Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Binance แต่งตั้งเอสบี เซเกอร์ (SB Seker) ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

1 กันยายน 2568 — Binance ผู้ให้บริการระบบนิเวศบล็อกเชนชั้นนำของโลก ประกาศแต่งตั้งนายเอสบี เซเกอร์ (SB Seker) ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) โดยในตำแหน่งนี้ คุณ Seker จะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ของบริษัทในภูมิภาค เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเติบโตอย่างรับผิดชอบและสานต่อความร่วมมือด้านกฎระเบียบในตลาดที่มีพลวัตสูงของเอเชีย

นายเซเกอร์มีประสบการณ์การทำงานยาวนานกว่าสองทศวรรษในภาครัฐ, ฟินเทค และอุตสาหกรรมบล็อกเชน พร้อมด้วยประวัติผลงานที่โดดเด่นในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงด้านกฎหมาย กลยุทธ์ การเข้าถึงตลาด และการจัดการ ซึ่งมีรากฐานมาจากความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย การปฏิบัติงานด้านกฎระเบียบและการกำกับดูแล

ในฐานะประธานกรรมการบริหารประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นายเซเกอร์จะรับผิดชอบดูแลการดำเนินงานของ Binance ในภูมิภาค พัฒนาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ และผลักดันการยอมรับในตลาด นอกจากนี้ เขายังจะมุ่งเน้นการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับผู้ที่มีบทบาทสำคัญในแวดวงนโยบายและกฎระเบียบ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำของ Binance ในด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบภายในอุตสาหกรรมคริปโตที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

“ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคสำคัญสำหรับ Binance มาโดยตลอด และประสบการณ์ที่ลึกซึ้งของคุณ Seker ในตลาดที่หลากหลายของภูมิภาคนี้ ทำให้เขาเป็นบุคคลที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเป็นผู้นำขับเคลื่อนการเติบโตและการมีส่วนร่วมในระดับภูมิภาคในระยะต่อไป” นายริชาร์ด เต็ง (Richard Teng) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Binance กล่าว “ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งในด้านบริการทางการเงินและตลาดที่มีการกำกับดูแล เรามั่นใจว่า Binance จะสามารถเดินหน้าพันธกิจของเราในการส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ พร้อมทั้งรักษามาตรฐานการปฏิบัติตามกฎระเบียบในระดับสูงสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่อไป”

นายเซเกอร์กล่าวถึงบทบาทความรับผิดชอบในตำแหน่งใหม่นี้ว่า “ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้เป็นแถวหน้าในด้านการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยความหลากหลายของตลาดที่มีเอกลักษณ์และความก้าวหน้าด้านกฎระเบียบ ผมตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ Binance เพื่อร่วมกำหนดอนาคตที่ยั่งยืน สร้างสรรค์ และเป็นไปตามกฎระเบียบสำหรับระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วทั้งภูมิภาคไปพร้อมกับทีมงานที่มีความสามารถ ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานกำกับดูแล พันธมิตร และชุมชนในวงกว้างของเรา ผมเฝ้ารอที่จะขับเคลื่อนโครงการเชิงกลยุทธ์และส่งมอบการดำเนินงานที่แข็งแกร่งทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของ Binance ในการปกป้องผู้ใช้งาน ความโปร่งใส และการปฏิบัติตามกฎระเบียบในระยะยาว”

ก่อนที่จะร่วมงานกับ Binance คุณ Seker ดำรงตำแหน่งรองประธานอาวุโสที่ Crypto.com Group ซึ่งเขารับผิดชอบดูแลการพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับโลก รวมถึงงานด้านกฎหมายและกฎระเบียบสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง-แอฟริกาเหนือและเอเชียใต้ (MENASA) นอกจากนี้ เขายังเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงด้านกฎหมายหลายแห่งในอุตสาหกรรมการเงิน อาทิ Ant Group, Rothschild & Co และ Amicorp Group โดยในช่วงเริ่มต้นอาชีพ คุณ Seker เคยทำงานเป็นทนายความว่าความในประเทศออสเตรเลีย ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งนักกฎหมายของธนาคารกลางที่ธนาคารกลางสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore)


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Crypto Tourism ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทย ก้าวสำคัญสู่นวัตกรรมการเงิน

ผู้เขียน: นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล, CFA,

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH)

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในประเทศไทยที่ดึงดูดความสนใจจากสื่อมวลชนทั่วโลก นั่นคือการเปิดตัวโครงการ TouristDigiPay ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และธนาคารแห่งประเทศไทย โครงการนำร่องนี้ช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสกุลเงินบาทเพื่อใช้จ่ายภายในประเทศได้ นอกจากจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการท่องเที่ยวไทยแล้ว โครงการนี้ยังมีศักยภาพในการผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศ และนำไทยเข้าใกล้เป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลระดับภูมิภาคมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า TouristDigiPay ไม่ใช่ระบบการชำระเงินด้วยคริปโตโดยตรงที่ทั้งลูกค้าและร้านค้าจะทำธุรกรรมกันด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล แต่เป็นกลไกที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทเพื่อชำระเงินผ่านระบบ PromptPay QR ซึ่งใช้งานได้อย่างแพร่หลาย ตั้งแต่ร้านอาหารริมทางไปจนถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำ โครงการนำร่องนี้นำเสนอแนวทางให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้สินทรัพย์ดิจิทัลของตนด้วยวิธีการที่สะดวกและราบรื่น โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินที่แข็งแกร่งของประเทศไทย

การผสานการชำระเงินด้วยคริปโตเข้ากับการท่องเที่ยว

จากรายงานของ Grand View Research ระบุว่า การชำระเงินด้วยคริปโตทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตไปถึง 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033 รายงานนี้ยังชี้ว่าการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการชำระเงินด้วยคริปโตไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของนวัตกรรมการเงิน แต่ยังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของระบบการเงินโลกในอนาคต

สำหรับประเทศไทย การท่องเที่ยวถือเป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างยาวนาน ในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 ภาคการท่องเที่ยวมีสัดส่วนเกือบ 20% ของ GDP ไทย อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ประเด็นด้านความปลอดภัย และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ การนำทางเลือกการชำระเงินที่ขับเคลื่อนด้วยคริปโตเข้ามาใช้จึงถือเป็นโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะไม่เพียงแต่มอบทางเลือกการชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว และไร้เงินสดให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ที่เน้นการใช้งานในรูปแบบดิจิทัล (Digital Nomads) และผู้ถือครองคริปโตทั่วโลกที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังช่วยเสริมสร้างเสน่ห์ของการท่องเที่ยวไทยให้โดดเด่นยิ่งขึ้น

อันที่จริง ประเทศไทยไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางนี้เพียงลำพัง เมื่อต้นปีที่ผ่านมาภูฏานได้กลายเป็นประเทศแรกที่เปิดตัวระบบชำระเงินเพื่อการท่องเที่ยวด้วยคริปโตในระดับประเทศที่นำโดยรัฐบาล ช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถทำธุรกรรมด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างราบรื่นตลอดการเดินทาง นอกจากนี้การชำระเงินด้วยคริปโตยังถูกนำไปใช้ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น และมีอีกหลายประเทศที่กำลังทดลองนวัตกรรมนี้ ด้วยระบบนิเวศการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งและโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มั่นคงของไทย ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะนำนโยบายเชิงนวัตกรรมนี้ไปสู่การใช้งานคริปโตในวงกว้างและนำไปปฏิบัติได้จริง หากมีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ควบคู่ไปกับการสนับสนุนจากภาครัฐที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล การนำระบบชำระเงินด้วยคริปโตมาปรับใช้จะเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในการฟื้นฟูการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็เป็นการวางรากฐานให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการเงิน

