Categories
รีวิว

สวิตช์ปรอทตรวจจับความเอียง

ป​รอท เป็น​โลหะหนัก มี​ลักษณะ​คล้าย​ตะกั่ว​แต่​เป็น​ของเหลว​และ​สามารถ​นำ​ไฟฟ้า​ได้ดี จึง​สามารถ​นำมาใช้​เป็น​ตัวเชื่อม​ระหว่าง​ขั้ว​ไฟฟ้า​ได้ ทำเป็น​สวิตช์ที่​มี​การ​ปิด​วงจร​คือ​การนำ​ไฟฟ้า​เมื่อป​รอท​ไหล​มายัง​ ขั้ว​ไฟฟ้า​ทั้งสอง​ด้าน

Categories
รีวิว

เลื่อยไฟฟ้า

เราลองมาทำความรู้จักกับเลื่อยอีกรูปแบบหนึ่งที่อาศัยพลังงานอย่างอื่นเข้ามาช่วยในการผ่อนแรงในขณะที่เรากำลังเลื่อยชิ้นงาน ทำให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วในการทำงานมากยิ่งขึ้น สิ่งที่เรากำลังจะกล่าวถึงนี้ นั้นก็คือ “เลื่อยไฟฟ้า (POWER SAW)” นั่นเอง

แต่สิ่งที่ช่วยให้เลื่อยไฟฟ้าสามารถทำงานได้อย่างเต็มความสามารถของมันนั้นคือ “มอเตอร์ไฟฟ้า(ELECTRIC MOTOR)” ถ้า ปราศจากเจ้าสิ่งนี้แล้วเลื่อยไฟฟ้าก็จะเหมือนเลื่อยมือธรรมดาเท่านั้นเอง ก่อนที่จะอธิบายถึงเลื่อยไฟฟ้า เราจะมากล่าวถึงการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าเสียก่อน เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

มอเตอร์ไฟฟ้า (ELECTRIC MOTOR)
มอเตอร์ไฟฟ้ามีอยู่หลายประเภทด้วยกัน แต่ที่กล่าวถึงในที่นี้จะกล่าวถึงมอเตอร์ไฟฟ้าแบบสองขั้ว (TWO-POLE DC ELECTRIC MOTOR) ซึ่งจะมีส่วนประกอบหลัก ๆ อยู่ด้วยกัน 6 ส่วน คือ แกนอาร์เมเจอร์หรือโรเตอร์ (Amature or rotor), คอมมิวเตเตอร์(Commutator), แปลงถ่าน (Brushes), แกนหมุน (Axle), สนามแม่เหล็ก (Field magnet) และแหล่งจ่ายไฟ (DC power supply)

การทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าจะเริ่มจาก ตัวมอเตอร์จะอาศัยสนามแม่เหล็กเป็นตัวช่วยในการหมุนของแกนมอเตอร์ โดยถ้าคุณเคยนำแท่งแม่เหล็ก 2 แท่ง มาชนกันโดยนำปลายของแม่เหล็กทั้งสองซึ่งมีขั้วที่เหมือนกัน ก็จะทำให้แม่เหล็กทั้งสองผลักกัน แต่ถ้านำปลายของแม่เหล็กทั้งสองซึ่งมีขั้วที่ต่างกัน ก็จะทำให้แม่เหล็กทั้งสองดูดกัน ภายในการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า ก็เช่นเดียวกัน แรงแม่เหล็กที่ถูกสร้างขึ้นโดยขดลวดก็จะทำให้มอเตอร์หมุนไปได้

เมื่อรู้จักการทำงานของมอเตอร์กันมาบ้างแล้ว มาคราวนี้เราก็มาทำความรู้จักกับเลื่อยไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ กันเลยดีกว่าครับ

เลื่อยฉลุไฟฟ้า (Jig Saw or Saber Saw)

เลื่อยไฟฟ้าชนิดนี้เป็นเลื่อยไฟฟ้าที่เราพบเห็นได้ ง่ายที่สุด และถือได้ว่เป็นเลื่อยที่ถูกนำมาใช้งานตามบ้านมากที่สุดด้วย จนเรียกเลื่อยชนิดนี้อีกชื่อหนึ่งว่า “เลื่อยเอนกประสงค์” อันเนื่องมาจากใช้งานง่ายและมีความคล่องตัวในการใช้งานรวมไปถึงการพกพาที่ สะดวกด้วย ลักษณะของเลื่อยชนิดนี้จะมีลักษณะคล้ายเตารีด โดยที่ด้ามถือจะมีลักษณะเป็นห่วง ทำให้ในขณะใช้งานเราจึงสามารถถือเลื่อยชนิดนี้ ด้วยมือเพียงข้างเดียวได้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็คอยประคองให้ตัวเลื่อยเคลื่อนที่ไปตามแนวที่เราต้อง การตัด ภายในของเลื่อยชนิดนี้จะประกอบไปด้วยชุดมอเตอร์และชุดฟันเฟืองที่ทำหน้าที่ ในการขยับใบเลื่อยให้ขึ้นและลงเป็นแนวตรงคล้ายกับจักรเย็บผ้า ที่บริเวณฐานของเลื่อยบางรุ่นยังสามารถปรับให้เลื่อยเอียงได้ถึง 45 องศา เพื่อทำการตัดไม้ในมุมเอียงได้ด้วย

ในการเลือกใช้ใบเลื่อยนั้น จะต้องเลือกให้ถูกต้องกับชนิดของงาน เพื่อให้งานที่ออกมานั้นมีความสวยงามและถูกต้อง โดยใบเลื่อยที่ใช้ในการตัดไม้จะมีจำนวนฟันประมาณ 3-14 ฟัน ต่อนิ้ว ถ้าจำนวนฟันมีความถี่มากจะทำให้เวลา ในการเลื่อยช้า แต่ชิ้นงานที่ได้จะมีความเรียบ ฟันเลื่อยแบบนี้จะเหมาะกับไม้เนื้อแข็ง ในขณะที่ฟันหยาบ จะใช้เวลาในการเลื่อยนั้นเร็ว แต่ชิ้นงานที่ได้จะมีผิวที่ไม่ค่อยเรียบ ฟันเลื่อยแบบนี้จะเหมาะกับไม้เนื้อแข็ง ส่วนใบเลื่อยตัดเหล็กจะมีจำนวนฟันประมาณ 14-32 ฟันต่อนิ้ว โดยในการตัดโลหะนั้นจะต้องให้ฟันเลื่อยอย่างน้อย 2 ซี่ สัมผัสกับความหนาของขอบชิ้นงานทุกครั้ง มิฉะนั้นอาจจะทำให้รอยตัดที่ออกมานั้นหยาบและใบอาจจะหักในขณะที่ทำการเลื่อย ได้ นอกจากใบเลื่อยทั้งสองที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีใบเลื่อยอีกหลายแบบ เช่น ใบเลื่อยชุบคาร์ไบด์ เหมาะสำหรับงานตัดชิ้นงานที่เป็นคอนกรีต กระเบื้องเซรามิก เหล็ก ไฟเบอร์กลาส และวัสดุอื่นๆ เป็นต้น

เลื่อยวงเดือน (Circular Saw)


เลื่อยชนิดนี้เป็นเลื่อยที่ใช้กับชิ้นงานที่มีขนาด ค่อนข้างจะใหญ่ และมีกำลังในการตัดชิ้นงานสูง โดยส่วนใหญ่แล้วเลื่อยวงเดือนจะมีกำลังงานตั้งแต่ 500-1,500 วัตต์ เพื่อให้เหมาะกับงานที่จะใช้ ขนาดของตัวเลื่อยจะกำหนดจากขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของใบเลื่อย ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 3 3/8-16 5 /16 นิ้ว รุ่นที่นิยมใช้มากที่สุดจะเป็นรุ่นขนาด 7 ¼ นิ้ว ซึ่งมีความคล่องตัวในการใช้งานมากที่สุด ลักษณะภายนอกของตัวเลื่อยจะประกอบไปด้วย

