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า วงจรนั้นไม่ดี หากแต่การนำวงจรดังกล่าวไปใช้งานไม่มีความจำเป็นต้องปรับค่าติวดี้ไซเกิลให้ได้เต็มย่าน ยกตัวอย่าง วงจรในรูปที่ 10 เป็นวงจรที่ใช้ปรับความเร็วของมอเตอร์ในรถสกู๊ตเตอร์ ซึ่งในการใช้งานจริงค่าดิวตี้ไซเกิลต่ำมากๆ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ วงจรในรูปที่ 11 เป็นวงจรกำเนิดสัญญาณ PWM ที่สามารถปรับความกว้างของสัญญาณพัลส์หรือค่าดิวตี้ไซเกิลได้เต็มย่าน 0 ถึง 100% หัวใจหลักคือวงจรกำเนิดสัญญาณฟันเลื่อยหรือ Sawtooth generator ซึ่งใช้ไอซีเบอร์ LM555 สัญญาณรูปฟันเลื่อยจะถูกส่งไปเปรียบเทียบที่ออปแอมป์คล้ายกับวงจรในรูปที่ 10 ด้วยการใช้สัญญาณรูปฟันเลื่อยเป็นสัญญาณอ้างอิงทำให้ สามารถปรับค่าดิวตี้ไซเกิลได้ 0 ถึง 100% ความถี่ของสัญญาณได้รับการกำหนดจากการปรับค่า VR1 ร่วมกับค่าของตัวเก็บประจุ C2 ส่วนการปรับค่าดิวตี้ไซเกิลปรับได้ที่ VR2 สัญญาณ PWM เอาต์พุตสามารถนำไปต่อเข้ากับมอสเฟตเหมือนกับวงจรในรูปที่ 9 และ 10 หรือต่อเข้ากับขา EN ของไอซี L293 เพื่อใช้กับวงจรขับมอเตอร์แบบ H-Bridge


รูป​ที่ 12 วงจร​ควบคุม​ความเร็ว​ของ​มอเตอร์​ไฟ​ตรง​ที่​ใช้​ไมโคร​คอนโทรลเลอร์ ใน​การ​สร้าง​สัญญาณ PWM

นอกจากนั้นในวงจรควบคุมมอเตอร์ไฟตรงสมัยใหม่จะใช้ไมโครคอนโทลเลอร์ในการสร้างสัญญาณ PWM เพื่อควบคุมความเร็วของมอเตอร์ และใช้ขาพอร์ตอีก 1 ถึง 2 ขาในการควบคุมทิศทางการหมุนของมอเตอร์ ดังแสดงวงจรตัวอย่างในรูปที่ 12 ด้วยการใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ทำให้วงจรควบคุมความเร็วของมอเตอร์มีขนาดเล็กและลดความซับซ้อนลงอย่างมาก ทั้งยังสามารถกำหนดความกว้างและความถี่ของสัญญาณ PWM ได้ละเอียดมากขึ้น


 

Categories
บทความ ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์

เบรดบอร์ดแผงทดลองต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์

อุปกรณ์พื้นฐานที่นักทดลองวงจรอิเล็กทรอนิกส์รู้จักและใช้งานตั้งแต่วันที่ก้าวเข้าสู่วงการ นี่คือตัวช่วยสำคัญในการเรียนรู้ ทดลอง ทดสอบ และพัฒนาโครงงานต้นแบบ

ใน​การ​เรียนรู้​ และ​ทดลอง​วงจร​ หรือ​โครงงาน​อิเล็กทรอนิกส์​ การ​ต่อ​วงจร​เพื่อ​ทดสอบ​การ​ทำงาน​เป็น​สิ่ง​ที่​จำเป็น​อย่างยิ่ง มี​วิธีการ​มากมาย​ใน​การ​ต้อ​หรือ​สร้าง​วงจร​ทาง​ฮาร์ดแวร์​ขึ้น​มา ไม่ว่า​จะ​เป็นการ​ต่อ​วงจร​โดย​ใช้​ปากคีบ การ​ใช้​สายไฟ​มา​พัน​ที่​ขา​อุปกรณ์ การ​บัดกรี​ขา​อุปกรณ์​ต่างๆ เข้า​ด้วยกัน​แบบ​ตรงไป​ตรง​มา การ​ใช้​แผ่น​วงจร​พิมพ์​เอ​นก​ประสงค์ การ​ทำ​แผ่น​วงจร​พิมพ์​จริงๆ ขึ้น​มา หรือ​การ​ใช้​อุปกรณ์​
ที่​เรียกว่า ​เบรด​บอร์ด (breadboard) หรือ​เรียก​เป็น​ภาษาไทย​ว่า​แผง​ต่อ​วงจร

ทำไม​ต้อง​ใช้​เบรด​บอร์ด
การ​ต่อ​วงจร​แบบ​ชั่วคราว​หรือ​การ​ทดลอง​วงจร​ขั้นต้น รวมถึง​การ​ทำ​ต้นแบบ สิ่ง​ที่​นัก​ออกแบบ​หรือ​นัก​ทดลอง
​ต้องการ​คือ ความ​ยืดหยุ่น​ใน​การ​เปลี่ยน​อุปกรณ์ การ​ปลด​และ​ต่อ​สาย​สัญญาณ​ที่​สะดวก​รวดเร็ว ในขณะที่​ยังคง​เชื่อถือ​ได้​ใน​ความ​แน่นหนา​ของ​จุด​ต่อ​สัญญาณ​ต่างๆ จาก​ความ​ต้องการ​ดังกล่าว​นั่นเอง ทำให้​เบรด​บอร์ด​เป็น​ทางเลือก​ที่​ดี​ เนื่องจาก

1. รองรับ​การ​ต่อ​ร่วมกัน​ของ​ขา​อุปกรณ์ เนื่องจาก​บน​เบรด​บอร์ด​มี​จุด​ต่อ​จำนวน​มาก​และ​มี​การ​จัด​เรียง​ที่​เป็น​ระเบียบ ​ทำให้​ง่าย​ต่อ​การ​ต่อ​วงจร และ​ตรวจสอบ

2. การ​ถอด​เปลี่ยน​อุปกรณ์ทำได้​ง่าย ​อุปกรณ์มี​ความ​เสียหาย​จาก​การ​ถอด​เปลี่ยน​น้อยมาก

3. การ​เปลี่ยน​จุด​ต่อ​สัญญาณ​ทำได้​ง่ายมาก เพียง​ดึง​สาย​ออกจาก​จุด​ต่อ​ แล้ว​เปลี่ยน​ตำแหน่ง​ได้​ใน​ทันที

4. จุด​ต่อ​มี​ความ​แน่นหนา​เพียงพอ ไม่​หลุด​ง่าย ทำให้​ลด​ปัญหา​การ​เชื่อม​ต่อ​ของ​สัญญาณ​ได้

5. สามารถ​ขยาย​พื้นที่​ของ​การ​ต่อ​วงจร​ได้​ง่าย หาก​เป็น​อนุกรม​เดียวกัน​สามารถ​ประกอบ​ต่อกันทั้ง​ทาง​ด้านกว้าง​และ​ด้าน​ยาว

6. ใน​เบรด​บอร์ด​ที่​มี​ขนาด​มากกว่า 200 จุด​ต่อ จะ​มี​การ​พิมพ์​ตำแหน่ง​พิกัด​ของ​จุด​ต่อ​ต่างๆ ทำให้​สามารถ​กำหนด​ตำแหน่ง​การ​ต่อ​วงจร​ได้​อย่าง​สะดวก ตรวจสอบ​ง่าย