ขับเคลื่อนนวัตกรรมการเงินคริปโตในประเทศไทย

ในระดับโลก การเติบโตอย่างต่อเนื่องของสเตเบิลคอยน์ (Stablecoin) กำลังกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญต่อการยอมรับการชำระเงินด้วยคริปโตในวงกว้าง จากข้อมูลของ McKinsey มูลค่ารวมของสเตเบิลคอยน์หมุนเวียนในระบบสูงถึง 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว และคาดว่าจะเติบโตถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2028 ในขณะที่ Visa และ Mastercard ก็กำลังเริ่มโครงการต่างๆเพื่อรองรับการชำระเงินและชำระบัญชีด้วยสเตเบิลคอยน์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงทิศทางที่ชัดเจนว่าสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมกำลังหันมาเปิดรับประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล

แม้ว่าโครงการนำร่องนี้จะยังไม่เปิดโอกาสให้ธุรกิจและชุมชนในท้องถิ่นสามารถรับสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยตรง แต่โครงการนี้ก็ได้สร้างโอกาสอันดีในการให้ความรู้แก่สาธารณชน ช่วยสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพื้นฐานของเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องว่าคริปโตไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อการลงทุน แต่เป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

โครงการนำร่องเพื่อการชำระเงินด้วยคริปโต รวมถึงโครงการริเริ่มอื่น ๆ ของหน่วยงานภาครัฐ ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการส่งเสริมนวัตกรรมผ่านนโยบายที่สนับสนุน และผมเชื่อว่าโครงการระดับชาตินี้จะเป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงระบบการเงินดั้งเดิมของไทยเข้ากับโลกใหม่ของสินทรัพย์ดิจิทัล

ก้าวต่อไปในอนาคต

เมื่อมองไปข้างหน้า โครงการ TouristDigiPay ของประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตไปไกลกว่าแค่โครงการระดับประเทศ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโครงการนี้ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม โครงการนี้ถือเป็นต้นแบบให้กับทั่วโลกในการผสานการชำระเงินด้วยคริปโตเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินของประเทศ ด้วยแนวคิดที่สร้างสรรค์และมองการณ์ไกล พร้อมด้วยกฎระเบียบที่ชาญฉลาดและปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ภาครัฐและเอกชนจะสามารถทำงานร่วมกันเพื่อเร่งการพัฒนาทางเทคโนโลยี และสร้างผลกระทบที่มีความหมายต่อผู้คนได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ด้วยศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโต

ในฐานะผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของไทย BINANCE TH by Gulf Binanceพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ และมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการเงินดิจิทัล โดยยึดมั่นในหลักการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ความเป็นเลิศทางเทคโนโลยี และวิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่ออนาคตทางการเงินที่ทั่วถึงสำหรับทุกคน

###

เกี่ยวกับผู้เขียน

นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล,CFA

เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH)

ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มบริษัท ไบแนนซ์ (Binance Group) และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) โดยเขาเป็นผู้นำในการผลักดันให้เกิดการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยให้กว้างขวางขึ้น ด้วยการส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ คุณนิรันดร์มีเป้าหมายในการขยายระบบนิเวศของบล็อกเชนและเพิ่มการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานในประเทศ ก่อนหน้านี้คุณนิรันดร์เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Binance

ก่อนที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมบล็อกเชน คุณนิรันดร์เคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ TrueMoney ประเทศไทย ผู้ให้บริการ e-wallet ชั้นนำของประเทศ ซึ่งเขาได้แสดงภาวะผู้นำในการผลักดันให้บริษัทเติบโตจนกลายเป็นแอปพลิเคชันทางการเงินชั้นนำที่มีผู้ใช้งานกว่า 12 ล้านคน นอกจากนี้คุณนิรันดร์ยังเคยสั่งสมประสบการณ์จากบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการอย่าง McKinsey & Company และ UBS ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

คุณนิรันดร์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ (MBA) จากสถาบัน INSEAD และปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์

Categories
บทความ เทคโนโลยี

แนวทางรับมือความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์การใช้คลาวด์

โดย Lydia Leong

รองประธานนักวิเคราะห์อาวุโส การ์ทเนอร์

สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบันทำให้ภูมิทัศน์ของโครงสร้างพื้นฐานไอทีทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง มีความไม่แน่นอน ซับซ้อนและคลุมเครืออย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ในช่วงสภาวะอ่อนไหวเช่นนี้ หลายองค์กรแสดงความกังวลมากขึ้นต่อการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งทำให้ต้องหันกลับมาประเมินการพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์อีกครั้ง

เป็นเวลาหลายปีที่องค์กรเผชิญกับปัญหาเดิม ๆ อาทิ การผูกขาดการเป็นผู้จำหน่าย (Vendor Lock-In) การสูญเสียอำนาจการต่อรองกับผู้จำหน่าย (Loss of Vendor Negotiation Power) และความเป็นไปได้ของการหยุดชะงักครั้งใหญ่ของบริการ (Major Outage) เช่นที่เกิดขึ้นกับ Crowdstrike เมื่อปีก่อน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความท้าทายแต่ยังเป็นเรื่องที่รับมือจัดการได้และมองว่าเป็นการยอมแลกที่รับได้เพื่อให้ได้มาซึ่งนวัตกรรม ความคล่องตัว และประสิทธิภาพของคลาวด์ที่ปรับขนาดได้ ผลวิจัยการ์ทเนอร์เผยให้เห็นว่าอธิปไตยคลาวด์ (Cloud Sovereignty) เคยเป็นเรื่องที่ลูกค้าให้ความสำคัญต่ำ แต่ปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว

แม้ระบบนิเวศไอทีสมัยใหม่ส่วนใหญ่จะพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์ แต่ความเสี่ยงที่เกิดจากความปั่นป่วนทางภูมิรัฐศาสตร์ ณ ปัจจุบันขยายไปไกลกว่าการสูญเสียบริการจากการคว่ำบาตรหรือข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศ ไปจนถึงศักยภาพในการโจรกรรมข้อมูลผ่านการเข้ายึดอำนาจโดยรัฐบาลหรือการกระทำนอกเหนือกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับราคาคลาวด์ที่คาดเดาไม่ได้ ซึ่งเกิดจากภาษีนำเข้า เงินเฟ้อ และความผันผวนของสกุลเงิน ทั้งหมดนี้กำลังผลักดันให้กลยุทธ์คลาวด์ถูกยกกลับมาหารืออีกครั้งในห้องประชุมในฐานะที่เป็นปัญหาสำคัญด้านความยืดหยุ่นทางธุรกิจ

เพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงในสภาพแวดล้อมนี้ องค์กรต้องมองภาพให้กว้างขึ้น หมายถึงกลับมาประเมินใหม่ ที่ไม่เพียงแต่ด้านการพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์ระดับไฮเปอร์สเกลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเสี่ยงจากการใช้ระบบคลาวด์ทั้งหมดในสภาพแวดล้อมไอที