ใบเลื่อย (Blade) จะ มีอยู่หลายแบบหลายชนิดด้วยกัน ขึ้นอยู่กับงานที่จะนำไปใช้งาน เช่น ใบเลื่อยผสม จะใช้สำหรับตัดไม้ทางขวางหรือตามเสี้ยนไม้ ใบเลื่อยชนิดนี้จะมีฟันเลื่อยขนาดใหญ่ทำให้ตัดไม่ได้อย่างรวดเร็ว แต่ขอบจะมีลักษณะหยาบ,ใบ เลื่อยตัด จะใช้สำหรับตัดขวางแนวเสี้ยนไม้ ลักษณะของฟันเลื่อยจะเป็นซี่ละเอียดสลับกับฟันลบมุมคม ทำให้ตัดได้นุ่มนวล เหมาะที่จะนำไปตัดไม้อัดและไม้บาง, ใบเลื่อยไส จะใช้สำหรับตัดขวางและตัดมุมเอียง,ใบ เลื่อยซอย ออกแบบมาสำหรับตัดตามเสี้ยนไม้ได้อย่างรวดเร็ว มีร่องฟันเลื่อยที่ลึก จึงทำให้คายเศษชิ้นไม้หรือขี้เลื่อยได้ดี เป็นต้น ในการติดตั้งใบเลื่อยจะต้องให้คมของใบเลื่อยหงายขึ้นทุกครั้ง

ฝาครอบกันใบเลื่อย (Blade Guard) จะติดตั้งอยู่ 2 ส่วน คือ ส่วนบนและส่วนล่าง มีไว้เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในขณะกำลังเลื่อยชิ้นงานอยู่ โดยจะป้องกันอันตรายจากใบเลื่อยเองและเศษขี้เลื่อยที่อาจจะกระเด็นไปถูกผู้ ปฏิบัติงาน

คันยกครอบกันใบเลื่อยด้านล่าง ใช้ในการโยกให้ฝาครอบกันใบเลื่อยด้านล่าง เลื่อนออกมาจากใบเลื่อยเพื่อให้สะดวกในการถอดเปลี่ยนใบเลื่อย

ฐานเครื่อง จะมีลักษณะเป็นโลหะชิ้นเดียวกันทั้งแผ่น ใช้ในการรองเลื่อยวงเดือนให้วางอยู่บนชิ้นงานที่เราทำการตัดได้อย่างมั่นคงตัวล็อกฐาน (Tilt Adjustment) ใช้ในการปรับฐานเครื่องกับตัวเลื่อยให้ทำมุมกับชิ้นงาน โดยสามารถปรับได้สูงสุด 45 องศา กับตัวชิ้นงาน

ด้ามจับและไกสวิตซ์ (Handle and Power Switch) ลักษณะ ของด้ามจับจะมีรูปร่างที่สามารถให้มือสอดเข้าไปจับตัวด้ามจับได้ถนัด และบริเวณด้านในของด้ามจับจะมีไกสวิตซ์ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเปิดและปิดการทำ งานของเลื่อย โดยถ้าต้องการให้เลื่อยทำงานก็ให้กดสวิตซ์ลง แต่ถ้าต้องการหยุดการทำงานก็ให้ปล่อยไกสวิตซ์ ในเลื่อยบางรุ่นจะมีปุ่มกดเพิ่มขึ้นมาทางด้านข้างของไกสวิตซ์เมื่อทำการกด ปุ่มนี้แล้วไกสวิตซ์ก็จะถูกกดค้างไว้โดยที่เราไม่ต้องทำการกดไกสวิตซ์เลย

แท่นเลื่อยวงเดือน (Table Saw)

เป็นเลื่อยที่ได้รับความนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายตาม โรงเลื่อยต่าง ๆ เพราะเนื่องมาจากสามารถตัดแผ่นไม้ที่มีขนาดใหญ่ ๆ ได้อย่างสบาย และนอกจากนั้นยังสามารถที่จะตัดไม้ให้มีลักษณะต่าง ๆกัน ได้อย่างมากมาย เช่น การเซาะร่อง,การตัดทำเดือย,การบากชิ้นงาน,การตัดเฉียง เป็นต้น ลักษณะของเลื่อยชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นแท่นตัดผิวเรียบ

ด้านล่างติดตั้งมอเตอร์พร้อมใบเลื่อยวงเดือน บริเวณปลายของใบเลื่อยจะโผล่ขึ้นมาจากแท่นตัดโดยที่จะมีฝาครอบกันใบเลื่อย คอยป้องกันไม่ให้เศษขี้เลื่อยกระเด็นเข้าตาเราได้ ที่ปลายของใบเลื่อยที่โผล่พ้นมากหรือน้อยก็ได้ขึ้นอยู่กับความหนาของไม้ นอกจากนั้นใบเลื่อยยังสามารถปรับมุมเอียงได้สูงสุด 45 องศา ลักษณะของใบเลื่อยจะใช้เช่นเดียวกับเลื่อยวงเดือน ที่บริเวณแท่นตัดจะมีคานบังคับไม้สำหรับยึดไม้ เพื่อป้อนไม้ให้เป็นแนวเส้นตรง

ข้อควรระวัง : เนื่อง มาจากเลื่อยวงเดือนมีความสามารถในการตัดชิ้นงานที่สูง จึงควรใช้ความระมัดระวังและรอบคอบในการใช้งานทุกครั้ง เช่น เมื่อต้องการจะเปลี่ยนใบเลื่อยจะต้องทำการปิดสวิตซ์และถอดปลั๊กไฟก่อนทุก ครั้ง,สวมแง่นนิรภัยป้องกันดวงตาและหน้ากากกันฝุ่น พร้อมกับใส่ที่อุดหู ในขณะปฏิบัติงาน เพื่อป้องกันเศษขี้เลื่อยและเสียงของตัวเลื่อย, เป็นต้น

เลื่อยตัดปรับมุม (Miter Saw)

เลื่อยชนิดนี้เป็นเลื่อยที่สามารถทำการปรับมุมได้ตั้งแต่ 45-90 องศา ได้คงที่ตลอดเวลา โดยที่ไม่ต้องทำการปรับตั้งมุมบ่อย ๆ จึงทำให้นิยมนำไปใช้ในการตัดไม้เพื่อทำวงกรอบ,คิ้ว บัวหรือกรอบรูป เป็นต้น ในจำนวนมากๆ ทำให้ประหยัดเวลาในการเลื่อยไม้ แต่เลื่อยชนิดนี้ไม่เหมาะที่จะนำไปเลื่อยวัสดุที่เป็นเหล็ก ลักษณะของเลื่อยโดยทั่วไปจะเหมือนกับเลื่อยวงเดือนแต่เลื่อยตัดปรับมุมจะมี ฐานโลหะและมีแท่นปรับมุมเพิ่มขึ้นมา ในการปรับมุมตัดให้ทำการหมุนแท่นตัดไปตามองศาที่ต้องการแล้วทำการล็อคแท่น ตัดให้แน่น เลื่อยตัดปรับมุมที่ขายอยู่ในท้องตลาดจะมีอยู่ด้วยกันหลายขนาด แต่ที่นิยมใช้กันจะเป็นขนาด 10 นิ้ว ใบเลื่อยที่ใช้โดยส่วนใหญ่จะเป็นใบเลื่อยแบบผสม อันเนื่องมาจากรอยตัดที่ได้จะเรียบพอสมควร แต่ถ้าเราต้องการงานตัดที่มีความเรียบเป็นพิเศษควรใช้ใบเลื่อยไสหรือชนิด ปลายคาร์ไบ