ใน​รูป​ที่ 1 แสดง​หน้าตา​ของ​เบรด​บอร์ด​ขนาด​ต่างๆ สั่งซื้อออนไลน์ได้จากลิงก์ด้านล่าง
สั่งซื้อเบรดบอร์ดขนาด 170 จุด
สั่งซื้อเบรดบอร์ดขนาด 390 จุด

โครงสร้างของเบรดบอร์ด
เบรด​บอร์ด (breadboard) หรือ แผง​ต่อ​วงจร เป็น​แผง​พลาสติก​ที่​มี​การ​จัด​แบ่ง​เป็นกลุ่ม โดย​ภายใน​แต่ละ​กลุ่ม​บรรจุ​แผง​โลหะ​ตัวนำ​ปลอด​สนิม แล้ว​ทำการ​เจาะ​รู​บน​แผง​พลาสติก​นั้น เพื่อให้​สามารถ​นำ​สายไฟ​ขนาดเล็ก​เสียบ​เข้าไป​สัมผัสกับ​แผง​โลหะ ในขณะ​เดียวกัน​แผง​โลหะ​ดังกล่าว​ก็​จะ​ทำการ​บีบ​สายไฟ​นั้น​ให้​แน่น​อยู่กับที่ เมื่อ​ผู้ใช้งาน​ต้องการ​ปลด​สายไฟ​ออก​ก็​เพียง​ออก​แรงดึง​เล็กน้อย หน้า​สัมผัส​ของ​แผง​โลหะ​ก็​จะ​คลาย​ออก ทำให้​สายไฟ​สามารถ​หลุด​ออกจาก​จุด​ต่อ​นั้น​ได้ ใน​รูป​ที่ 2 แสดง​ลักษณะ​ภายนอก​และ​โครงสร้าง​ภายใน​ของ​เบรด​บอร์ด


รูป​ที่ 2 ​แสดง​ลักษณะ​ภายนอก​และ​โครงสร้าง​ภายใน​ของเบรด​บอร์ด


รูปที่ 3 แสดงการเชื่อมต่อของเบรดบอร์ดขนาดต่างๆ

ใน​รูป​ที่ 3 แสดง​การ​เชี่​อม​ต่อ​ของ​จุด​ต่อ​อุปกรณ์​ของ​เบรด​บอร์ด 3 ขนาดที่​ได้รับ​ความ​นิยม​ใน​เมืองไทย จะ​เห็น​ได้​ว่า แผง​ต่อ​วงจร​แบ่งออก​เป็น 2 กลุ่ม​ใหญ่ๆ คือ กลุ่ม​ที่​มี​การ​ต่อ​ถึงกัน​ใน​แนวตั้ง ซึ่ง​มี​ด้วยกัน 5 จุด​ต่อ​ใน​หนึ่ง​กลุ่ม​ย่อย และ​กลุ่ม​ที่ต่อ​ถึงกัน​ใน​แนวนอน (จะ​มี​เฉพาะ​ใน​เบรด​บอร์ด​ที่​มี​จำนวน​จุด​ต่อ​มากกว่า 200 จุด) กลุ่ม​หลัง​นี้​จะ​ได้รับ​การ​จัด​วาง​ให้​อยู่​ใน​บริเวณ​ขอบ​บน​และ​ล่าง​ของ​แผง​ต่อ​วงจร มี​ด้วย กัน 2 แถว​ยาว​ต่อ​หนึ่ง​ด้าน รวม 4 แถว ใน​บาง​รุ่น​อาจจะ​มี​การ​แบ่ง​เป็น 2 ส่วน ดังนั้น​ใน​การ​ใช้งาน​หาก​ต้องการ​ให้​แถว​ยาว​แต่ละ​แถว​ต่อ​ถึงกัน​จาก​ซ็าย​ไป​ขวา​ต้อง​ใช้​สายไฟ​เชื่อม​ต่อ​ระหว่าง​จุด​แบ่ง​ของ​แต่ละ​แถว​ด้วย ซึ่ง​เพื่อ​ความ​แน่ใจ​อาจ​ใช้​มัลติ​มิเตอร์​ตรวจสอบ​การ​เชื่อม​ต่อ​ของ​แต่ละ​แถว​ก่อน​การ​ใช้งาน

ใน​เบรด​บอร์ด​ที่​มี​จำนวน​จุด​ต่อมา​กว่า 200 จุด จะ​มี​การ​พิมพ์​ตำแหน่ง​พิกัด​ใน​แนวตั้ง​และ​นอน​ด้วย โดย​ใน​แนวตั้ง 5 จุด​ต่อ​ทั้งสอง​ฝั่ง​มักจะ​กำหนด​พิกัด​เป็น​ตัวอักษร A ถึง E ใน​ฝั่ง​หนึ่ง และ F ถึง J ใน​อีก​ฝั่ง​หนึ่ง ​ส่วน​แนวนอน​เป็น​ตัวเลข

เกี่ยวกับ​สาย​ต่อ​วงจร
สายไฟ​หรือ​สาย​ต่อ​วงจร​ที่​เหมาะกับ​เบรด​บอร์ด​นั้น ควร​เป็นสาย​ทองแดง​เดี่ยว​ที่​ได้รับ​การ​ชุบ​ด้วย​นิเกิล​หรือ​เงิน มี​ความ​แข็งแรง​พอสมควร สามารถ​ดัด​หรือ​ตัด​ได้​ง่าย มี​ขนาด​เส้น​ผ่าน​ศูนย์กลาง 0.4 มิลลิเมตร หรือ​ใช้​สาย​เบอร์ 22AWG ดัง​แสดง​ใน​รูป​ที่ 4 ทั้งนี้​หาก​ใช้​สาย​ที่​มี​ขนาดใหญ่กว่า​นี้​จะ​ทำให้​แผง​โลหะ​ของ​แผง​ต่อ​วงจร​หลวม ไม่​สามารถ​บีบ​จับ​สายไฟ​ได้​อีก


รูปที่ 4 ตัวอย่างของสายต่อวงจร

ใน​ปัจจุบัน​มี​ผู้ผลิต​สาย​สำหรับ​เสียบ​ต่อ​วง​จรบน​เบรด​บอร์ด​โดยเฉพาะ โดย​ทำจาก​สายไฟ​อ่อน​บัดกรี​เข้ากับ​ขา​ตัวนำ​ที่​มี​ความ​แข็ง (คล้ายๆ กับ​ขา​คอ​นเน็กเตอร์) แล้ว​หุ้ม​จุด​เชื่อม​ต่อ​ด้วย​ท่อ​หด​เพื่อ​เพิ่ม​ความ​แข็งแรง​และ​ป้องกัน​การ​หัก​งอ

ไม่​แนะนำ​ให้​ใช้​สายโทรศัพท์​ที่​เป็น​ทองแดง​ล้วนๆ เนื่องจาก​สาย​เหล่านั้น​มี​การ​อาบ​น้ำยา​กันสนิม หาก​นำมาใช้​ต่อ​วงจร​ทันที อาจ​ทำให้​วงจร​ไม่ทำงาน เพราะ​น้ำยา​ที่​เคลือบ​ลวด​ทองแดง​อยู่​มี​คุณสมบัติ​เป็น​ฉนวน​ทำให้​กระแสไฟฟ้า​ไม่​สามารถ​ไหลผ่าน​ไป​ได้ หาก​ต้อง​นำมาใช้​จริงๆ ควร​ใช้​มีด​ขูด​น้ำยา​ที่​เคลือบ​อยู่​ออก​เสีย​ก่อน แต่​นั่น​เท่ากับว่า ได้​ทำลาย​ฉนวน​ป้อง​กันสนิม​ของ​ลวด​ทองแดง​ไป​แล้ว หาก​ใช้​ไป​สัก​ระยะ​หนึ่ง​ก็​จะ​เกิด​สนิม​ที่​สาย​ต่อ​วงจร​นั้น ​เมื่อ​นำมา​ใช้งาน​ก็​อาจ​ทำให้​วงจร​ที่ทำการ​ต่อ​นั้น​ไม่ทำงาน​ได้