ประเมินการพึ่งพาผู้ให้บริการระบบคลาวด์

หากในช่วงเวลาที่ผ่านมาองค์กรยังไม่ได้ประเมินเรื่องการพึ่งพาผู้จำหน่ายคลาวด์หรือความเสี่ยงสำคัญ ๆ ที่อาจเกิดจากบุคคลที่สามตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องลงมือแล้ว โดยสามารถเริ่มจากการทำ Mapping ที่ไม่เพียงแต่เรื่องของการพึ่งพาคลาวด์อย่างเดียวโดยตรง แต่รวมถึงโครงข่ายที่กว้างขึ้นของบริการและเทคโนโลยีที่พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ทั้งจากภายในและภายนอกเครือข่าย

หมายความว่าองค์กรต้องมองไกลกว่าโซลูชันบนคลาวด์ที่มีอยู่ทั่วไป เพราะระบบภายในจำนวนมากดูเหมือนจะพึ่งพาความสามารถที่เชื่อมโยงกับคลาวด์แบบ On-Premises รวมถึงโซลูชันด้านความปลอดภัยที่ต้องอาศัยข้อมูลภัยคุกคามบนคลาวด์ หรือฮาร์ดแวร์ อาทิ พวกอุปกรณ์เครือข่ายหรืออินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (IoT) ที่กำหนดค่าและจัดการผ่านคลาวด์

ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิมจำนวนมากได้รับอนุญาตให้ใช้งานผ่านระบบคลาวด์ ซึ่งทำให้มีจุดเชื่อมกันที่ซ่อนอยู่ อาจมีความสำคัญในเหตุที่เกิดการหยุดชะงัก

เมื่อเขียนภาพแสดงการพึ่งพาคลาวด์ออกมาได้แล้ว จำเป็นต้องพิจารณาพื้นที่ทางภูมิรัฐศาสตร์ของบริการและผู้ขายแต่ละราย นั่นหมายถึงการทำความเข้าใจเขตอำนาจศาลที่เกี่ยวข้องหลายแห่ง เช่น ตำแหน่งที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของผู้ขาย พื้นที่ที่ระบุในสัญญาบริการ และส่งมอบจากที่ใด เป็นต้น การเข้าใจเรื่องเหล่านี้ทำให้องค์กรสามารถระบุว่าส่วนใดของสภาพแวดล้อมไอทีที่อาจเผชิญกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว

ความต่อเนื่องของการตระหนักรู้เกี่ยวกับการพึ่งพากันถือเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ ผลวิจัยการ์ทเนอร์ระบุว่าการติดตามความสัมพันธ์ของบุคคลที่สามอย่างต่อเนื่องมีประสิทธิภาพมากกว่าการติดตามแค่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง

ตัวเลือกที่เป็นไปได้สำหรับการพึ่งพาที่สำคัญ

แม้องค์กรหลายแห่งจะซื้อความสามารถระบบคลาวด์มากเกินไป แต่ความจริงก็คือใช้เป็นโซลูชันทางเลือกหลากหลาย โดยเฉพาะใช้สำหรับเวิร์กโหลดงานสำคัญ ที่บางครั้งอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจที่มีความสำคัญที่สุดได้เต็มที่ เหตุเพราะไม่มีโซลูชันอื่นให้เลือก

การเปลี่ยนโซลูชันหรือระบบนิเวศบนคลาวด์มักต้องแลกสิ่งหนึ่งเพื่อให้ได้อีกสิ่งหนึ่งเสมอ อาทิ ต้นทุนที่สูงขึ้น ระยะเวลาการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ความซับซ้อนที่เพิ่มมากขึ้น และความต้องการด้านทักษะขององค์กรที่มากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่การตัดสินใจทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจอีกด้วย สิ่งสำคัญคือต้องให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านความเสี่ยงจากทั่วทั้งองค์กรมีส่วนร่วม เพื่อพิจารณาว่าการเสียสละใด ๆ ที่ยอมรับได้เพื่อแสวงหาความยืดหยุ่น

ทางเลือกที่เป็นไปได้ที่ควรพิจารณาอาจรวมถึงโซลูชันอธิปไตยคลาวด์ (Sovereign Cloud Solutions) ที่ส่งมอบผ่านกิจการร่วมทุน หรือ เป็นพันธมิตรกันเพื่อทำ Geopatriation หรือการกำหนดภูมิรัฐศาสตร์สำหรับย้ายงานและแอปพลิเคชันจากผู้ให้บริการต่างประเทศไปยังผู้ให้บริการในระดับภูมิภาคหรือในประเทศ หรือการกำจัดการพึ่งพาคลาวด์บางส่วนออกไป

การวิเคราะห์ช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดได้ว่าสามารถทำอะไรได้ รวมถึงต้นทุน ความพยายาม ความเสี่ยงในการดำเนินการ และปริมาณความเสี่ยงที่เหลืออยู่หลังดำเนินการ ควรระวังไม่ให้ความเสี่ยงโดยรวมเพิ่มขึ้นจากการสลับเปลี่ยนโซลูชัน

วางแผนปรับใช้ตามสถานการณ์

ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาคล้ายกันหมด และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อองค์กรในแบบเดียวกัน ผลกระทบของเหตุการณ์ขึ้นอยู่กับเขตอำนาจศาลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงลักษณะเหตุการณ์และขอบเขตการพึ่งพาระบบคลาวด์

การวางแผนตามสถานการณ์ช่วยให้มั่นใจว่ากลยุทธ์การจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉินบนคลาวด์นั้นสอดรับกับสถานการณ์เฉพาะที่มักเกิดขึ้น รวมถึงสถานการณ์ที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อ Timelines การคุ้มครองตามสัญญา การเข้าถึงข้อมูล ความร่วมมือของผู้ให้บริการ ทรัพยากร งบประมาณ และทางเลือกที่เป็นไปได้

สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อบริการคลาวด์ ได้แก่ การพุ่งขึ้นของราคาที่เกิดจากสภาวะเศรษฐกิจ การกำหนดเป้าหมายที่มีแรงจูงใจทางการเมือง การหยุดชะงักทางการค้า หรือการปิดพรมแดน

การ์ทเนอร์ระบุว่าองค์กรส่วนใหญ่มักต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี ในการสลับใช้ระหว่างโซลูชันบนคลาวด์ภายใต้สถานการณ์ปกติ ดังนั้นการเตรียมการล่วงหน้าจึงมีความจำเป็นอย่างมากเพื่อให้สลับไปมาได้อย่างรวดเร็ว อาจมีกรณีที่จะดีกว่าถ้าไม่เพิ่มโซลูชันที่ใช้ระบบคลาวด์ที่มีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในอนาคต

การนำขั้นตอนเหล่านี้มาใช้จะทำให้องค์กรวางแผนรับมือเหตุการณ์ที่สร้างผลกระทบสูง ซึ่งอาจส่งผลเชิงลบต่อการพึ่งพาระบบคลาวด์ได้ 

เกี่ยวกับผู้เขียน

Lydia Leong รองประธานนักวิเคราะห์อาวุโสของการ์ทเนอร์ เน้นวิจัยกลยุทธ์คลาวด์คอมพิวติ้งและโครงสร้างพื้นฐาน

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวแพลตฟอร์ม “Zeigo™ Hub” ตัวช่วยสร้างความยั่งยืนองค์กร เร่งลดคาร์บอนในซัพพลายเชน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เปิดตัว Zeigo™ Hub by Schneider Electric แพลตฟอร์มดิจิทัลทรงพลัง ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ ลดคาร์บอนในซัพพลายเชนในวงกว้าง ถือเป็นก้าวสำคัญในการใช้นวัตกรรมโซลูชั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเภทที่ 3 (Scope 3 emissions) เพื่อนำไปสู่เป้าหมาย Net-Zero ได้อย่างมั่นใจและชัดเจน