เลื่อยชักใบ (Reciprocating Saw)

เลื่อยชักใบเป็นเลื่อยที่ถือได้ว่ามีความคล่องตัวใน การใช้งานมากที่สุด ลักษณะของเลื่อยจะมีลักษณะคล้ายกับสว่านมือ การทำงานของใบเลื่อยจะขยับขึ้นลงตามแนวตรงเหมือนกับในเลื่อยฉลุไฟฟ้าจึงถือ ได้ว่าเลื่อยชนิดนี้เป็นเลื่อยเอนกประสงค์อีกชนิดหนึ่งที่สามารถนำไปใช้งาน ตามสถานที่ต่าง ๆได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว รวมทั้งยังสามารถที่จะนำไปตัดวัสดุได้แทบจะทุกชนิดเลยทีเดียว (ขึ้นอยู่กับใบเลื่อย) ตัว เลื่อยถูกออกแบบมาสำหรับการผ่าไม้แปรรูปและใช้ในงานก่อสร้าง เช่น ตัดช่องเปิดเพื่อติดตั้งประตู หน้าต่าง ช่องแอร์ หรืองานประปา เป็นต้น

ความเร็วในการเคลื่อนที่ของใบเลื่อยในบางรุ่นไม่สามารปรับความเร็วได้จะมีเพียงความเร็วในระดับเดียว คือประมาณ 2,000รอบต่อนาที ในบางรุ่นสามารถปรับได้ถึง 2 ระดับ และในบางรุ่นก็สามารถที่จะปรับได้หลายระดับเลยทีเดียว โดยความเร็วในการเคลื่อนที่ของใบเลื่อยนี้จะต้องสัมพันธ์กับการตัดวัสดุด้วย นั่นก็คือ เมื่อต้องการตัดเหล็กจะต้องใช้ความเร็วที่ต่ำ แต่ถ้าต้องการตัดวัสดุจำพวกพลาสติกควรจะใช้ความเร็วปานกลาง และถ้าต้องการตัดวัสดุจำพวกไม้หรือไม้อัด ควรจะใช้ความเร็วที่สูง ใบเลื่อยที่ใช้นั้น จะมีความยาวตั้งแต่ 2 ½ – 12 นิ้ว ลักษณะของฟันเลื่อยจะมีลักษณะเหมือนกับใบเลื่อยฉลุ ลักษณะในการจับเลื่อย ให้ใช้มือข้างหนึ่งจับที่บริเวณด้ามจับ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งให้จับที่คอจับให้มั่นคง แล้วจึงทำการกดไกสวิตซ์เพื่อทำการเลื่อยชิ้นงาน

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเลื่อยไฟฟ้าชนิดต่าง ๆที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ยังมีอีกหลายชนิดที่เรายังไม่ได้แนะนำ เช่นเลื่อยสายพานใช้ในการเลื่อยไม้ พลาสติก อะลูมิเนียม และแผ่นโลหะ เป็นต้น นอกจากนั้นใบเลื่อยบางชนิดที่กล่าวมานี้นอกจากจะใช้ไฟบ้านเป็นตัวจ่าย พลังงานแล้ว ยังมีแบบที่ใช้แบตเตอรี่อีกด้วย ซึ่งทำให้เกิดความสะดวกในการใช้งานยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับในการใช้งานในเลื่อยชนิดต่าง ๆ จะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลัง และควรจะเก็บให้พ้นจากมือเด็กด้วยนะครับ

Categories
รีวิว

มิเตอร์

“ถ้าพูดถึงมิเตอร์แล้วนักประดิษฐ์บางท่านอาจจะนึกไปถึงมิเตอร์วัดไฟตามบ้าน ที่แขวนอยู่ตามเสาไฟฟ้ายิ่งมันหมุนเร็วเท่าไร พอบิลค่าไฟมาทีไรก็จะเป็นลมทุกทีไป ส่วนนักประดิษฐ์ที่ต้องมีการคลุกคลี เกี่ยวกับทางด้านไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์แล้วจะรู้จัก และคุ้นเคย

กับการใช้งานมิเตอร์ชนิดต่างๆ เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

ดังนั้นในบทความนี้จึงจะมา และนำให้นักประดิษฐ์แต่ละท่านได้รู้จักกับมิเตอร์ชนิดต่างๆ รวมทั้งได้รู้จักวิธีการใช้งาน เพื่อที่ว่าจะได้นำมันไปใช้งาน ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสิ่งประดิษฐ์ที่ท่านประดิษฐ์อยู่ คราวนี้เราก็มาทำความรู้จักกับมิเตอร์ชนิดต่าง ๆ กันเลย”

โวลต์มิเตอร์ (Voltmeter)

มิเตอร์ชนิดนี้จะมีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันโดยแบ่งตามลักษณะที่นำไปใช้ ได้แก่โวลต์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง (DC Voltmeter) ใช้สำหรับวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current) โดยส่วนใหญ่แล้ว ย่านการวัดของมิเตอร์ จะสามารถวัดได้ตั้งแต่เป็นมิลลิโวลต์ (mV) ไปจนถึงหลายหมื่นโวลต์ และโวลต์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Voltmeter) ใช้สำหรับวัดกระแสไฟฟ้าสลับ (Alternating Current) ย่านการวัดของมิเตอร์จะเหมือนกับโวลต์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง การใช้งานของมิเตอร์ทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีลักษณะที่คล้ายกัน นั่นก็คือ เวลาที่นำโวลต์มิเตอร์ไปวัดแรงดันไฟฟ้า (Voltage) ให้ นำหัววัด ไปวัดคร่อม ตรงจุดที่เราต้องการวัด ข้อควรระวังในการใช้โวลต์มิเตอร์กระแสตรงจะอยู่ที่รเจะต้องระมัดระวังเรื่อง ของขั้วไฟฟ้า และควรจะทำการปรับย่านวัดให้สูงไว้ก่อนแล้วจึงค่อยปรับลดลงมา ให้อ่านง่ายขึ้น เพราะมิฉะนั้นอาจจะทำให้ตัวมิเตอร์เกิดความเสียหายได้

แอมมิเตอร์ (Ammeter)

แอมป์มิเตอร์ชนิดนี้จะมีอยู่ 2 ชนิด อันได้แก่แอมป์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง (DC Amp meter) ใช้สำหรับวัดกระแสไฟฟ้ากระแสตรง (DCAmpere) โดยส่วนใหญ่ย่านการวัดของมิเตอร์ชนิดนี้ จะสามารถวัดได้ตั้งแต่ เป็นไมโครแอมป์ ไปจนถึงหลายร้อยแอมป์ และแอมป์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Amp meter) ใช้สำหรับวัดกระแสไฟฟ้ากระแสสลับ (DCAmpere) ย่านการวัดจะเหมือนกับแอมป์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง ลักษณะการใช้งานของแอมป์มิเตอร์ ก็คือเวลานำแอมป์มิเตอร์ไปวัดกระแสไฟฟ้า (Ampere) ไป ต่ออนุกรม กับจุดที่เราต้องการวัด ข้อควรระวังในการใช้แอมป์มิเตอร์ กระแสตรงจะต้องคำนึงถึงขั้วไฟฟ้า และควรจะทำการปรับย่านวัดให้สูงไว้ก่อนแล้วจึงปรับลดลงมาให้อ่านง่ายขึ้น เพราะมิฉะนั้นจะทำให้มิเตอร์ เกิดความเสียหายอันเกิดจากการกลับขั้วได้

วัตต์มิเตอร์ (Wattmeter)