การต่อวงจรและการวางอุปกรณ์บนแผงต่อวงจร
ใน​รูป​ที่ 5 เป็นการ​ตัวอย่าง​การ​เตรียม​สาย​ต่อ​วงจร​และ​ดัด​ขา​อุปกรณ์​เพื่อ​เตรียม​ติดตั้ง​ลง​บน​เบรด​บอร์ด การ​ต่อ​วงจร​ที่​ดี​ควร​จัดให้​เป็น​ระเบียบ ตรวจ​สอบได้​ง่าย ใช้​สาย​ต่อ​วงจร​ใน​ปริมาณ​ที่​เหมาะสม ควร​ต่อ​วงจร​ใน​ลักษณะ​ไล่​จาก​ซ้าย​ไป​ขวา และ​จาก​บน​ลง​ล่าง โดย​กำหนด​ให้​อินพุต​ของ​วงจร​อยู่ทาง​ซ้าย​หรือ​ทาง​ตอน​ล่าง ส่วน​เอาต์พุต​อยู่​ทาง​ขวา​หรือ​ตอน​บน ทั้งนี้​เพื่อให้​ง่าย​ต่อ​การ​ตรวจสอบ​ใน​กรณี​ที่ต่อ​วงจร​แล้ว​วงจร​ไม่ทำงาน และ​ช่วย​ใน​การ​แก้ไข​ใน​กรณีที่​ต้อง​ดัดแปลง​วงจร​บางส่วน ทำให้​ไม่​ต้อง​รื้อ​วงจร​แล้ว​ต่อ​ใหม่​ทั้งหมด


รูปที่ 5 ตัวอย่างการเตรียมสายต่อวงจรและดัดขาอุปกรณ์เพื่อเสียบลงบนเบรดบอร์ด

ใน​รูป​ที่ 6 เป็น​ตัวอย่าง​การ​ต่อ​วง​จรบน​เบรด​บอร์ด​จาก​วงจร​ที่​ต้องการ​ทดลอง


รูปที่ 6 ขั้นตอนการต่ออุปกรณ์บนเบรดบอร์ดเพื่อสร้างวงจรตามที่กำหนด


 

Categories
บทความ บทความพิเศษ

inventor พาชมภาพบรรยากาศงาน World Skills Asean 2018 Bangkok

World Skills Asean Bangkok2018 งานแข่งขันฝีมือแรงงานระดับอาเซียนในสาขาวิชาต่างๆ ภายใต้การกำกับดูแลของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน โดยมีการจัดขึ้นทุกปีเพื่อคัดตัวแทนประจำสาขาวิชาต่างๆ เพื่อไปแข่งขันในงานระดับอาเชี่ยน และระดับนานาชาติต่อไป โดยปีนี้ก็เวียนมาถึงประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม 2561 ถึงวันที่ 2 กันยายน 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 – 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี แน่นอนเรามีภาพบรรยากาศการแข่งขันของแต่ละสาขามาฝากกันครับ

เกี่ยวกับงาน World Skills Asean Bangkok2018
World Skills Asean คือการแข่งขันฝีมือแรงงานระดับอาเซียนเป็นข้อตกลงของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน โดยกำหนดให้ประเทศสมาชิกหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน ทุกๆ 2 ปี และบรรจุไว้เป็นกิจกรรมหนึ่งของแผ่นงานด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ภายใต้พิมพ์เขียวประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community Bluepoint) มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหส่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม องค์กรนายจ้าง และลูกจ้าง เพื่อกพัฒนากำลังแรงงานที่มีคุณภาพและที่สำคัญคือการมุ่งสร้างอาเซียนให้เป็นภูมิภาคแห่งความร่วมมือ โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพของเยาวขนให้เป็นภูมิภาคที่มีความพร้อมด้านกำลังคน แรงงานที่มีศักยภาพสูง รองรับการลงทุนและการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับงาน World Skills Asean Bangkok2018 มีผู้ร่วมแข่งขันเป็นเยาวชนในกลุ่มประเทศอาเซียนจำนวน 335 คน จาก 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน ใน 6 กลุ่มสาขาอาชีพ ได้แก่

(1) กลุ่มสาขาอาชีพเทคโนโลยีอุตสาหกรรมการผลิต

Mobile Robots

CNC Maintenance

Mechanical Engineering CAD

1.1 เมคคาทรอนิกส์ (ทีม)

1.2 เขียนแบบวิศวกรรมเครื่องกลด้วยคอมพิวเตอร์

1.3 เทคโนโลยีการเชื่อม

1.4 ระบบอัตโนมัติอุตสาหกรรม (ทีม)

1.5 หุ่นยนต์เคลื่อนที่ (Mobile Robotics) (ทีม)

1.6 อิเล็กทรอนิกส์

1.7 ซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล CNC

(2) กลุ่มสาขาอาชีพเทคโนโลยีการสื่อสาร

2.1 เว็บดีไซน์

2.2 เทคโนโลยีสารสนเทศ

2.3 เทคโนโลยีสายเครือข่าย

2.4 การจัดการระบบเครือข่ายสารสนเทศ

(3) กลุ่มสาขาอาชีพแฟชั่นและครีเอทีฟ

3.1 กราฟิกดีไซน์

3.2 แฟชั่นเทคโนโลยี

(4) กลุ่มสาขาอาชีพขนส่งและโลจิสติกส์

4.1 เทคโนโลยียานยนต์

4.2 สีรถยนต์

(5) กลุ่มสาขาอาชีพเทคโนโลยีก่อสร้างและอาคาร

5.1 เทคโนโลยีระบบไฟฟ้าภายในอาคาร

5.2 เทคโนโลยีระบบทำความเย็น

5.3 ปูกระเบื้อง

5.4 ก่ออิฐ

5.5 ไม้เครื่องเรือน

5.6 ต่อประกอบมุมไม้

5.7 อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things) (ทีม)
IoT นี่ สร้างความประหลาดใจให้กับเราเป็นอย่างยิ่งที่แทนที่สาขานี้จะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ทางผู้จัดคงคิดมาอย่างดีแล้วล่ะครับ แต่ก็ยังแอบ งงๆ อยู่ดี อาจเป็นเพราะ IoT ในที่นี้จะจำกัดความเฉพาะที่อยู่อาศัยก็เป็นได้

(6) กลุ่มสาขาบริการส่วนบุคคลและสังคม

6.1 เสริมความงาม

6.2 แต่งผม

6.3 บริการอาหารและเครื่องดื่ม

6.4 ประกอบอาหาร

แบ่งเป็น 24 สาขาทางการ และ 2 สาขาสาธิต รวมเป็น 26 สาขา โดยเยาวชนที่ชนะการแข่งขันในครั้งนี้ จะได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศเข้าร่วมการแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ครั้งที่ 45 ที่เมืองคาซาน สหพันธรัฐรัสเซีย (WorldSkills Kazan 2019) ระหว่างวันที่ 22 ถึง 27 สิงหาคม 2562 และเงินรางวัลเหรียญทอง 150,000 บาท เหรียญเงิน 75,000 บาท เหรียญทองแดง 40,000 บาท เหรียญฝีมือยอดเยี่ยม 20,000 บาท และรางวัลปลอบใจ 10,000 บาท ส่วนการแข่งขัน World Skills Asean ในครั้งต่อไปจะจัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์