กลุ่มซัพพลายเชนทั่วโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้า หน่วยงานกำกับดูแลและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการรายงานและดำเนินการเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นขึ้นนี้ได้ ด้วยการใช้โมดูลาร์ที่เน้นการลงมือปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน ช่วยให้องค์กรต่างๆ มีส่วนร่วมกับซัพพลายเออร์ในทุกขนาดธุรกิจ สามารถเข้าถึงและติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของซัพพลายเออร์หลายระดับ และขับเคลื่อนผลลัพธ์ที่วัดผลได้โดยตรงผ่านการให้ความรู้ เครื่องมือและการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ

“การมีซัพพลายเชนที่ไร้คาร์บอน ไม่ใช่แค่สิ่งดีที่ควรมีอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือความจำเป็นเชิงกลยุทธ์ สำหรับแพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub ชไนเดอร์ อิเล็คทริคกำลังติดอาวุธเสริมเพื่อเป็นเครื่องมือและข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นให้กับบริษัทต่างๆ เพื่อเปลี่ยนซัพพลายเชนของพวกเขาให้เป็นกลไกขับเคลื่อนความยืดหยุ่นที่ยั่งยืน” ลอร่า อีฟ รองประธานฝ่ายโซลูชั่นความยั่งยืน SaaS ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว

ยุคใหม่แห่งการมีส่วนร่วมของซัพพลายเออร์และนวัตกรรม

Zeigo™ Hub ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นแพลตฟอร์มส่งเสริมการมีส่วนร่วมของซัพพลายเออร์ในทุกขั้นตอนของการเดินทางสู่ความยั่งยืน ไม่ว่าจะมีขนาดองค์กรที่พร้อม หรือประสบการณ์ในระดับใด แพลตฟอร์มนี้ช่วยขจัดอุปสรรคการมีส่วนร่วมได้ ด้วยระบบการเริ่มต้นใช้งานที่มีคำแนะนำ มีอินเทอร์เฟซต่อผู้ใช้ที่เรียบง่าย และเครื่องมือการเรียนรู้ในตัวที่ช่วยให้ซัพพลายเออร์สามารถเริ่มคำนวณและบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทันที แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub ไม่ใช่เพียงเครื่องมือเก็บข้อมูลสถิติเท่านั้น แต่ยังทำงานร่วมกันแบบตอบกลับผ่านเการเรียนรู้ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ มีชุดเครื่องมือลดคาร์บอนและแดชบอร์ดการเปรียบเทียบมาตรฐาน ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่คล่องตัวและเข้าถึงได้ง่าย ซัพพลายเออร์สามารถดำเนินการจากข้อมูลและวัดผลได้ ส่วนผู้สนับสนุนก็สามารถส่งต่อผลกระทบได้ทั้งซัพพลายเชน

แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub มีกลไกการวิเคราะห์ประสิทธิภาพสูง ช่วยให้มองเห็นข้อมูลเรียลไทม์ของการมีส่วนร่วมจากซัพพลายเออร์ ทั้งข้อมูลแนวโน้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายที่อ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งโครงสร้างข้อมูลได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการเปิดเผยข้อมูลตามมาตรฐาน CDP, CSRD และ TCFD รวมถึงการจัดทำรายงานความยั่งยืนภายในองค์กร ซึ่งเป็นการรับรองด้านความโปร่งใสและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

ทั้งนี้ซัพพลายเออร์ทุกรายที่ได้รับเชิญเข้าร่วมแพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub จะได้รับสิทธิ์เข้าถึงแผนงานลดคาร์บอนและผู้ให้บริการโซลูชั่นที่ปรับเปลี่ยนได้ ซึ่งช่วยให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้าง ส่วนผู้สนับสนุนจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมทั้งหมด ทำให้ไม่มีอุปสรรคด้านต้นทุนสำหรับซัพพลายเออร์ และครอบคลุมถึงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในฐานะส่วนหนึ่งของชไนเดอร์ อิเล็คทริค อีกทั้งแพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub สามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบนิเวศระดับโลกที่เชื่อถือได้ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน บริการให้คำปรึกษาและโซลูชั่นการลดคาร์บอนได้อย่างราบรื่น โดยมอบการสนับสนุนเชิงลึกและความน่าเชื่อถือให้แก่องค์กรที่เหนือกว่าแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์แบบเดี่ยวทั่วไป

แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub ใช้ความสามารถของ Agentic AI ขั้นสูง เพื่อเร่งการลดคาร์บอนด้วยการใช้ข้อมูลขับเคลื่อนการตัดสินใจ และขยายผลกระทบไปทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่าที่หลากหลาย (Complex value chains) และเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่ถูกนำมาใช้ใน ระบบนิเวศ AI-native ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ซึ่งได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568ที่ผ่านมา โดยระบบนี้ผสานรวมความเชี่ยวชาญชั้นนำด้านความยั่งยืนของชไนเดอร์เข้ากับนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งฟีเจอร์  Agentic AI ของแพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub จะช่วยยกระดับและปรับเปลี่ยนประสบการณ์การเริ่มต้นใช้งานของผู้ใช้ให้เป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยจะช่วยลดความยุ่งยากในการป้อนข้อมูลด้วยการใช้เครื่องมือการดึงข้อมูลจากเว็บไซต์และการอัปโหลด, การปรับแต่งคำเชิญเข้าร่วมโปรแกรม และให้การกำกับดูแลโปรแกรมเพิ่มเติมในนามของผู้สนับสนุนโครงการขององค์กร

ขับเคลื่อนผลกระทบระดับโลกผ่านความร่วมมือ

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับในด้านการลดคาร์บอนในซัพพลายเชน จากการทำงานร่วมกับแบรนด์ใหญ่และจากโครงการริเริ่มด้านซัพพลายเชนภายในองค์กรที่ได้รับรางวัล เช่น Zero Carbon Project ตั้งแต่ปี 2564 ได้เปิดตัวโครงการลดคาร์บอนในซัพพลายเชนทั่วโลก มีบริษัทซัพพลายเชนเข้าร่วมกว่า 20 โครงการ รวมถึงโครงการความร่วมมือกับกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น EnergizeCatalyze และ Materialize จนถึงปัจจุบันชไนเดอร์ อิเล็คทริคได้ร่วมงานกับแบรนด์ต่างๆ มากกว่า 40 แบรนด์ โดยเป็นผู้สนับสนุนโครงการที่มีซัพพลายเออร์ลงทะเบียนมากกว่า 2,700 ราย

แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub จะทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนเทคโนโลยีและเครื่องมือสำหรับการดำเนินการร่วมกันในโครงการซัพพลายเชนเหล่านี้ ทำให้ช่วยลดคาร์บอนในวงกว้างง่ายกว่าวิธีเดิม อีกทั้งแพลตฟอร์มนี้ช่วยให้องค์กรต่างๆ สร้างวัฒนธรรมของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างผู้ซื้อและซัพพลายเออร์ และแนวทางนี้ไม่เพียงเร่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างความยืดหยุ่นของซัพพลายเชนและเพิ่มคุณค่าทางธุรกิจในระยะยาวอีกด้วย

“แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub แสดงถึงก้าวที่กล้าไปข้างหน้าในด้านความยั่งยืนของซัพพลายเชน นี่คือการเปลี่ยนความมุ่งมั่นให้เป็นการลงมือทำ เสริมสร้างศักยภาพให้กับซัพพลายเออร์ทุกราย พันธมิตรทุกคน และทุกองค์กร ให้มีส่วนร่วมสร้าง Net-Zero ในอนาคต” ลอร่า อีฟ รองประธานฝ่ายโซลูชันความยั่งยืน SaaS ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว

การวางจำหน่าย
แพลตฟอร์ม 
Zeigo™ Hub พร้อมให้บริการแก่ทุกองค์กรทั่วโลกแล้ววันนี้ และหากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเส้นทางการลดคาร์บอนในซัพพลายเชนของธุรกิจ สามารถเข้าชมได้ที่ https://www.zeigo.com/zeigo-hub


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

โรงไฟฟ้า BLCP ลงนามความร่วมมือ เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส เพื่อเสริมสร้าง ยกระดับวิชาชีพด้านวิศวกรรมและการบำรุงรักษาโรงไฟฟ้

ดร.กัมปนาท บำรุงกิจ (คนกลาง) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานปฏิบัติการ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือ (MOU) ในการเสริมสร้างและยกระดับวิชาชีพด้านวิศวกรรมและการบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า โดยมีนายยุทธนา เจริญวงศ์ (ที่สองจากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท  บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัดและ นายอดุลย์ อุดมวรวุฒิ (คนแรกซ้าย) รองผู้จัดการใหญ่โรงไฟฟ้า พร้อมด้วย นายสุทธิศักดิ์ แก้วมีแสง (ที่สองจากขวา)  กรรมการผู้จัดการ และ นายพิสิทธิ์ โสภณนรินทร์ (คนแรกขวา) ผู้จัดการส่วนอาวุโส-บริหารงานเดินเครื่อง บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด เป็นผู้ร่วมลงนาม เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาศักยภาพบุคลากรในการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน พร้อมพัฒนาแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ทั้งยังเป็นการยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานในอุตสาหกรรมพลังงานของไทย เมื่อเร็วๆ นี้

สำหรับโครงการความร่วมมือในการเสริมสร้างยกระดับวิชาชีพด้านวิศวกรรมและการบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าระหว่างโรงไฟฟ้า BLCP และ บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (ESCO) นั้น มีเป้าหมายในการเพิ่มขีดความสามารถของทั้งสององค์กร สร้างบุคลากรและเครือข่ายความรู้เฉพาะทางด้านวิศกรรมในธุรกิจผลิตไฟฟ้า  เตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรในอุตสาหกรรมพลังงาน เพื่อรองรับความท้าทายที่ซับซ้อนในอนาคต รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ได้อย่างต่อเนื่อง    พร้อมกับเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศอย่างมั่นคงและยั่งยืน ในการก้าวไปสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ของประเทศไทย

โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) “มุ่งพัฒนาพลังงานที่มั่นคง เพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ผู้สนใจค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.blcp.co.th/web/index หรือ Facebook : โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี – BLCP Power Limited


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประกาศจับมือพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญ ร่วมกับ “พร้อม เทคนิคคอล เซอร์วิสเซส” เร่งพัฒนาโซลูชั่นทรานส์ฟอร์มธุรกิจพลังงาน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ บริษัท พร้อม เทคนิคคอล เซอร์วิสเซส จำกัด เพื่อพัฒนาโซลูชั่นเชิงนวัตกรรมขับเคลื่อนการทรานส์ฟอร์มเมชั่นธุรกิจพลังงานและอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (Upstream Oil & Gas) สร้างผลกระทบเชิงบวก ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นายซิงเจียง ปัง ประธานชไนเดอร์ อิเล็คทริคประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก กล่าวว่า ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีความมุ่งมั่นในการผลักดันพันธมิตรเพื่อเป้าหมายสำคัญในการสร้างผลกระทบเชิงบวกและความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศ ความร่วมมือกับบริษัท พร้อม เทคนิคคอล เซอร์วิสเซส จำกัด จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่สำคัญของไทย จากความร่วมมือด้านข้อมูลที่ใช้พัฒนานวัตกรรมโซลูชั่นจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างนวัตกรรมดิจิทัลตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีให้กับกลุ่มธุรกิจพลังงาน ได้แก่ กระทรวงพลังงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.), บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT)

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวเสริมว่า ธุรกิจพลังงานและอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมคือกลไกที่เกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วนสำคัญในประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้กับบริษัท พร้อม เทคนิคคอล เซอร์วิสเซส จำกัด ได้มุ่งเน้นไปที่การร่วมกันพัฒนาโซลูชั่นเชิงนวัตกรรมเพื่อเป้าหมายเปลี่ยนผ่านกระบวนการทำงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลสู่ผลลัพธ์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีขอบเขตความร่วมมือสำคัญในด้านต่างๆ ดังนี้

1.การจัดการข้อมูลแบบใกล้เคียงเวลาจริง (Near Real-Time) 2. วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) และการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) 3.การดำเนินธุรกิจอัจฉริยะและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ 4.บริการคลาวด์ยุคใหม่ (Next-generation Cloud Services) 5.ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) 6.การสื่อสาร 5G และ 7.ศูนย์ข้อมูลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Data Centers) เพื่อสนับสนุนการลดคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม

นายพงัน เชาวนการกิจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พร้อม เทคนิคคอล เซอร์วิสเซส จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในครั้งนี้จะช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholder) ในธุรกิจพลังงานและอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ได้นำความรู้และนวัตกรรมโซลูชั่นที่เกิดจากความร่วมมือ ใช้ประโยชน์ในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

สำหรับโซลูชั่นและผลิตภัณฑ์ที่จะพัฒนาร่วมกัน ด้านสำคัญ ได้แก่ 1.การวิเคราะห์ข้อมูลและความเป็นเลิศในการดำเนินงาน ด้วยการพัฒนาแอปพลิเคชั่นการวิเคราะห์ข้อมูลและยกระดับความเป็นเลิศในการดำเนินงาน โดยการผสมผสานโมเดล AI และ ML วมถึงโซลูชั่นอัจฉริยะเข้ากับความสามารถของคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง (HPC)

2.การพยากรณ์และวิเคราะห์พลังงานหมุนเวียน ด้วยการพัฒนาแอปพลิเคชั่นและโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพสำหรับแบบจำลองและแพลตฟอร์มการพยากรณ์พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวางแผนการเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Grid Integration) และประสิทธิภาพการดำเนินงาน

3.แอปพลิเคชั่นจัดการข้อมูลพลังงานแบบใกล้เคียงเวลาจริง โดยจะพัฒนาระบบและเทคโนโลยีล้ำสมัยสำหรับการรวบรวมประมวลผล และวิเคราะห์ข้อมูลพลังงานแบบ Near Real-Time รวมถึงโซลูชั่นในรูปแบบบริการซอฟต์แวร์ (SaaS) ที่ยืดหยุ่นโดยใช้ประโยชน์จากบริการคลาวด์ยุคใหม่

และ4.ศูนย์ปฏิบัติการแบบบูรณาการ (IOC) ซึ่งจะพัฒนาโซลูชั่นศูนย์ปฏิบัติการแบบบูรณาการ (Integrated Operation Center) เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการสร้างความเป็นเลิศในการดำเนินงานมีหน้าจอควบคุมและติดตามแบบครบวงจรที่สามารถรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งทั้ง IT และOT ได้อย่างราบรื่น โดยสร้างขึ้นบนสถาปัตยกรรมระบบที่มีความพร้อมใช้งานสูง (High-Availability)