วัตต์มิเตอร์มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน โดยส่วนใหญ่แล้วเราจะพบเห็นได้ง่ายตามเสาไฟฟ้าและติดอยู่ที่หน้าบ้านของเรา เอง เราจะเรียกวัตต์มิเตอร์ชนิดนี้ว่า “กิโลวัตต์-เอาร์มิเตอร์” (Kilowatt-Hour Meter) มิเตอร์ ชนิดนี้โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีทั้งแบบ เป็นจานหมุนซึ่งใช้งานตามบ้านทั่วๆ ไป และอีกแบบหนึ่ง จะเป็นลักษณะของตัวเลขดิจิตอลซึ่งใช้ตามโรงงานอุตสาหกรรมหรือตามสถานที่ที่ มีการใช้ปริมาณสูง ๆ มิเตอร์ชนิดนี้จะใช้สำหรับวัดปริมาณกำลังไฟฟ้า (Watt) โดยจะสามารถใช้วัดได้ทั้งไฟฟ้ากระแสตรงและไฟฟ้ากระแสสลับ

โอห์มมิเตอร์ (Ohmmeter)

มิเตอร์ชนิดนี้มีไว้สำหรับวัดค่าความต้านทาน ของวัสดุที่มีความต้านทานอยู่ภายใน เช่น ตัวต้านทาน (Resistor) เป็น ต้น โดยภายในของโอห์มมิเตอร์จะมีแบตเตอรี่ เพื่อให้ตัวมิเตอร์สามารถอ่านค่าความต้านทาน ได้โดยตรงโดยไม่ต้องอาศัยแหล่งจ่ายไฟจากภายนอกเลย ก่อนที่จะนำโอห์มมิเตอร์ไปวัดความต้านทานนั้น จะต้องทำการปรับตั้งค่าความต้านทานที่ใช้ควบคุมโอห์มมิเตอร์จนกระทั่งเข็ม หรือตัวเลขชี้ที่ศูนย์โอห์ม(Adjust Zero Ohm) การ ปรับตั้งค่าก็เพียงแต่นำสายวัดของโอห์มมิเตอร์ก็คือในขณะทำงานทำการวัดค่า ความต้านทานจะต้องไม่มีแหล่งจ่ายไฟจากภายนอกเพราะจะทำให้เข็มหรือตัวเลข ดิจิตอลเกิดการเสียหาย

มัลติมิเตอร์ (Multimeter)

มัลติมิเตอร์ถือได้ว่าเป็นที่นิยมกันอย่างมากเพราะภายในตัวมิเตอร์ได้ทำ การรวมเอามิเตอร์แบบต่างๆ มารวมไว้ในตัวเดียวกัน เช่น โวลต์มิเตอร์,แอมมิเตอร์ และโอห์มมิเตอร์ เป็นต้น ทำให้เกิดความสะดวก ในการใช้งานจริงตามพื้นที่ต่างๆ ลกษณะการใช้งาน ก็เพียงแต่ทำการปรับย่านวัดให้ตรงกับสิ่งสิ่งที่เราต้องการจะวัด แล้วจึงจะทำการวัดตามแบบของมิเตอร์ชนิดนั้นๆ ต่อไป

เทอร์โมมิเตอร์ (Thermometer)

เมื่อกล่าวถึงเทอร์โมมิเตอร์แล้ว ทุกท่านก็จงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี ในนามของ “ปรอทวัดไข้” เพราะเคยได้สัมผัสกันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็เคยใช้ทั้งนั้น แต่จริง ๆแล้วเทอร์โมมิเตอร์นั้นถือได้ว่ามีบทบาทเป็นอย่างมากสำหรับทุกวงการเลยที เดียว ไม่ว่าจะเป็นวงการแพทย์, เกษตรกรรม, อุตสาหกรรม และไม่เว้นแม้แต่ในชีวิตประจำวันของเรา ๆ ท่านๆก็ล้วนแต่ต้องพึ่งเจ้าเทอร์โมมิเตอร์ด้วยกันทั้งนั้น เทอร์โมมิเตอร์มีอยู่หลายแบบด้วยกัน ได้แก่ แบบเข็ม, แบบใช้สารปรอท และแบบเป็นตัวเลข ดิจิตอล เป็นต้น

ออสซิสโลสโคป (Oscilloscope)

ออสซิสโลสโคป ถือได้ว่าเป็นมิเตอร์อีกชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกันกับมิเตอร์แบบอื่น ๆ แต่ลักษณะภายนอกของออสซิสโลสโคป จะมีลักษณะเหมือนกับหน้าจอของเครื่องรับโทรทัศน์ขนาดเล็ก พร้อมกับมีปุ่มต่างๆ ไว้สำหรับปรับตั้งค่าให้เหมาะสมกับงานที่ต้องการวัด โดยส่วนใหญ่ออสซิสโลสโคป จะถูกนำมาใช้งานที่เกี่ยวข้องกับ ทางด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นจำนวนมาก เพราะตัวเครื่องจะแสดงลักษณะเป็นคลื่นทางไฟฟ้า ทำให้บรรดาช่างและวิศวกรสามารถที่จะวิเคราะห์รูปคลื่น เพื่อนำไปออกแบบวงจร หรือวิเคราะห์ อาการเสียของอุปกรณ์ไฟฟ้าได้

นี่เป็นเพียงตัวอย่างของมิเตอร์ชนิดต่าง ๆ ที่เราได้แนะนำให้ได้รู้จักกัน แต่ความเป็นจริงแล้ว ยังมีมิเตอร์อีกหลายชนิด เช่น มิเตอร์วัดค่าคาปาซิสแตนซ์, มิเตอร์ วัดค่า อินดักแตนซ์ เป็นต้น สำหรับท่านที่ต้องการนำมิเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานนั้น จะต้องทำการศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของมิเตอร์แต่ละตัวเสียก่อน เพื่อที่จะได้ประหยัดทั้งเงินและเวลาในการปฏิบัติงานจริง แล้วในตอนหน้าเราค่อยมาติดตามถึง เครื่องมือชิ้นต่อไปกันครับ สำหรับในตอนนี้เนื้อที่หมด หรือเนื้อหาหมดล่ะจ๊ะ อิอิ สวัสดีครับ

Categories
รีวิว

หัวแร้ง

ในการประดิษฐ์ชิ้นงานต่างๆ นักประดิษฐ์ทุกคนคงยากที่จะปฏิเสธเครื่องมือที่จะมาช่วยสร้างสรรค์งานได้ สารพัดนึกตัวนี้ เพราะบางคนก็ใช้มันอย่างถูกวัตถุประสงค์ และบางคนก็ใช้มันในการเจาะสิ่งประดิษฐ์ของตัวเองให้เป็นรู

แม้กระทั่ง ใช้มันให้ความร้อนในการวาดลายผ้าก็ยังมี ในเมื่อคุณประโยชน์ของมัน ชั่งเอนกอนันต์เสียขนาดนี้ เราจะไม่ทำความรู้จักกันหน่อยหรือครับ

หัวแร้งที่ ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกันหลายแบบ หลายขนาด ตามการใช้งานของแต่ละคน แต่โดยส่วนมากแล้ว หัวแร้งที่ใช้กันอยู่จะเป็นแบบหัวแร้งแช่ จนบางท่านอาจไม่รู้เลยว่ายังมีหัวแร้งแบบอื่นๆ อีก

หัวแร้งแช่ (Soldering iron)

หัวแร้งแบบ นี้ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน ทั้งนักประดิษฐ์หน้าใหม่และหน้าเก๊าเก่า ก็ต้องมีติดบ้านไว้ ซึ่งขนาดของหัวแร้งแช่นี้ ถูกแบ่งตามกำลังวัตต์ ซึ่งหากมีกำลังวัตต์ต่ำ ความร้อนก็ต่ำ แต่หากมีกำลังวัตต์สูงความร้อนก็จะสูงตาม