สรุปว่า งานนี้จัดได้ยิ่งใหญ่สมฐานะ และดูดีมากๆ ส่วนบริเวณพื้นที่การแข่งขันก็จัดไว้ได้ลงตัว เป็นสัดส่วน มีการป้องกันบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวในพื้นที่แข่งขัน แต่ก็ยังสามารถดูการแข่งขันได้จากทุกด้านของพื้นที่การแข่งขัน โดยนอกจากการแข่งขันแล้วในงานยังมีบูธต่างๆ และกิจกรรม Try a Skill หรือการจัดอบรมทักษะพื้นฐานในสาขาต่างๆ เช่นสาขาอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการจัด Try a Skill ทักษะไมโครคอนโทรลเลอร์และอิเล็กทรอนิกส์พื้นฐาน โดยทีมงานจาก บริษัท อินโนเวตีฟ เอ็กเพริเมนต์ จำกัด หรือ INEX

ส่วนผลการแข่งขันจะมาอัปเดตกันให้ทราบอีกครั้งคราวหน้าครับ


 

Categories
บทความ ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์

ความรู้เบื้องต้นของสัญญาณพัลส์

โดย : ชัยวัฒน์ ลิ้มพรจิตรวิไล

ทบทวนความรู้พื้นฐานสำหรับเมกเกอร์ นักเล่น นักทดลอง รู้จักกับองค์ประกอบของสัญญาณไฟฟ้าที่หลายคนอาจไม่เคยรู้หรือลืมไปแล้ว

ความรู้พื้นฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ยังคงมีความสำคัญ เหล่าเมกเกอร์ นักเล่น นักทดลองวงจรและโครงงานด้านอิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ควรให้ความใส่ใจ และทำความเข้าใจตามสมควร ทั้งนี้เนื่องจากเวลาเกิดปัญหาในการทดลองหรือทำโครงงาน การใช้เครื่องมือเพื่อวัดสัญญาณเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับสัญญาณไฟฟ้าจึงเป็นสิ่งที่ควรรู้ จึงนำมาเสนอเพื่อเติมข้อมูลให้แก่เหล่าเมกเกอร์ร่วมสมัยและเป็นการปัดฝุ่นทบทวนความรู้สำหรับเมกเกอร์รุ่นใหญ่ไปพร้อมกัน

สัญญาณพัลส์คืออะไร ?
สัญญาณพัลส์ (pulse) ใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ที่ระดับของสัญญาณไฟฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงจากระดับหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่งที่มีความแตกต่างกันมากๆ อย่างรวดเร็ว อาจมีความต่อเนื่องหรือไม่ก็ได้ ส่วนประกอบของสัญญาณพัลส์ที่สำคัญได้แก่ ระดับสัญญาณหรือแอมปลิจูด (amplitude) , ขอบขาของสัญญาณ ซึ่งมีด้วยกัน 2 ลักษณะคือ ขอบขาขึ้น (rising edge) และขอบขาลง (falling edge), ความกว้างของสัญญาณ (pulse width) และเส้นฐาน (basedline) ดังแสดงรายละเอียดของส่วน ประกอบที่สำคัญของพัลส์ในรูปที่ 1

รูปที่ 1 แสดงส่วนประกอบของสัญญาณพัลส์

ลักษณะของสัญญาณพัลส์จะมีทั้งพัลส์บวก (รูปที่ 1.1) และพัลส์ลบ (รูปที่ 1.2) ขอบขาขึ้นของสัญญาณ หมายถึง ขอบขาของสัญญาณที่เปลี่ยนระดับจากต่ำไปยังระดับสูง ส่วน ขอบขาลงของสัญญาณ หมายถึงขอบขาของสัญญาณที่เปลี่ยนระดับจากสูงลงมายังระดับต่ำ ส่วนแอมปลิจูดจะคำนวณหรือวัดจากระดับสัญญาณต่ำมายังระดับสัญญาณสูง หรือจากยอดของสัญญาณมายังเส้นฐานของสัญญาณพัลส์

พารามิเตอร์ที่สำคัญของสัญญาณพัลส์
สัญญาณพัลส์ในอุดมคติเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่คมชัด แต่ในความเป็นจริง สัญญาณพัลส์ที่เกิดขึ้น อาจไม่เหมือนกับสัญญาณพัลส์ในอุดมคติ ทั้งนี้เนื่องจากการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในบางประเภทมีความเร็วในการทำงานหรือตอบสนองต่อสัญญาณพัลส์ได้ไม่เร็วเพียงพอ ทำให้เกิดช่วงเวลาก่อนที่ระดับสัญญาณจะเปลี่ยนแปลงสู่ระดับที่มีเสถียรภาพ ในรูปที่ 2 แสดงสัญญาณพัลส์ที่เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ และพารามิเตอร์ที่สำคัญของสัญญาณพัลส์

รูปที่ 2 แสดงพารามิเตอร์ที่สำคัญของสัญญาณพัลส์

พารามิเตอร์ที่สำคัญของสัญญาณพัลส์ ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกถึงคุณภาพของสัญญาณ ประกอบด้วย

1. ช่วงเวลาไต่ขึ้น (rise time : tr) เป็นค่าของเวลาที่สัญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลงจากระดับ 10% ของสัญญาณสูงสุดไปยังระดับ 90% ของสัญญาณสูงสุด หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นช่วงเวลาของการเกิดขอบขาขึ้นของสัญญาณ ดังแสดงในรูปที่ 2.1

2. ช่วงวลาไต่ลง (fall time : tf) เป็นค่าของเวลาที่สัญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลงจากระดับ 90% ของสัญญาณสูงสุดลงมายังระดับ 10% ของสัญญาณสูงสุด หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นช่วงเวลาของการเกิดขอบขาลงของสัญญาณ ดังในรูปที่ 2.1

3. ความกว้างของพัลส์ (pulse width : tw) เป็นค่าของเวลาระหว่างจุดระดับ 50% ที่ขอบขาขึ้นของสัญญาณกับจุดระดับ 50% ที่ขอบขาลงของสัญญาณ ดังในรูปที่ 2.2

สัญญาณพัลส์ต่อเนื่อง (Repetitive pulse)
สัญญาณพัลส์ปกติอาจมีเพียงลูกเดียวเรียกว่า พัลส์เดี่ยว (single pulse) แต่ถ้าหากพัลส์ที่เกิดขึ้นมีความต่อเนื่องและเกิดคาบเวลาคงที่ (periodic) จะเรียกพัลส์ที่เกิดขึ้นว่า พัลส์ต่อเนื่อง ซึ่งจะมีลักษณะเหมือนกับสัญญาณรูปสี่เหลี่ยม (rectanular waveform) แต่จะแตกต่างกันตรงที่สัญญาณสี่เหลี่ยมจะมีดิวตี้ไซเกิล 50% นั่นคือสัญญาณในซีกบวกจะมีความกว้างเท่ากับสัญญาณในซีกลบ แต่ถ้าเป็นสัญญาณพัลส์ต่อเนื่องจะมีดิวตี้ไซเกิลที่อิสระ ดังแสดงในรูปที่ 3

รูปที่ 3 แสดงลักษณะของพัลส์ต่อเนื่อง

ดิวตี้ไซเกิลของสัญญาณพัลส์ต่อเนื่องสามารถคำนวณได้จาก

โดยที่ tw คือ ความกว้างของพัลส์ และ T คือ คาบเวลาของสัญญาณพัลส์ 1 ลูก
นั่นหมายความว่า ความถี่จะไม่มีผลต่อการปรับหรือเปลี่ยนแปลงดิวตี้ไซเกิลแต่อย่างใด ในรูปที่ 4 แสดงสัญญาณพัลส์ที่มีดิวตี้ไซเกิลแตกต่างกัน ในขณะที่ความถี่ของสัญญาณไม่เปลี่ยนแปลง