นายชัยวิชิต สารกุล ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจดิจิทัล บริษัท พร้อม เทคนนิคคอล เซอร์วิสเซส จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือในการพัฒนาโซลูชั่นร่วมกันจะช่วยผลักดันศักยภาพการให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มในรูปแบบครบวงจร และสามารถนำเสนอบริการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการดำเนินธุรกิจให้กับกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและธุรกิจพลังงาน และเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานอย่างยั่งยืน

ชไนเดอร์อิเล็คทริค มุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรต่างๆ ในระบบนิเวศ เพื่อร่วมกันสร้างผลกระทบเชิงบวกโดยเชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน ด้วยการเป็นพันธมิตรที่เชื่อมั่นได้ ทั้งในด้านการสร้างความยั่งยืนและสร้างประสิทธิภาพ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

CADT DPU จัด Flight Simulator Landing Challenge 2025 สร้างแรงบันดาลใจสู่อาชีพนักบิน พร้อมเปิดหลักสูตร ป.ตรี ควบใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี ภายใน 3.5 ปี

วิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จัดการแข่งขันการบินเสมือนจริงโดยเครื่องจำลองการบิน (Simulator) ภายใต้โครงการ Flight Simulator Landing Challenge 2025 เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนได้สัมผัสประสบการณ์การบินเสมือนจริงผ่านเครื่องจำลองการบิน เสริมสร้างทัศนคติที่ดีต่ออาชีพนักบิน และจุดประกายแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่มีความใฝ่ฝันในเส้นทางการบิน พร้อมเปิดหลักสูตรใหม่ “ปริญญาตรีควบใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี” ภายในระยะเวลา 3.5 ปี ภายใต้กิจกรรมดังกล่าว ยังมีรุ่นพี่นักบินจากสายการบินพาณิชย์ ร่วมแชร์ประสบการณ์ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับน้อง ๆ  โดยพิธีเปิดมี อาจารย์ปวรรัตน์ สุภิมารส รักษาการคณบดี วิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน และ นายพันธ์พิสุทธิ์ นุราช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย อินเตอร์ ไฟลอิ้ง จำกัด ร่วมเป็นประธานกล่าวเปิดงาน ณ วิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

อาจารย์ปวรรัตน์ สุภิมารส รักษาการคณบดี วิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน ( CADT ) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU ) เปิดเผยว่า CADT DPU มุ่งหวังให้โครงการนี้เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ การแสดงออก และการค้นพบศักยภาพของตนเอง โดยมีครูนักบินจากโรงเรียนการบิน Thai Inter Flying ร่วมให้คำแนะนำอย่างถูกต้องตามหลักวิชาชีพ พร้อมทั้ง ใช้โอกาสนี้ในการส่งต่อแรงบันดาลใจและองค์ความรู้ที่ถูกต้องแก่เยาวชนไทย โครงการนี้ยังสะท้อนถึงการใช้ทรัพยากรของมหาวิทยาลัยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคม ด้วยการเปิดประตูสู่แหล่งเรียนรู้ด้านการบินที่มีมาตรฐานระดับสากล สร้างการมีส่วนร่วมระหว่างสถาบันและชุมชน พร้อมส่งเสริมบทบาทของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาและสนับสนุนอนาคตของเยาวชนไทยอย่างยั่งยืน

การแข่งขันดังกล่าว มีนักเรียน-นักศึกษา กว่า 60 คน เข้าร่วมทดลองประสบการณ์การบินเสมือนจริง โดยผู้รับคะแนนสูงสุด จะได้รับรางวัลตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ พร้อมชั่วโมงช่วยฝึกบินจำลองแบบ Boeing 737-800NG จำนวน 30 นาที พร้อมใบประกาศนียบัตรและเข็มนักบิน ส่วนลำดับที่ 2-3 ได้รับรางวัลเป็นชั่วโมงฝึกบินพร้อมใบประกาศนียบัตรและเข็มนักบิน เช่นกัน

โอกาสนี้ CADT DPU ยังได้เปิดตัวหลักสูตร ปริญญาตรีควบใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี  โดยเป็นความร่วมมือกับ Thai Inter Flying  ซึ่งเป็นโรงเรียนการบินชั้นนำ  โดยเป็นหลักสูตรนวัตกรรมใหม่ “Co-Creation : Pilot Pathway” ที่ออกแบบมาเพื่อสานฝันการเป็นนักบินพาณิชย์  ภายหลังจบการศึกษานักศึกษาจะได้รับทั้งวุฒิปริญญาตรีและใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี ในระยะเวลา 3.5 ปี ด้วยงบประมาณ 2.59 ล้านบาท

“จากข้อมูลที่น่าสนใจของสำนักงานสภานโยบาย การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สอวช.) ซึ่งได้ทำการสำรวจความต้องการบุคลากรทักษะสูงใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย 2568-2572  พบว่าอุตสาหกรรม ที่มีความต้องการมากที่สุด คือ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ จำนวนกว่า 440,573 ตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน Customer Service และด้านเทคโนโลยีการบิน ด้วยเหตุนี้ หลักสูตรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจการบิน การจัดการเทคโนโลยีการบินและการอำนวยการบิน รวมถึง Co-Creation : Pilot Pathway ที่วิทยาลัยฯ ได้พัฒนาขึ้น จึงตอบสนองต่อความต้องการแรงงานในภาคส่วนนี้โดยตรง” อาจารย์ปวรรัตน์ กล่าว

นายพันธ์พิสุทธิ์ นุราช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย อินเตอร์ ไฟลอิ้ง จำกัด กล่าวว่า  ความร่วมมือทางวิชาการในหลักสูตร  Co-Creation : Pilot Pathway บทบาทของ Thai Inter Flying เราจะรับผิดชอบดูแลการฝึกอบรมในส่วนของนักบินทั้งหมด ครอบคลุมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติทางอากาศ โดยสถานที่สำหรับการฝึกอบรมของโรงเรียนตั้งอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิต ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และมีสนามบินสำหรับนักบินอยู่ที่คลอง 11 ปทุมธานีและจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นสถานฝึกที่ดีเยี่ยม ทั้งในด้านของทำเลที่ตั้งและการดูแลนักเรียน สำหรับการลงนามความร่วมมือครั้งนี้เน้นย้ำถึงมาตรฐานการฝึกอบรมระดับสูง หลักสูตรนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ที่สนใจรวมถึงผู้ปกครองที่ต้องการส่งบุตรหลานเข้าศึกษา ได้รับการดูแลที่ดีที่สุดตลอดหลักสูตรจากการประสานการทำงานของทั้งสององค์กร ทั้ง มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ และโรงเรียนการบิน Thai  Inter Flying ซึ่งเป็นโรงเรียนการบินชั้นนำ เป้าหมาย คือ การดูแลนักศึกษาให้สำเร็จการศึกษาตามมาตรฐานที่กำหนดไว้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว “New EasyPact MVS” เซอร์กิตเบรกเกอร์ดิจิทัลทรงสมาร์ท โชว์เคสเชื่อมต่อแบบไร้สัมผัส

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เปิดตัว ‘New EasyPact MVS’ เซอร์กิตเบรกเกอร์ดิจิทัลใหม่ล่าสุด โชว์ประสบการณ์ใช้งานง่ายแบบไร้การสัมผัส ด้วยฟีเจอร์ NFC ผ่านแอปพลิเคชัน EcoStruxure Power Device ภายในงานสัมมนา Innovation Talk : Smart Solar Solution & Safer Switchgear