นอกจากนั้นในหัวแร้งแช่รุ่นใหม่ๆ ยังมีปุ่มเร่งความร้อนให้สูงขึ้นแบบทันทีทันใดอีกด้วย

ข้อดี : ใช้งานง่ายมีกำลังวัตต์ให้เลือกซื้อมาใช้งานตามความต้องการ มีอะไหล่ขายอยู่ทั่วไปทำให้ง่ายต่อการซ่อมบำรุง

ข้อเสีย : หากจ่ายไฟเลี้ยงหรือเสียบปลั๊กทิ้งไว้นานๆ อาจทำให้ปลายของหัวแร้งเสียหายได้ เมื่อจะนำไปใช้งานต้องรอให้ความร้อนถึงจุดใช้งานก่อน

หัวแร้งปืน (Soldering gun)

สาเหตุที่ มันถูกเรียกว่าหัวแร้งปืนนั้น ก็เป็นเพราะรูปลักษณ์ของมันที่มีด้ามจับเหมือนปืน และมีปุ่มเร่งความร้อนเหมือนไกปืนอีกด้วย ด้วยลักษณะพิเศษที่มีปุ่มเร่งความร้อนนี้เอง จึงเป็นที่ชื่นชอบของพวกชอบความรวดเร็วกดปุ๊บ ร้อนปั๊บ

การทำงานของหัวแร้งปืนนั้น จะเหมือนกับหัวแร้งแช่ แตกต่างกันตรงขดลวดความร้อนภายในจะมีอยู่ 2 ขด โดยจะมีขดลวดความร้อนต่ำ และขดลวดความร้อนสูงการใช้งานขึ้นอยู่กับปุ่มเร่งความร้อนที่มีลักษณะเหมือน ไกปืน ถ้าไม่มีการกดปุ่มนี้จะเป็นการใช้ขดลวดความร้อนต่ำ แต่เมื่อมีการกดปุ่มเร่งความร้อน จะเป็นการเปลี่ยนให้ขดลวดความร้อนสูงทำงานแทน ทำให้ความร้อนสูงได้รวดเร็ว (หัวแร้ง ปืนในที่นี้ไม่ได้หมายรวมถึงหัวแร้งปืนแบบเก่าที่เร่งความร้อนด้วยขดลวดความ ร้อน เนื่องจากไม่เหมาะสำหรับใช้งานกับการบัดกรีเชื่อมต่ออุปกรณ์ขนาดเล็ก)

ข้อดี : ใช้งานสะดวก มีปุ่มเร่งความร้อนทำให้สามารถบัดกรีในจุดที่ต้องการใช้ความร้อนสูงได้

ข้อเสีย : ถ้ามีการกดปุ่มเร่งความร้อนเป็นเวลานานเกินไป จะทำให้ด้ามจับเกิดความเสียหายได้ รวมทั้งจะมีผลต่อขดลวดความร้อนด้วย

หมายเหตุ : หัวแร้งปืนในอดีตเป็นหัวแร้งที่ให้ความร้อนจากขดลวดทองแดงใช้กำลังไฟฟ้าสูงหลัก 100 วัตต์ แต่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมเพราะกินไฟมากประกอบกับอุปกรณ์และลายทองแดงในสมัยนี้มีขนาดเล็กลง จึงไม่เหมาะในการนำไปใช้งานเพราะจะทำให้อุปกรณ์และลายทองแดงเสียหาย และมีราคาแพงกว่าหัวแร้งแช่ที่มีปุ่มเร่งความร้อน

หัวแร้งแก๊ส (Portable gas soldering)

เป็น หัวแร้งที่สามารถพกพาไปใช้งานได้ทุกที่ ทุกสถานการณ์ เพราะมันไม่ต้องอาศัยพลังงานจากไฟฟ้าเพื่อสร้างความร้อน แต่จะใชแก๊สแทนไฟฟ้า โดยส่วนมาก หัวแร้งแก๊สจะให้ความร้อนได้สูงสุดประมาณ 1,300 องศาเซลเซียส หรื 2,400 อา ศาฟาเรนไฮต์ สามารถปรับความร้อนได้ เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะงานที่เราต้องการ โดยการใช้งานจะมีลักษณะเดียวกับเตาแก๊สในครัวของเรานั่นเองที่มีวาล์วใช้ เปิด ปรับ ปิด ปริมาณแก๊สครับ โดยหัวแร้งแก๊สมี 2 ลักษณะคือ หัวแร้งแก๊สแบบปากกาและแบบปืน

ข้อดี : มีขนาดไม่ใหญ่มาก พกพาง่ายใช้งานสะดวกทุกสถานที่ สามารถใช้งานในลักษณะอื่นที่นอกจากการบัดกรีก็ได้

ข้อเสีย : การ ใช้หัวแร้งแก๊สนี้ ต้องใช้ความระมัดระวังพิเศษ และต้องเก็บรักษาไว้ในที่ๆ อุณหภูมิไม่สูงเกินไป โดยเฉพาะกระป๋องแก๊สสำหรับบรรจุแก๊ส

หัวแร้งที่ นำมาแนะนำนี้ยังไม่ครบทุกแบบที่มีการผลิตกันออกมาหรอกนะครับ แต่นำมาเสนอเฉพาะ หัวแร้งที่เหมาะกับงานประดิษฐ์สำหรับบุคคลทั่วไปเท่านั้นครับ

ซื้อหามาใช้งาน

สำหรับสถาน ที่จำหน่ายคงไม่ต้องให้บอกกระมัง มีขายกันให้เกลื่อนตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เรียกว่าร้านไหนมีลำโพงวางอยู่หน้าร้านก็เข้าไปขอซื้อได้เลยนะครับ แต่หากจะให้แนะนำกันจริงๆ ก็คงจะเป็นแถวบ้านหม้อ หรือเข้าไปที่ห้างสรรพสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในย่านบ้านหม้อที่เก่าแก่และโด่ง ดังมายาวนาน นั่นก็คือ บริษัท นัฐพงษ์ เซลล์แอนด์เซอร์วิส จำกัด

Categories
Gadget คุณทำเองได้ (DIY)

Simple Tablet Stand

ทุกวันนี้ใครๆ ก็มีแท็บเล็ต สมาร์ตโฟน หรืออุปกรณ์อัจฉริยะพกพาอื่นๆ และหลายท่านก็ใช้มันเป็นเครื่องรับโทรทัศน์ดิจิตอลบ้าง เครื่องเล่นไฟล์ภาพยนตร์บ้าง เพื่อสร้างความบันเทิงในครอบครัว แต่ด้วยความหลากหลายของยี่ห้อ ขนาด รูปทรง โดยเฉพาะทางผู้ผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์

ทำให้ซองที่ผลิตออกมา ยากที่จะตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ครบถ้วน เช่น ช่องหูฟังไม่ตรง บ้างก็ช่องลำโพงไม่ตรง ทำให้เสียงเบาเกินไป นี่จึงเป็นที่มาของขาตั้งแท็ปเล็ตราคาประหยัดสุดคุ้มตัวนี้ หากสนใจก็มาเริ่มประดิษฐ์กันเลย

(1) เตรียมพลาสวูดขนาด 2.5 x 12 ซม. จำนวน 2 ชิ้น ดังรูป

(2) บากร่องของพลาสวูดทั้งสองชิ้นโดยวัดให้ได้ขนาดดังรูป

(3) เมื่อบากร่องเสร็จแล้วนำมาเกาะกันไว้ดังรูป

(4) นำแท็บเล็ตมาวางทาบด้านบนเพื่อหาตำแหน่ง ความกว้างของร่องและมุมเอียงที่เหมาะสม แล้วใช้ดินสอวาดเป็นแนวตามขนาดและความเอียงที่ต้องการดังรูป