รูปที่ 4 แสดงลักษณะของสัญญาณพัลส์ที่มีค่าดิวตี้ไซเกิลแตกต่างกันแต่มีความถี่เท่ากัน

ค่าแรงดันเฉลี่ยของสัญญาณพัลส์
ค่าแรงดันเฉลี่ย (Vavg) ของสัญญาณพัลส์มีค่าเท่ากับผลรวมของระดับสัญญาณที่เส้นฐานกับผลคูณระหว่างค่าดิวตี้ไซเกิลกับแอมปลิจูด

ตัวอย่างการคำนวณหาค่าแรงดันเฉลี่ยของสัญญาณพัลส์
จงคำนวณหาค่า Vavg ของสัญญาณพัลส์ทั้งสามแบบในรูปที่ 5

(ก) ระดับแรงดันเส้นฐานของสัญญาณพัลส์จากรูปที่ 5.1 เท่ากับ 0V แอมปลิจูด 2V ดิวตี้ไซเกิลมีค่าเท่ากับ 1/10 x 100% = 10% ดังนั้นแรงดันเฉลี่ยมีค่าเท่ากับ

Vavg = ระดับแรงดันเส้นฐานของสัญญาณ พัลส์ + (ดิวตี้ไซเกิล x แอมปลิจูด)

= 0 + (10% x 2) = 0.2V

(ข) ระดับแรงดันเส้นฐานของสัญญาณพัลส์จากรูปที่ 5.2 เท่ากับ +1V แอมปลิจูด 5V ดิวตี้ไซเกิลมีค่าเท่ากับ 1/2 x 100% = 50% แรงดันเฉลี่ยมีค่าเท่ากับ

Vavg = ระดับแรงดันเส้นฐานของสัญญาณ พัลส์ + (ดิวตี้ไซเกิล x แอมปลิจูด)

= 1 + (50% x 5) = 1 + 2.5 = 3.5V

(ค) ระดับแรงดันเส้นฐานของสัญญาณพัลส์จากรูปที่ 5.3 เท่ากับ -1V แอมปลิจูด 2V ดิวตี้ไซเกิลมีค่าเท่ากับ 10/20 x 100% = 50% แรงดันเฉลี่ยมีค่าเท่ากับ

Vavg = ระดับแรงดันเส้นฐานของสัญญาณพัลส์+(ดิวตี้ไซเกิล x แอมปลิจูด)

= -1 + (50% x 2)

ในสัญญาณพัลส์รูปที่ 5.3 เป็นสัญญาณพัลส์ไฟสลับ ดังนั้นแรงดันเฉลี่ยของสัญญาณเต็มรูปคลื่นจึงเป็นศูนย์

รูปที่ 5 ตัวอย่างของสัญญาณพัลส์รูปแบบต่างๆ ที่นำมาคำนวณหาค่าแรงดันเฉลี่ย

สัญญาณสามเหลี่ยม (Triangular waveform)
เป็นสัญญาณไฟฟ้าอีกแบบหนึ่งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับสัญญาณในลักษณะลาดเอียงหรือเรียกว่า แรมป์ (ramp) หากสัญญาณลาดเอียงขึ้นจากระดับต่ำไปสูงเรียกว่า แรมป์บวก (positive ramp) ถ้าหากสัญญาณลาดเอียงจากระดับสูงลงมาต่ำ เรียกว่า แรมป์ลบ (negative ramp) อัตราการเปลี่ยนแปลงในลักษณะลาดเอียงสามารถ คำนวณได้จาก ระดับสัญญาณหารด้วยเวลารวมของการเปลี่ยนแปลงระดับสัญญาณ จึงมีหน่วยเป็น โวลต์หรือแอมแปร์ต่อวินาที (V/s; A/s) แล้วแต่ว่าสัญญาณที่นำมาพิจารณาเป็นสัญญาณของแรงดันหรือกระแสไฟฟ้า ดังแสดงในรูปที่ 6

รูปที่ 6 แสดงลักษณะของสัญญาณแรมป์ที่มีความลาดเอียง

สัญญาณสามเหลี่ยมเกิดจากแรมป์บวกและแรมป์ลบที่มีอัตราการลาดเอียงเท่ากัน คาบเวลาของสัญญาณสามารถวัดได้จากยอดของสัญญาณในซีกบวกหรือลบไซเกิลหนึ่งไปยังยอดของสัญญาณในไซเกิลถัดไปดังแสดงในรูปที่ 7

รูปที่ 7 ลักษณะของสัญญาณสามเหลี่ยม

สัญญาณรูปฟันเลื่อย (Sawtooth waveform)
เป็นสัญญาณสามเหลี่ยมรูปแบบพิเศษที่ประกอบด้วยแรมป์ 2 ส่วน โดยแรมป์หนึ่งจะมีอัตราการลาดเอียงมากกว่าอีกแรมป์หนึ่ง ดังแสดงในรูปที่ 8

รูปที่ 8 ลักษณะของสัญญาณรูปฟันเลื่อย

ส่วนการวัดหรือคำนวณคาบเวลาของสัญญาณเหมือนกับสัญญาณสามเหลี่ยมทุกประการ

ความรู้พื้นฐานเป็นปัจจัยสำคัญต่อพัฒนาการที่ท้าทายในอนาคตในวันที่มองไปข้างหน้า อย่าลืมทบทวนความรู้เพื่อการตอบให้ได้ทุกคำถามที่ต้องเผชิญ

ขอบคุณข้อมูลจาก บริษัท อินโนเวตีฟ เอ็กเพอริเมนต์ จำกัด


 

Categories
บทความ รีวิว เทคโนโลยี ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์

แบตเตอรี่พันธุ์ใหม่ LiFePO4

LiFePO4 แบตเตอรี่พันธุ์ใหม่ ให้แรงดันไฟฟ้าสูงในขนาดมาตรฐานเดิมสร้างจากเทคโนโลยีล่าสุด ด้วยขนาด AA/AAA มาตรฐาน แต่จ่ายไฟได้สูงกว่าแบตเตอรี่แบบเดิมๆ ที่มีในท้องตลาด

งานของนักประดิษฐ์และเมกเกอร์มักหลีกไม่พ้นที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เป็นตัวขับเคลื่อนสิ่งประดิษฐ์ โดยเฉพาะแบตเตอรี่ที่ประจุใหม่ได้ ในอดีตจนถึงปัจจุบันหลายครั้งที่ต้องเผชิญกับปัญหาของพลังงานไฟฟ้าที่ต้องการใช้กับขนาดของสิ่งประดิษฐ์ที่ไม่สมดุลย์กัน เช่น หากต้องการไฟเลี้ยง 6V ก็ต้องใช้แบตเตอรี่ AA จำนวน 4 ก้อนมาต่อกันแบบอนุกรม ส่งผลให้ชิ้นงานมีขนาดใหญ่ตามไปด้วย

แต่ปัญหานี้จะถูกแก้ไขด้วยแบตเตอรี่สายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อ LiFePO4 หรือลิเธียมไอออนฟอสเฟต (Lithium Iron Phosphate) เนื่องจากมันสามารถเก็บพลังงานไฟฟ้าได้มากเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับเซลแบตเตอรี่แบบเก่า นั่นคือ ที่ขนาด 1 เซลตามปกติ จะให้แรงดัน 3.2V เมื่อประจุเต็ม ดังนั้นหากต้องการใช้แรงดันไฟฟ้า 6V จึงใช้แบตเตอรี่ LiFePO4 นี้เพียง 2 ก้อน ทำให้ขนาดของแหล่งจ่ายไฟสำหรับชิ้นงานของเมกเกอร์และเหล่านักประดิษฐ์ทั้งหลายลดลงทันทีครึ่งหนึ่ง