นายเผดิมศักดิ์ รัตนเรืองศักดิ์ รองประธานฝ่ายธุรกิจ เพาเวอร์ โพรดักส์ ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ไทย ลาว และเมียนมา กล่าวว่า New EasyPact MVS เซอร์กิตเบรกเกอร์ดิจิทัลรุ่นใหม่ในกลุ่มเซอร์กิตเบรกเกอร์ที่รองรับเครือข่ายกระแสไฟฟ้าแรงดันต่ำตั้งแต่ 630 ถึง 4,000 แอมแปร์ ได้รับการปรับโฉมการใช้งานใหม่ทั้งหมดด้วยฟีเจอร์ที่เน้นความสะดวกสบาย เชื่อมต่อง่าย สมาร์ททุกฟังก์ชัน คุ้มค่ามากขึ้น เพื่อตอบรับความต้องการใช้งานของกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMB) ล่าสุดเปิดตัวและโชว์ศักยภาพในงานสัมมนาทางด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าแสงอาทิตย์ เพื่อระบบที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ‘Innovation Talk : Smart Solar Solution & Safer Switchgear’

โดยงานนี้ได้มีผู้เชี่ยวชาญด้านระบบพลังงานร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ในหลากหลายหัวข้อ เช่น เจาะลึกโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ครบวงจร (Solar Total Solutions), เทคโนโลยีการจัดเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่และระบบป้องกัน (Battery Energy Storage Technology and Protection), มาตรฐานและการเลือกใช้อปุกรณ์สำหรับตู้ไฟฟ้า และแนวทางการออกแบบระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เชิงวิศวกรรมสำหรับอาคารและภาคอุตสาหกรรม

New EasyPact MVS เซอร์กิตเบรกเกอร์ดิจิทัล มาพร้อมดีไซน์เรียบง่ายแต่สมาร์ท การันตีด้วยรางวัล reddot winner 2023 ด้วยคุณสมบัติหน้าจอแสดงผลทริปยูนิต (Trip Unit) ที่ใหญ่ขึ้น โดดเด่นด้านการแจ้งเตือนสถานะการทำงานต่างๆ ง่ายต่อผู้ใช้งาน ด้วยการเพิ่มแสงไฟสว่างแบบ LED ช่วยเปิดการมองเห็นที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นตั้งแต่ระยะ 10 เมตร และในกรณีที่เกิดภาวะโหลดเกิน หรือการลัดวงจร ผู้ใช้งานสามารถมองเห็นการแจ้งเตือนในระยะ 1 เมตร โดยหน้าจอจะแสดงผลแบบรหัสอักษรที่เข้าใจง่าย มองเห็นความผิดปกติได้ชัดเจน พร้อมปรับตำแหน่งการติดตั้งแบตเตอรี่ในส่วนหน้าของเซอร์กิตเบรกเกอร์ ซึ่งง่ายต่อการเปลี่ยนแบตเตอรี่

ส่วนไฮไลต์ฟังก์ชันของ New EasyPact MVS คือการเชื่อมต่อแบบไร้สัมผัสด้วย NFC (Near-field wireless) ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานไม่พลาดการเข้าถึงข้อมูล สถานะการทำงานอย่างละเอียดของเซอร์กิตเบรกเกอร์ได้ง่ายขึ้น ผ่านแอปพลิเคชัน Ecostruxure Power device ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้ากับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค โดยรองรับทั้งระบบปฏิบัติการ Android ,iOS และ iOS By Huawei

นอกจากนี้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ EPC (EcoStruxure Power Commission) ผ่านพอร์ต USB 3.0 เข้ากับแล็ปท็อป (Laptop) โดยซอฟต์แวร์ EPC ออกแบบเพื่อรองรับการเข้าถึงการตั้งค่าแบบยืดหยุ่นครอบคลุมการป้องกันอย่างละเอียดและเพิ่มความแม่นยำมากขึ้น ผู้ใช้งานสามารถทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์ได้ง่ายขึ้น รวมถึงสามารถเรียกดูข้อมูลประวัติการป้องกันย้อนหลังได้ รวมถึงการติดตามตรวจสอบกระแสพลังงาน ช่วยให้หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด และนำข้อมูลมาใช้ประมวลผลเพื่อคาดการณ์อายุการใช้งาน ทำให้ช่วยลดต้นทุนและสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้ประกอบการในระยะยาวได้

New EasyPact MVS เซอร์กิตเบรกเกอร์ดิจิทัลทรงสมาร์ท เชื่อมต่อง่าย ฟีเจอร์ทันสมัย คุ้มค่ามากขึ้น ตอบโจทย์ SMB วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ https://www.se.com/th/th/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. ประกาศผลการประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ปี’ 68

.ดร.ธานินทร์ ศิลป์จารุ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กล่าวเปิดงาน โครงการประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ประจำปี 2568 (KMUTNB Innovation Awards 2025) ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โดยประกวดรอบตัดสิน 12 ผลงานสุดท้าย จาก 60 ผลงานนวัตกรรมที่ผ่านรอบคัดเลือกจากทั่วประเทศ ในรูปแบบ Virtual Exhibition พร้อมการประกาศผลรางวัลถ้วยพระราชทานฯ ซึ่งการประกวดจัดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) INNOVATIVE IDEAS (ID) ผลงานมีการแสดงแนวคิดเริ่มต้นโดยการประยุกต์ใช้หลักการพื้นฐานมาสู่การพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ และ 2) INNOVATIVE PRODUCTS (IP) เมื่อวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2568

รศ. ดร.กัมปนาท เทียนน้อย ผู้อำนวยการสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ได้รับพระมหากรุณา จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานถ้วยรางวัล Grand Prize แก่ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน โดยการจัดงานในครั้งนี้ ยังมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างผู้คิดค้นนวัตกรรมกับผู้ที่สนใจ เพื่อขับเคลื่อนผลงานประดิษฐ์สู่การพัฒนาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ อุตสาหกรรม และเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม อันจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน

ผลการการตัดสินรางวัลงานประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ประจำปี 2568 (KMUTNB Innovation Awards 2025) ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แก่

รางวัล Grand Prize จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี

ID21 การพัฒนาเครื่องเคาะปอดแบบพกพา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเสมหะ“Development of a Portable Chest Physiotherapy Device  to Enhance Mucus Clearance Efficiency” โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย โดย น..จิรัชญา เมฆิน น..โกลัญญา มุสิกะเนตร น..รดา เอี่ยมวิทยากุล น..อริสา ดอกไม้งาม นางขัติยา ปิยะรังสี

ประเภท INNOVATIVE IDEAS (ID)

รางวัลชนะเลิศ ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล จำนวนเงิน 20,000.00 บาท

ID21 การพัฒนาเครื่องเคาะปอดแบบพกพา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเสมหะ จากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย น..จิรัชญา เมฆิน น..โกลัญญา มุสิกะเนตร น..รดา เอี่ยมวิทยากุล น..อริสา ดอกไม้งาม นางขัติยา ปิยะรังสี

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล จำนวนเงิน 15,000.00 บาท

ID27 บีเอฟไดแอกซ์ จากภาควิชาเทคนิคการแพทย์ คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย รศ.ดร.สิรินารถ ชูเมียน และ รศ.ดร.ฌลณต เกษตร