(5) ใช้คัตเตอร์บากพลาสวูดให้เป็นร่อง โดยตั้งใบมีดให้ตรงแล้วค่อยๆ กดลงไปจนได้ระดับที่วาดไว้ดังรูป

(6) นำไปทาบกับพลาสวูดอีกชิ้นหนึ่งแล้วบากเป็นร่องเช่นเดียวกัน จะได้พลาสวูด 2 ชิ้นที่บากเป็นร่องชิ้นละ 2 ร่องดังรูป

(7) ขั้นตอนสุดท้ายเพียงนำพลาสวูดทั้ง 2 ชิ้นมาวางไขว้กันให้แนวของร่องที่เราบากไว้ในขั้นตอนที่แล้วหันไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อรองรับตัวอุปกรณ์ดังรูป

เพียงแค่นี้ก็ได้แท่นวางแท็บเล็ตอย่างง่ายๆ จากวัสดุที่เราคุ้ยเคย สามารถถอดแยกชิ้นเพื่อพกพาใส่กระเป๋าเสื้อไปกับเราได้ทุกที่

ผ่านไปอีกหนึ่งไอเดียง่ายๆ ที่นำมาแนะนำ โอกาสหน้าจะมีไอเดียการประดิษฐ์อะไรอีกก็อย่าลืมติดตามให้ได้นะครับ สำหรับตอนนี้ขอลาไปก่อน

หมายเหตุ : แผ่นพลาสวูดขนาด A4 มีจำหน่ายที่ www.inex.co.th 


เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Categories
Gadget คุณทำเองได้ (DIY)

อุปกรณ์ไล่สุนัข

ปัญหาสุนัขฉี่ใส่ล้อรถ หรือแมวมารดน้ำต้นไม้ให้ แต่ต้นไม้เหี่ยวลงทุกวันจะหมดไปด้วยอุปกรณ์ไล่สุนัขและแมว คอยปกป้องพื้นที่จากเจ้าสี่ขา หลายคนมีวิธีจัดการหรือป้องกันอาณาเขตหวงห้ามให้ปลอดภัยจากฉี่ ของเจ้าสี่ขา (หมา) ที่แตกต่างกันไป

บ้างก็โรยพริกไทไว้บริเวณสวนเพาะปลูกกันเจ้าเหมียวมาฉี่ใส่ต้นไม้ แน่นอนว่าต้องโรยกันแทบทุกวัน ส่วนคนรักรถก็ใช้ขวดน้ำวางล้อมรอบรถยนต์คันโปรดไม่ให้สุนัขมาฉี่ใส่ล้อรถ เมื่อจอดรถก็เอามาวาง แต่พอต้องการใช้รถก็ต้องมาเก็บออก ซึ่งดูแล้วไม่สะดวกสักเท่าไหร่ เหล่านี้ล้วนเป็นภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเลยทีเดียว

แต่จะดีกว่ามั้ยหากมีอุปกรณ์ที่สามารถสอดส่อง เป็นหูเป็นตาแทนคุณ และแถมยังติดตั้งง่าย สะดวก รวดเร็ว เพียงคุณนำไปวางในพื้นที่ที่คุณต้องการปกป้อง ซึ่งเจ้าอุปกรณ์นี้มีระยะทำการที่หวังผลได้ประมาณ 15 ถึง 20 ฟุต ซึ่งก็ไกลเพียงพอสำหรับพื้นที่ขนาดเล็ก

รูปแบบการทำงาน
เห็นชื่อโครงงานแล้วอย่าเพิ่งคิดว่าเราจะใช้เสียงไล่ให้รำคาญหูคนอื่น หรือสร้างความทรมานให้กับเจ้าสี่ขานะครับ เพราะผู้เขียนก็เป็นอีกคนที่รักในความขี้อ้อนของพวกมัน แต่มันก็ต้องมีพื้นที่หวงห้ามกันบ้างเป็นธรรมดา การขับไล่นี้เราใช้วิธีละมุนละม่อมด้วยการฉีดน้ำไล่ โดยอาศัย ZX-PIR เป็นตัวตรวจจับความเคลื่อนไหวของเจ้าสี่ขา เมื่อ ZX-PIR ตรวจพบความเคลื่อนไหวที่เข้ามาในบริเวณหวงห้าม ZX-PIR จะส่งกระแสไฟฟ้าไปจ่ายให้กับรีเลย์เพื่อเปิดปั้มน้ำให้ทำงานนั่นเอง และที่สำคัญไม่ต้องเขียนโปรแกรม โครงงานนี้จึงเหมาะสำหรับทุกคน โดยไม่ต้องมีความรู้อิเล็กทรอนิกส์มากมายนัก มีเพียงความสามารถในการบัดกรีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เล็กน้อยก็พอแล้วครับ

การทำงานของวงจร
จากรูปที่ 1 เป็นวงจรขับขดลวดรีเลย์อย่างง่ายที่รับการสั่งงานจากขา OUT ของ ZX-PIR การทำงานเริ่มจากเมื่อจ่ายไฟเข้าวงจร ZX-PIR จะเริ่มตรวจจับความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต เมื่อตรวจพบความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต ZX-PIR จะส่งแรงดัน +5V ออกทางขา OUT เพื่อไบอัสให้กับ Q1 ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลลงกราวด์รีเลย์ต่อหน้าสัมผัส C และ NO ส่งผลให้ปั้มน้ำ ทำงาน

สำหรับหลักการทำงานของวงจรก็มีเพียงเท่านี้ ต่อไปก็มาถึงการจัดวางอุปกรณ์ลงแผ่นวงจรพิมพ์

การติดตั้งอุปกรณ์ลงแผ่นวงจรพิมพ์
เนื่องจากโครงงานนี้ใช้อุปกรณ์ไม่มากจึงไม่ต้องทำแผ่นวงจรพิมพ์ใหม่ให้เสียเวลา ในที่นี้ใช้แผ่นวงจรพิมพ์อเนกประสงค์รุ่น uPCB01F (ดูรายละเอียดได้จากหน้า TPE Shop) โดยนำอุปกรณ์ตามรายการมาจัดวางดังรูปที่ 2.1 และเชื่อมต่อจุดต่างๆ ด้านล่างให้ถึงกันดังรูปที่ 2.2

เมื่อติดตั้งอุปกรณ์ลงแผ่นวงจรพิมพ์แล้วให้นำอะแดปเตอร์ไฟตรง +5V มาถอดเอาเฉพาะวงจรแล้วจั้มสายไฟออกดังรูปที่ 3.3 นำไปต่อเข้ากับเทอร์มินอลบล็อกที่จุด Vin ของแผงวงจรหลัก พักส่วนของวงจรไว้แค่นี้ก่อนต่อไปก็เป็นงานฝีมือสร้างกล่องบรรจุให้โครงงานกัน

การสร้างกล่องบรรจุโครงงาน
สำหรับกล่องบรรจุนี้ออกแบบให้สามารถปรับมุมก้มเงยได้ดังรูปที่ 4 (รูปที่ 4 จะใช้อ้างอิงตลอดการสร้างกล่อง) โดยวัสดุที่ใช้สร้างตัวต้นแบบก็คือ พลาสวูดหนา 5 มม. ขนาด A4 จำนวน 2 แผ่น นำมาตัดให้ได้ขนาดและจำนวนดังรูปวาดที่ 5 แล้วเริ่มสร้างตามขั้นตอนต่อไปนี้

 

 

(1) ประกอบเป็นกล่องสำหรับติดตั้งวงจรโดยใช้ชิ้นส่วน A, B, D และ E ประกอบกันให้ได้ลักษณะดังรูปที่ 4 ด้วยกาวร้อน จะได้โครงสร้างที่มีลักษณะเป็นช่อง 2 ชั้นดังรูปที่ 6 ชั้นล่างสำหรับติดตั้งท่อ PVC 4 หุน ( 1/2 นิ้ว ) ชั้นบนสำหรับติดตั้งแผงวงจร