รู้จักกับลิเธี่ยมไอออนฟอสเฟต (LiFePO4)

คิดค้นโดย John Goodenough’s มหาวิทยาลัย Texas เมื่อปี 1996 และได้พัฒนาเป็นสินค้าออกสู่การตลาดในปี 2004
ลิเธี่ยมไอออนฟอสเฟตมีโครงสร้างทางเคมี เหมือนกับแบตเตอรี่ลิเธียมทั่วไป แต่เปลี่ยนวัสดุที่ใช้จาก Cobalt Dioxide (LiCoO2) มาเป็นโลหะที่อึดและทนต่อความร้อนที่เกิดจากปฎิกริยาเคมี ซึ่ง LiFePO4 สามารถให้พลังงานที่สูงกว่า ไม่เป็นพิษ มีอายุการใช้งานที่มากกว่าแบตเตอรี่รุ่นเก่า
ลิเธียมไอออนฟอสเฟตสามารถประจุไฟได้ในแบบแรงดันคงที่ หมายความว่าผู้ใช้งานสามารถประจุไฟใหม่ด้วยอะแดปเตอร์ไฟตรง เหมือนกับแบตเตอรี่ประเภทตะกั่วกรด และใช้ระยะเวลาในการประจุไฟใหม่น้อยกว่าแบตเตอรี่แบบเก่า

แตกต่างที่ให้แรงดันสูงกว่าเดิมสองเท่า

แบตเตอรี่ LiFePO4 มีการผลิตออกมาทั้งขนาด AA และ AAA ให้แรงดันต่อก้อนเมื่อประจุเต็ม ไม่เกิน 3.2V ด้านความสามารถในการจ่ายกระแสไฟฟ้ามีตั้งแต่ 800mAH จนถึง 1500mAH และเชื่อว่า จะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต

การประจุแบตเตอรี่แบบนี้ใช้เครื่องประจุยี่ห้อ G.T.Power รุ่น C607D (สั่งซื้อได้จาก www.inex.co.th) ได้ โดยเลือกชนิดของแบตเตอรี่ให้ถูกต้อง

ภาพด้านบนคือเครื่องประจุแบตเตอรี่ G.T.Power รุ่น C607D ที่ใช้ประจุแบตเตอรี่ LiFePO4 ได้

การใช้งานกับกะบะถ่านแบบเดิม

เนื่องจากเป็นแบตเตอรี่แบบใหม่ หากนำมาใช้ทันทีกับกะบะถ่าน 4 ก้อนที่เดิมทีต้องบรรจุแบตเตอรี่แบบเดิม 4 ก้อน เมื่อเปลี่ยนมาใช้แบตเตอรี่ LiFePO4 อาจทำให้เกิดปัญหาต้องทำการดัดแปลงกะบะถ่านหรือเปลี่ยนกะบะถ่าน

ทว่า ปัญหานี้ทางผู้ผลิตแบตเตอรี่ LiFePO4 ได้คิดมาครบแล้ว จึงมีการแจกแบตเตอรี่หลอกหรือดัมมี่ (dummy) มาให้ด้วยในกรณีที่จัดซื้อแบตเตอรี่ LiFePO4 จำนวน 2 ก้อน ก็จะให้ดัมมี่มา 2 ก้อนที่มีขนาดเท่ากับแบตเตอรี่ AA โดยตัวดัมมี่นี้แท้ที่จริงแล้ว มันทำหน้าที่เป็นสะพานไฟสำหรับต่ออนุกรมในกะบะถ่าน จึงทำให้ยังคงใช้งานกะบะถ่าน 4 ก้อนแบบเดิมได้ ด้วยการใส่แบตเตอรี่ LiFePO4 จำนวน 2 ก้อนและแบตเตอรี่ดัมมี่ 2 ตัว

ภาพด้านบนแสดงการใช้กะบะถ่านแบบเดิม โดยใส่แท่งดัมมี่แบตเตอรี่เข้าไปเป็นสะพานไฟ เพื่อให้ได้แรงดัน 6V แต่หากต้องการแรงดัน 12V ก็เพิ่มแบตเตอรี่เป็น 4 ก้อนเท่านั้น

ด้านบนคือรูปแบตเตอรี่ LiFePO4 ขนาดต่างๆ ที่มีขายในปัจจุบัน
1. แบบเซลเดี่ยว
2. แบบแพ็กหลายเซล 3.2V ทำให้ได้กระแสไฟฟ้าสูงขึ้น
3. แบบแพ็ก 6V
4. แบบแพ็ก 12V
5. อะแดปเตอร์ไฟตรง 3.6V สำหรับประจุไฟใหม่

มีขายที่ไหน

ปัจจุบันเริ่มมีผู้ผลิตแบตเตอรี่ LiFePO4 นี้หลายราย ทยอยวางจำหน่ายในขนาดต่างๆ กันบ้างแล้ว ใครสนใจก็ลองค้นหาดูใน www.aliexpress.com มีให้เลือกหลากหลาย

สิ่งที่จะต้องระลึกถึงเสมอคือ แบตเตอรี่ LiFePO4 ให้แรงดัน 3.2V หากเลือกขนาด AA หรือ AAA ไปใช้กับสิ่งประดิษฐ์เดิมที่มีการใช้กะบะถ่านแบบ 4 ก้อน ต้องหาดัมมี่มาใส่ให้แทนตำแหน่งที่เหลือหรือต้องทำการเปลี่ยนขนาดของกะบะถ่านเป็นแบบ 2 ก้อน ในกรณีที่ต้องการใช้แรงดันไฟตรง 6V

Categories
บทความ สิ่งที่นักประดิษฐ์ควรรู้

แนวคิดการรวบรวมไอเดียตอนที่2

ความเดิมตอนที่แล้วที่ได้ลองผลิตไอเดียกันไป ตอนนี้มาแนะนำการเก็บเกี่ยวไอเดียที่ถูกผลิตขึ้นมา ซึ่งบางครั้งผลิตขึ้นมาโดยไม่จำเป็นหรือโดยบังเอิญไม่ให้สูญเปล่ากันนะครับ

โดยไอเดียการจดบันทึกนี้ ผมได้มาจากหนังสือไอเดียมาราธอน ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนโดยชาวญี่ปุ่นชื่อว่า : ทาเคโอะ ฮิกูชิ และได้รับการแปลโดยคุณเกรียงศักดิ์ กำลังสินเสริม ซึ่งนับว่าเป็นหนังสือที่มีประโยชน์มากๆ อีกเล่มหนึ่ง และเหมาะสำหรับนักสร้างสรรค์หรือ Creative ทุกวงการที่ควรจะมีไว้ศึกษา เนื้อหาในเล่มมีการอธิบายหลักทางวิชาการเกี่ยวกับการจดจำและหลักการทำงานของสมองเอาไว้เป็นอย่างดี

แต่ในที่นี้ ผมขอแนะนำถึงเฉพาะส่วนที่ผมนำมาใช้ประโยชน์จนทุกวันนี้ เอาที่เกี่ยวเนื่องกับเทคนิคการจดบันทึกเจ้าไอเดียของเราที่พรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสายก็แล้วกัน