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล จำนวนเงิน 10,000.00 บาท

ID30 Glassense: กระจกอัจฉริยะที่มีเซนเซอร์ตรวจจับการสัมผัส จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดย Mr. Alexander Dressler โดย รศ.ดร.สุรเมธ  เฉลิมวิสุตม์กุล ผศ.ดร.กิตติศักดิ์  แพบัว นายอภิชาต  แก้วเจริญ และ Mr. Muhammad  Uzair

รางวัลชมเชย จำนวน 3 รางวัล ได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล จำนวนเงิน 5,000.00 บาท

ID08 เครื่องเพาะเลี้ยงสาหร่ายแบบท่อขดเพื่อเพิ่มพื้นที่รับแสง จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดย อ. ดร.ปัทมา แนวกันยา อ. ดร.สุนิสา อึ้งวิวัฒน์กุล น..สุภาวดี กล่อมแก้ว น..สิริกิตติยา ตรองจิตต์ และนายพงศ์ภรณ์ เกิดเจริญ

ID13 กล้องวงจรปิดช่วยชีวิตจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือและมหาวิทยาลัยขอนแก่นโดยนายรพีพงศ์ กุลศรีวัฒนา นายธีรยุทธ  โสดายิ่ง และอ. ดร.วีระ  สอิ้ง

ID18 วีลแชร์ไฟฟ้าปีนพื้นต่างระดับแบบถอดประกอบได้สำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการควบคุมการทำงานผ่าน IoT (วีลไคลม์) จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดย นายจิรานุวัฒน์ คะเรรัมย์ นายณัฐวัฒน์ จันสังสาน..บูรณี ปรีชาชน และนายวโรดม ทาโสม

INNOVATIVE PRODUCTS (IP)

รางวัลชนะเลิศ ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล จำนวนเงิน 40,000.00 บาท

IP03 เกตเวย์ IoT อัจฉริยะสำหรับมิเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีการสื่อสารแบบ Bluetooth จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดย รศ.ดร.ชัยยศ พิรักษ์ ดร.ณัฐนันท์ ตั้งสุนันท์ธรรม นายสมชาย เทพแพง และ นายธนายุทธ แสงสุวรรณ และ นายวรัญญู  นนทบุตร

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล จำนวนเงิน 30,000.00 บาท

IP09 โปรตีนจากน้ำหางกะทิ จาก มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดย ศ.เกียรติคุณ ดร.ฉวีวรรณ จั่นสกุล รศ.ดร.ภก.วิชาญ  เกตุจินดา และ ดร.จอมกานต์ ณ พัทลุง

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล จำนวนเงิน 20,000.00 บาท

IP10 Cricktones: เปปโตนจิ้งหรีดสำหรับเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ด้วยเทคนิคอัลตร้าโซนิคร่วมกับการไฮโดรไลซิสด้วยเอนไซม์ จาก มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง โดย น..วราภรณ์ ชำนาญกิจ นายศุภวัฒน์ บำรุงภักดิ์ น..พาณิภัค ผกากรอง และ ผศ.ดร.มณฑล เลิศวรปรีชา

รางวัลชมเชย จำนวน 3 รางวัล ได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล จำนวนเงิน 5,000.00 บาท

IP01 นวัตกรรมสเปรย์ฟิล์มเคลือบผิวโซลาร์เซลล์สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้า  สู่แหล่งพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนด้วยอนุภาคนาโนคาร์บอนดอทจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร จาก มหาวิทยาลัยมหิดล นายชนาธิป  อมรธรรมสถิต โดย นายเพชรเก้า กาญจนะวรรธนะ นายทัญชานนท์ ขาวเอียด นายนิธิศ ถิรโชติกุล และผศ.ดร.พูนทวีแซ่เตีย

IP19 เบทเทอร์รีแฮบ ระบบฟื้นฟูการทำงานของมือในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดย ดร.ธีรศิลป์ คำปิคา รศ.ดร.พิศิษฐ์ สิงห์ใจ รศ.นพ.จักรกริช กล้าผจญ อ.ดร.พรสุรีย์ คูวิจิตรสุวรรณ และ รศ.ดร.วีระเดช ทองสุวรรณ

IP29 การพัฒนาวัตถุลอยจากวัสดุรีไซเคิลและยางพาราสำหรับปกคลุมผิวแหล่งน้ำ จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดย ดร.ภูตินันท์ เอื้อวงษ์สุวรรณ นายเอกณัฐ ชื่นภิรมย์ และ ผศ.ดร.อทิตยา โต๊ะสัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีริคสันคว้าสัญญาร่วมบริหารเครือข่ายระยะยาวกับ Bharti Airtel ของอินเดีย

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) คว้าสัญญาระยะยาวการให้บริการด้านการจัดการในศูนย์ปฏิบัติการเครือข่าย หรือ NOC Managed Services (MS) จาก Bharti Airtel บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ในอินเดีย ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือที่มียาวนานระหว่างทั้งสองบริษัทให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยข้อตกลงเชิงกลยุทธ์นี้ยังตอกย้ำความเป็นผู้นำของอีริคสันในบริการด้านการจัดการหรือ Managed Services และสอดรับกับความมุ่งมั่นเพื่อนำเสนอบริการที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้ใช้บริการของ Bharti Airtel

ภายใต้ข้อตกลงฉบับนี้ อีริคสันจะเปิดใช้ Intent-Based Operations ที่ขับเคลื่อนผ่านศูนย์ปฏิบัติการเครือข่าย หรือ Network Operations Center (NOC) เพื่อจัดการเครือข่ายที่ให้บริการของ Airtel ตั้งแต่ 4G, 5G NSA, 5G SA, Fixed Wireless Access (FWA), Private Networks และ Network Slicing

และในความร่วมมือนี้ อีริคสันจะเป็นผู้ดูแลและจัดการเครือข่ายทั่วประเทศอินเดียของ Airtel ผ่านศูนย์ NOC ที่ทันสมัย พร้อมขยายขนาดบริการ FWA และ Network Slicing ไปทั่วประเทศ

มร.รันดีป เซฆอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีของ Bharti Airtel กล่าวว่า “เราตื่นเต้นที่ได้เสริมสร้างความร่วมมือกับอีริคสัน เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายของเราในการสร้างเครือข่ายที่พร้อมสำหรับอนาคต และมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้า เราเชื่อว่าเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรมเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถให้บริการตอบสนองความต้องการการใช้ดาต้าที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคในอินเดียที่เชื่อมต่อผ่านระบบดิจิทัล”

มร. แอนเดรส วิเซนเต้ หัวหน้าประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนียและอินเดียของอีริคสัน กล่าวว่า “ข้อตกลงสำคัญกับ Bharti Airtel ในครั้งนี้ เสริมสร้างความมุ่งมั่นของเราในการช่วยให้ Airtel มอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้บริการ ด้วยการใช้ประสิทธิภาพจาก Intent-Based NOC Operations จะทำให้ Airtel ปลดล็อกบริการที่มีความหลากหลายและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น และยังเปิดโอกาสการสร้างรายได้ใหม่ ๆ ให้กับ Airtel”

ความร่วมมือระหว่าง อีริคสัน กับ Bharti Airtel ที่ยาวนานกว่า 25 ปี ครอบคลุมเทคโนโลยีการสื่อสารเคลื่อนที่หลายยุคสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นจากการประกาศความร่วมมือระหว่าง Bharti Airtel และ อีริคสัน ในการพัฒนาเครือข่ายหลัก 5G เพื่อขับเคลื่อน 5G Evolution


Exit mobile version