จากรูปเป็นตัวอย่างสมุดบันทึกประจำกายของผมเอง และผมก็รู้สึกสนุกทุกครั้งเมื่อผมได้จดไอเดียใหม่ๆ ไม่ว่าไอเดียนั้นจะเป็นเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์หรือแนวคิดการจัดการเรื่องงานและเรื่องชีวิตประจำวันก็ตาม เพราะมันรู้สึกว่าได้แข่งกับตัวเอง ว่าในแต่ละวันเราจะต้องคิดไอเดียใหม่ๆ แล้วบันทึกเอาไว้

เตรียมตัวจดบันทึก

ก่อนอื่นก็ต้องเตรียมอุปกรณ์กันก่อนครับ อุปกรณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งและต้องพิถีพิถัน พอสมควรเลยก็คือสมุดบันทึกที่มีขนาดไม่ใหญ่เทอะทะจะได้พกติดตัวไปได้ทุกที่ และหากเป็นไปได้เนื้อกระดาษควรจะเป็นกระดาษเปล่าที่ไม่มีเส้นบรรทัด เผื่อเวลาวาดรูปจะได้ไม่มีเส้นมารบกวนสายตาหรืออาจหาสมุดที่เป็นกระดาษกราฟเลยก็ยิ่งดีเพราะจะทำให้เราวาดสัดส่วนต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

หลักในการจดบันทึกก็มีง่ายๆ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ครับ


(ลำดับ) (วัน/เดือน/ปี) (ลำดับที่ของไอเดียในวันนี้) (Thinking Number) (เกี่ยวกับ)


งงมั้ยครับจะเห็นว่ามีทั้งหมด 5 วงเล็บ นั่นคือสิ่งที่เราต้องระบุลงไปได้แก่

(ลำดับ) หมายถึงให้คุณใส่ลำดับไล่ลงมาเรื่อยๆ

(วัน/เดือน/ปี) ก็ใส่วันที่คุณบันทึกไอเดีย

(ลำดับที่ของไอเดียวันนี้) หมายถึงให้คุณใส่ลำดับของไอเดียเฉพาะในวันที่คุณบันทึกหากเปลี่ยนวันที่แล้ว ลำดับนี้จะต้องถูกไล่ลำดับใหม่ เพื่อให้เรารู้ว่าวันนี้เราผลิตไปแล้วกี่ไอเดีย

(Thinking Number) หมายถึงลำดับของไอเดียรวมทั้งหมดตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน โดยจดบันทึกไล่มาเรื่อยๆ

(เกี่ยวกับ) หมายถึงให้คุณบันทึกเอาไว้ด้วยว่าไอเดียนี้เกี่ยวข้องหรือนำไปใช้ประโยชน์เกี่ยวกับอะไร เช่น ของแต่งบ้าน, การบริหาร, ของเล่น เป็นต้น พูดง่ายๆ ก็คือการกำหนดหมวดหมู่ให้ไอเดียนั่นเองครับ

ก็มีเท่านี้ล่ะครับ แล้วรับรองว่าหากคุณทำตามนี้ ชีวิตคุณจะเปลี่ยนแน่นอน โดยอันที่จริงผมมีการดัดแปลงเทคนิคการจดบันทึกจากหนังสือเล็กน้อย แต่ก็ยังใช้หลักการเรียงลำดับคล้ายๆ เดิมอยู่

 

ท้ายนี้ขอให้ทดลองทำดูนะครับ สักเดือนก็จะเห็นผล แล้วคุณจะรู้ว่าคุณหยุดคิดไม่ได้อีกแล้ว


 

Categories
บทความ สิ่งที่นักประดิษฐ์ควรรู้

ก้าวแรกของนักประดิษฐ์

ก้าวสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ และการพัฒนาที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง กับเรื่องใกล้ๆ ตัวที่ดูเหมือนว่าเราจะมองข้ามไป เป็นคำถามที่อยากให้คุณตอบ “วันนี้เราจะเป็นนักประดิษฐ์กันดีไหม”

ความเข้าใจที่ถูกต้องของคำว่านักประดิษฐ์และนักนวัตกรรม
หลายท่านเข้าใจว่า “นวัตกรรม” และ “สิ่งประดิษฐ์” เป็นเรื่องเดียวกัน จริงๆ แล้ว คำสองคำนี้เป็นญาติกัน เรียกได้ว่า “สิ่งประดิษฐ์” เป็นญาติผู้พี่เพราะเกิดก่อน ส่วน “นวัตกรรม” นั้น อาศัยการประดิษฐ์ให้เกิดตัวของมันขึ้นมาจึงนับเป็นญาติผู้น้องครับ

แล้วเจ้านวัตกรรมนี่มีความหมายอย่างไร คำตอบก็คือ “นวัตกรรม” คือสิ่งประดิษฐ์ที่ประสบความสำเร็จจากการเป็นที่รู้จัก และใช้งานกันอย่างแพร่หลายในสังคมนั่นเองครับ

นักประดิษฐ์ต้องรู้จักสังเกตสิ่งที่อยู่รอบๆ
หลายคนอาจไม่เชื่อว่าสิ่งประดิษฐ์ทั้งหลายที่คิดขึ้นมาได้นั้น ล้วนประยุกต์มากจากสิ่งรอบตัวที่มีอยู่ก่อนทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น เครื่องบิน เราจะเห็นว่า เราเลียนแบบมาจากนก

นักประดิษฐ์ต้องพกสมุดบันทึก
นักประดิษฐ์มือสมัครเล่นหลายคน ที่เลิกล้มโครงการประดิษฐ์ของตัวเองอยู่บ่อยๆ ก็เพราะไม่มีการจัดระเบียบความคิดให้เป็นระบบนั่งเอง คนที่จะอยู่เก็บเกี่ยวความหอมหวานแห่งความสำเร็จบนโลกใบนี้ คือคนที่ยืนระยะในสิ่งที่ตนสนใจได้นานกว่าคนอื่นเท่านั้น โดยสิ่งที่ทำให้เรายืนระยะอยู่ได้ก็คือการจดบันทึก อาจเป็นแผนงาน ไอเดีย ลำดับการทำงาน ประสบการณ์ ความรู้ใหม่ หรือสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานประดิษฐ์

นักประดิษฐ์เต็มขั้นต้นค้นหาเวทีแสดงความสามารถ
หากเราเป็นคนมีความสามารถแต่เก็บซ่อนไว้ตลอด แล้วเมื่อไหร่ล่ะ ที่เราจะได้แสดงความสามารถนั้นให้เป็นประโยชน์และประจักรต่อสังคมอาจเป็นเว็บไซต์ inventor.in.th แห่งนี้ก็ได้ (ท่านสามารถส่งผลงานของท่านมาเผยแพร่กับเราได้เลยทาง e-mail : webmaster@inventor.in.th ) หรือกระทั่งการนำเสนอตัวเองกับองค์กรต่างๆ

ท่านผู้อ่านครับ อย่างน้อยที่สุด นักประดิษฐ์ควรมีคุณสมบัติสำคัญ 4 ประการข้างต้นอย่างครบถ้วน จึงจะสามารถเรียกตัวเองได้ว่าเป็นนักประดิษฐ์


 

Categories
บทความ สิ่งที่นักประดิษฐ์ควรรู้

องค์ประกอบที่ 10 : แผนฉุกเฉิน

องค์ประกอบที่ 10 : แผนฉุกเฉิน

แผนฉุกเฉินเป็นการเตรียมแนวทางการดำเนินงานไว้ล่วงหน้า ในกรณีที่สถานการณ์หรือผลลัพธ์จากการดำเนินงานไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ หรือมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น จนเป็นผลกระทบในทางลบกับกิจการ ซึ่งโดยทั่วไปผู้ประกอบการควรอธิบายลักษณะความเสี่ยงทางธุรกิจที่อาจส่งผล ให้การดำเนินธุรกิจไม่เป็นไปอย่างราบรื่นตามแผนธุรกิจที่ได้กำหนดไว้

ตัวอย่างของประเด็นความเสี่ยงทางธุรกิจและการเตรียมพร้อมที่ควรระบุไว้ในแผนฉุกเฉิน ได้แก่กรณีดังต่อไปนี้

– ยอดขายหรือการเก็บเงินจากลูกหนี้ไม่เป็นไปตามคาดหมาย จนทำให้เงินสดหมุนเวียนขาดสภาพคล่อง
– ธนาคารไม่ให้เงินกู้หรือลดวงเงินกู้
– คู่แข่งตัดราคาหรือจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องระยะยาว
– มีคู่แข่งรายใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่า ทันสมัยกว่า มีสินค้าครบถ้วนกว่า ราคาถูกกว่า เข้าสู่อุตสาหกรรม หรือมาตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
– สินค้าถูกลอกเลียนแบบและขายในราคาที่ถูกกว่า
– มีปัญหากับหุ้นส่วนจนไม่สามารถร่วมงานกันได้
– สินค้าผลิตไม่ทันตามคำสั่งซื้อเนื่องจากขาดแคลนวัตถุดิบ
– สินค้าผลิตมากจนเกินไป ทำให้มีสินค้าในมือเหลือมาก
– เกิดการชะงักการเติบโตของทั้งอุตสาหกรรม
– ต้นทุนการผลิต/การจัดการสูงกว่าที่คาดไว้
ฯลฯ

ข้อมูลจาก :สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

Categories
บทความ สิ่งที่นักประดิษฐ์ควรรู้

องค์ประกอบที่ 9 : แผนการดำเนินงาน

องค์ประกอบที่ 9 : แผนการดำเนินงาน

ผู้เขียน : ผศ.วิทยา ด่านธำรงกูล

หลังจากผู้ประกอบการกำหนดกลยุทธ์ในด้านต่างๆ ของกิจการอย่างรอบคอบและครบถ้วนแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็คือ การจัดทำรายละเอียดของกลยุทธ์ดังกล่าว โดยการกำหนดกิจกรรมของกลยุทธ์แต่ละด้านให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน

ในทางปฏิบัติ ผู้ประกอบการอาจจะทำแผนการดำเนินงานในลักษณะของตารางที่มีรายละเอียดของเป้า หมาย กลยุทธ์ วิธีการ งบประมาณ และระยะเวลาดำเนินการ โดยจัดทำรายละเอียดเป็นรายเดือนหรือรายสัปดาห์ ตามที่ผู้ประกอบการเห็นสมควร

ข้อมูลจาก : สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

Categories
บทความ สิ่งที่นักประดิษฐ์ควรรู้

องค์ประกอบที่ 8 : แผนการเงิน

องค์ประกอบที่ 8 : แผนการเงิน

ผู้เขียน : รศ.ประนอม โฆวินวิพัฒน์
อ.วิภาดา ตันติประภา
ผศ.พรชนก รัตนไพจิตร

ในการจัดทำแผนธุรกิจนั้น กิจการต้องทราบให้ได้ว่าแผนที่จะจัดทำขึ้นนั้น เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ การที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว จะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนเท่าใด จะได้มาจากแหล่งใดบ้าง จากแหล่งเงินทุนภายใน ในรูปของเจ้าของกิจการ หรือแหล่งเงินทุนภายนอกในรูปของการกู้ยืมจากเจ้าหนี้ เรียกว่า กิจกรรมจัดหาเงิน (Financing Activities) จากนั้น จะเป็นเรื่องของการตัดสินใจนำเงินไปลงทุน กิจกรรมนี้เรียกว่า กิจกรรมลงทุน (Investing Activities) ซึ่งจะแตกต่างไปตามประเภทของธุรกิจ กิจกรรมที่สำคัญต่อเนื่องจากกิจกรรมดังกล่าวข้างต้น คือกิจกรรมดำเนินงาน (Operating Activities) ซึ่งจะประกอบไปด้วย การผลิต การซื้อ การขาย และการจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ

การ ตัดสินใจเกี่ยวกับกิจกรรมหลักทั้งสาม คือ กิจกรรมจัดหาเงิน กิจกรรมลงทุน และกิจกรรมดำเนินงาน จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจ นักบัญชีจะเป็นผู้นำเสนอผลของกิจกรรมทั้งสาม และสรุปออกมาเป็น งบการเงิน (Financial Statements) ซึ่ง เป็นรายงานสรุปขั้นสุดท้ายของขบวนการจัดทำบัญชี ที่แสดงให้เห็นถึงข้อมูลทางการเงินของธุรกิจหรืออาจจะเป็นงบการเงินที่ครอบ คลุมการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจในรอบระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อให้ทราบว่า ในรอบระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ธุรกิจมีฐานะการเงินอย่างไร กำไรหรือขาดทุน มีการเปลี่ยนแปลงในเงินสดอย่างไรบ้าง เพิ่มขึ้นหรือลดลง และสาเหตุเกิดจากอะไร

งบการเงินประกอบด้วย

งบนี้จึงแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของทุนเรือนหุ้นและกำไรสะสม

1.งบดุล เป็นรายงานที่แสดงถึงฐานะของกิจการ ณ วันใดวันหนึ่ง ในงบดุลจะประกอบไปด้วยข้อมูลทางการเงินที่แสดงถึงฐานะของกิจการ คือ ข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ หนี้สินและส่วนของผู้เป็นเจ้าของ
2.งบกำไรขาดทุน เป็นงบที่แสดงถึงผลการดำเนินงานของกิจการ โดยแสดงรายได้ ค่าใช้จ่ายและกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
3.งบแสดงการเปลี่ยนแปลงในส่วนของเจ้าของ ส่วนของผู้เป็นเจ้าของหรือส่วนของผู้ถือหุ้น ประกอบไปด้วย 2 ส่วนด้วยกัน คือ
– ทุนเรือนหุ้น
– กำไรสะสม
งบนี้จึงแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของทุนเรือนหุ้นและกำไรสะสม

4.งบกระแสเงินสด เป็นงบการเงินที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของกระแสเงินใดในรอบระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง จะรายงานให้ทราบว่า เงินสดในปีปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้น มีสาเหตุจากอะไรในกิจกรรม 3 ประเภท ดังต่อไปนี้
-กิจกรรมดำเนินงาน
-กิจกรรมลงทุน
-กิจกรรมจัดหาเงิน

5.นโยบายบัญชี หมายถึง หลักการบัญชีหรือวิธีปฏิบัติที่กิจการใช้ในการจัดทำและนำเสนองบการเงิน เนื่องจากหลักการบัญชีที่กิจการเลือกใช้มีได้หลายวิธี วิธีการบัญชีที่กิจการเลือกใช้จะมีผลกระทบต่องบการเงินไม่เหมือนกัน กิจการจึงต้องบอกข้อมูลดังกล่าวให้ผู้ใช้ในงบการเงินทราบ โดยทั่วไปแล้วกิจการควรเปิดเผยนโยบายบัญชีในเรื่องต่อไปนี้ไว้ในงบการเงิน
-วิธีการรับรู้รายได้
-การตีราคาสินค้าคงเหลือ
-การตีราคาเงินทุน
-ค่าเผื่อหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ
-วิธีการคิดค่าเสื่อมราคา และการตัดบัญชีสินทรัพย์ไม่มีตัวตน
-การแปลงค่าเงินตราต่างประเทศ
-การจัดทำงบการเงินรวม

ข้อมูลจาก : สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

Exit mobile version