(2) ใช้ปืนเป่าลมร้อนเป่าปลายท่อ PVC ให้อ่อนตัวลง จากนั้นบีบให้ได้รูปทรงดังรูปที่ 7 ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อให้น้ำที่ฉีดออกมาเป็นมุมกว้างและกระจายตัวเป็นฝอย

(3) นำพลาสวูดแผ่น F มาเจาะเป็นช่อง 2 ช่องดังรูปที่ 8.1 โดยช่องบนสำหรับติดตั้ง ZX-PIR ช่องล่างสำหรับติดตั้งท่อ PVC ที่เราพับปลายไว้จากขั้นตอนที่ 2 จากนั้นนำมาติดเป็นด้านหน้ากล่องด้วยกาวร้อนดังรูปที่ 8.3

(4) ติดตั้ง ZX-PIR ด้วยปืนยิงกาวให้ส่วนโดมยื่นออกมาดังรูปที่ 9.1 และติดตั้งแผงวงจรดังรูป 9.3 จากนั้นเชื่อมต่อสายจากจุดต่อ IDC 3 ขา ของแผงวงจรหลักเข้ากับ ZX-PIR ระวังต่อผิดขั้วนะครับ

(5) เจาะรูพลาสวูดแผ่น G ให้มีขนาดเท่ากับท่อ PVC ที่เตรียมไว้ดังรูปที่ 10.1 และสอดท่อเข้าไปดังรูปที่ 10.2 จากนั้นประกบแผ่น G เข้าไปด้วยกาวร้อนดังรูปที่ 10.3

(6) เชื่อมต่อวงจรด้านในโดยอ้างอิงจากรูปวงจรที่ 1 ให้มีจุดต่อยื่นออกมาด้านนอกเพียง 2 จุดคือ จุดต่อไฟเข้า 220Vac และจุดต่อปั้มน้ำดังรูปที่ 11.2

(7) นำพลาสวูดแผ่น H มาเป่าด้วยปืนเป่าลมร้อนที่กึ่งกลางของแผ่นจนพลาสวูดเริ่มอ่อนตัวแล้วพับให้เข้ากับขอบของภาชนะที่เราจะนำมาใส่น้ำเพื่อเอาไว้ไล่เจ้าสี่ขาดังรูปที่ 12

(8) เจาะรูขนาด 3 มม. สำหรับเป็นจุดหมุนให้กับแผ่นพลาสวูด i, J, K, L จากนั้นตัดชิ้น k และ L ให้โค้งรับกับแผ่น H ดังรูปที่ 13.1 จับคู่โดยการนำแผ่น i และ K ร้อยเข้าด้วยกันด้วยสกรูขนาด 3×15 มม. ดังรูปที่ 13.2 จะได้ส่วนขาของกล่อง 2 ขาที่สามารถปรับมุมก้มเงยได้ตามต้องการ

(9) นำขาในส่วนของ K และ L ประกบเข้ากับส่วนโค้งของแผ่น H ด้วยกาวร้อนดังรูปที่ 14.1 ส่วนด้านของแผ่น i และ J ให้ยึดเข้ากับด้านล่างของกล่องดังรูปที่ 14.2

(10) นำชิ้นงานที่ประกอบเสร็จแล้วไปติดตั้งกับขอบของภาชนะดังรูปที่ 15.1 แล้วติดตั้งปั้มน้ำพร้อมสายยางดังรูปที่ 15.2

(11) เชื่อมต่อสายไฟด้านหลังให้เรียบร้อยและใช้เทปกาวพันระหว่างท่อ PVC และสายยางให้แน่น เพื่อกันน้ำรั่วออกมาดังรูปที่ 16.1 จากนั้นเติมน้ำให้ท่วมปั้มแล้วนำไปวางในบริเวณที่ต้องการปกป้องเพื่อทำการทดสอบ

การทดสอบและปรับแต่ง
เริ่มด้วยการจ่ายไฟ 220Vac เข้าวงจร แล้วเริ่มทดสอบการทำงานโดยการเดินผ่านในระยะหวังผลหากใช้กับสวนขนาดเล็กก็ประมาณ 5 เมตร ปั้มน้ำจะต้องทำการฉีดน้ำ หากวงจรทำงานได้ในระยะใกล้เพียง 2 ถึง 3 เมตร ให้สลับจั้มเปอร์ที่ตัว ZX-PIR มาทางฝั่ง L จะทำให้ ZX-PIR ตรวจจับได้ไวขึ้น

หากปั้มน้ำทำงานบ่อยมาก ทั้งที่ไม่มีความเคลื่อนไหวตัดผ่าน อาจเป็นเพราะ ZX-PIR ถูกรบกวนจากอินฟราเรดของดวงอาทิตย์ ควรใช้ท่อ PVC ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว ตัดให้ได้ความยาวประมาณ 2 นิ้ว นำมาครอบโดมของ ZX-PIR เอาไว้ เพื่อลดการรบกวนของแสงภายนอก จะช่วยให้การทำงานแม่นยำขึ้น

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็นำพลาสวูดแผ่น C มาปิดด้านบนก็เป็นอันเสร็จสิ้นการสร้างพร้อมนำไปใช้งานจริง

การประยุกต์ใช้งานอื่นๆ
(1)ประยุกต์ให้เคลื่อนย้ายได้
หากต้องการเคลื่อนย้ายวางที่ใดก็ได้ตามต้องการนั้น ทำได้โดยใช้ปั้มน้ำ ไฟตรงขนาด 12 โวลต์ สำหรับฉีดน้ำล้างกระจกรถยนต์ ส่วนภาคจ่ายไฟสำหรับวงจรก็สามารถใช้กะบะถ่าน AA 4 ก้อนจ่ายเข้าจุดต่อ Vin ได้โดยตรงเลย ส่วนแหล่งจ่ายไฟสำหรับปั้มน้ำแนะนำให้ใช้แบตเตอรี่ 12V สำหรับรถจักรยานยนต์

(2)ประยุกต์ใช้กับวาล์วไฟฟ้า
การใช้กับวาล์วไฟฟ้าหรือโซลินอยด์วาล์ว เพียงคุณเปลี่ยนจากการใช้รีเลย์ผ่านไฟให้กับปั้มน้ำ มาเป็นวาล์วไฟฟ้าแทน แต่ต้องดูเรื่องแรงดันไฟฟ้าที่ขดลวดของวาล์วต้องการให้ดี ซึ่งมีข้อดีคือ คุณไม่ต้องกังวลว่าน้ำจะหมดหรือไม่ เพราะสามารถต่อกับท่อน้ำปะปาที่บ้านได้เลย เหมาะสำหรับการติดตั้งแบบถาวร

(3)ประยุกต์เป็นไฟอ่านหนังสือและไฟทาง
นำสายปลั๊กสำเร็จรูปที่ปลายด้านหนึ่งเป็นปลั๊กและอีกปลายเป็นสายเปลือยต่อเข้ากับจุดต่อ 220V ที่ด้านหลังกล่อง แล้วนำโคมไฟตั้งโต๊ะต่อเข้ากับจุดต่อปั้มน้ำ คุณก็จะได้ไฟอ่านหนังสือและไฟนำทาง เมื่อคุณลุกขึ้นจากเตียงไฟก็จะติดสว่างทันที

พอหอมปากหอมคอกับโครงงานง่ายๆ ที่เราสามารถประยุกต์ใช้งานได้อย่างหลากหลาย ลองประดิษฐ์ไว้ใช้ดูนะครับ ใครจะนำไปใช้งานอะไรก็สุดแท้แต่จินตนาการ แต่ที่สำคัญอย่าลืมคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก

รายการอุปกรณ์
– โมดูลตรวจจับความเคลื่อนไหว ZX-PIR
– ทรานซิสเตอร์ 2N3904
– ไดโอด 1N4001
– รีเลย์ 5V 1A
– ตัวต้านทาน 1kW 1/4W 5% หรือ 1%
– เทอร์มินอลบล็อก DT-26 2 ขา 2 ตัว
– คอนเน็กเตอร์ IDC ตัวเมีย 3 ขา
– สาย IDC1MF จำนวน 3 เส้น
– แผ่นวงจรพิมพ์อเนกประสงค์ uPCB01F
– ปั้มน้ำ 220Vac
– แผ่นพลาสวูด หนา 5 มม. ขนาด A4 จำนวน 2 แผ่น
– ท่อ PVC 4 หุน ( 1/2 นิ้ว ) 1 ฟุต
– สายยางสำหรับต่อปั้มน้ำกับท่อ PVC
กาวร้อน (สั่งซื้อคลิก)
หมายเหตุ : ZX-PIR, แผ่นพลาสวูด ขนาด A4 หนา 5 มม., แผ่นวงจรพิมพ์อเนกประสงค์ uPCB01F และ สาย IDC1MF สั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ www.inex.co.th


เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Categories
Gadget คุณทำเองได้ (DIY)

Car Watchdog

“สุนัขเฝ้ารถ” สิ่งประดิษฐ์ประเภทรักษาความปลอดภัยที่จะคอยเฝ้าระวังรถยนต์ของคุณ ยามที่ต้องจอดในที่ลับตาคน โดยทำหน้าที่เป็นเสมือนสุนัขเฝ้ารถและจะโทรหาคุณทันทีที่มีผู้บุกรุกมาเยือนพร้อมส่งเสียงเตือนหัวขโมยว่าเจ้าของรถรู้แล้ว

ในยุคสมัยข้าวยากหมากก็แพง แต่จะแพงยังไงรถใหม่ป้ายแดงก็วิ่งกันให้เกลื่อนท้องถนน ยิ่งเป็นรถยนต์คันแรกด้วยแล้ว ความกังวลใจที่ต้องจอดไกลหูไกลตาก็มากขึ้นเป็นทวีคูณ ผู้อ่านหลายท่านคงมีประสบการณ์แบบนี้เป็นแน่ แต่ครั้นจะนำไปติดตั้งสัญญาณกันขโมย ก็ได้แค่ส่งเสียงเรียกร้องความสนใจจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา บางคันปรับแต่งไม่ดี แค่มีรถบรรทุกวิ่งผ่านสัญญาณก็ดังเสียแล้ว จนคนที่เดินผ่านไปมาเริ่มชาชินและไม่สนใจกับเสียงเตือนภัยแบบนี้ (รวมทั้งผมด้วย) ที่สำคัญเจ้าหัวขโมยสมัยนี้รู้เรื่องระบบไฟฟ้าของรถยนต์เป็นอย่างดีว่า จะต้องตัดวงจรที่จุดใดก่อนจะสะเดาะกุญแจเข้ามาในตัวรถ

ดังนั้นสิ่งประดิษฐ์เครื่องนี้จึงถูกออกแบบให้ทำงานได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องติดตั้งเข้ากับระบบของรถยนต์ โดยติดตั้งชุดอุปกรณ์ไว้ในถังขยะ ขนาดเล็ก เพียงนำถังขยะตั้งไว้บริเวณที่นั่งด้านหน้าคู่กับตำแหน่งคนขับ เมื่อมีผู้บุกรุกเข้ามาในรถของเรา มันก็จะทำการกดโทรศัพท์เข้ามายังเครื่องของเจ้าของรถทันทีพร้อมกับส่งเสียงพูดเตือนผู้บุกรุกที่กำลังพยายามสตาร์ต รถให้ทราบว่าเจ้าของรถรู้แล้ว ถึงแม้เจ้าหัวขโมยจะไม่สนใจกับเสียงเตือนแต่อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่า ขณะนี้กำลังเกิดความผิดปกติในรถยนต์ของเรา

ต่อไปมาดูการทำงานของวงจรและอุปกรณ์ที่ต้องใช้กันก่อนดีกว่าครับ รับรองว่า งบไม่บานปลายแน่นอน

การทำงานของวงจร

จากรูปวงจรที่ 1 โมดูล POP-MCU ควบคุมการทำงานของระบบร่วม กับโมดูลตรวจจับความเคลื่อนไหว ZX-PIR , ออปโต้คัปเปลอร์เบอร์ PC817 และรีเลย์ 5Vdc โดยเริ่มจากโมดูล POP-MCU รอรับสัญญาณการตรวจพบผู้บุกรุกจากโมดูล ZX-PIR ที่ขา Di2 ว่ามีค่าเป็น HIGH หรือไม่ เมื่อมีค่าเป็น HIGH ให้ส่งค่าควบคุมเป็นจังหวะ(ดูตามโค้ดโปรแกรมที่ 1) ให้กับ IC2 ซึ่งเป็นออปโต้คัปเปลอร์ที่ขา Di3 เพื่อตัดต่อหน้าสัมผัสของสวิตช์ สมอลทอร์ก ตามด้วยการสั่ง HIGH ออกทางขา Di4 ให้กับ Q1 เพื่อขับรีเลย์ให้ต่อหน้าสัมผัสจ่ายไฟแก่เครื่องเล่น MP3 เล่นไฟล์เสียงใน SD การ์ดและจากนั้นระบบจะทำงานวนซ้ำไปเรื่อยๆ จนกว่า ZX-PIR จะไม่พบความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตใดๆ หรือมีการปิดสวิตช์

การติดตั้งอุปกรณ์ลงแผ่นวงจรพิมพ์อเนกประสงค์

เนื่องจากวงจรนี้ใช้อุปกรณ์ไม่กี่ชิ้นจึงขอแนะนำให้บัดกรีติดตั้งอุปกรณ์ลงบนแผ่นวงจรพิมพ์อเนกประสงค์ได้เลย โดยแผ่นวงจรพิมพ์ อเนกประสงค์สำหรับงานนี้เลือกใช้แบบ uPCB01A จากนั้นติดตั้งอุปกรณ์ดังรูปที่ 2 โดยจุดติดตั้งโมดูล POP-MCU ใช้คอนเน็กเตอร์ IDC ตัวเมียแถวเดี่ยว 12 ขา จำนวน 2 ชุด ทำเป็นซ็อกเก็ต, คอนเน็กเตอร์ IDC ตัวเมียแถวเดี่ยว 3 ขาเป็นจุดเชื่อมต่อสายดาวน์โหลด, IDC ตัวผู้แถวเดี่ยว 3 ขาสำหรับเชื่อมต่อ ZX-PIR, IDC ตัวผู้แถวเดี่ยว 2 ขา 2 ชุด สำหรับต่อกับสายสมอลทอร์กและเครื่องเล่น MP3 ตามลำดับ ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ ก็บัดกรีติดตั้งตามรูปที่ 2 ได้เลย

จากนั้นทำการเชื่อมต่อลายวงจรด้านล่างแผ่นวงจรพิมพ์เข้าด้วยกันโดยใช้สายไฟขนาดเล็กตามแบบในรูปที่ 3

การจัดเตรียมอุปกรณ์และขั้นตอนการสร้าง

(1) แกะฝาครอบสวิตช์ของสายสมอลทอร์กออกมา จะเห็นแผงวงจรขนาดเล็กจากนั้นนำสายไฟเส้นเล็กๆ บัดกรีกับขั้วของสวิตช์ดังรูปที่ 4.1 จากนั้นนำสาย IDC ตัวเมียที่แถมมากับโมดูล ZX-PIR มาตัดครึ่งและบัดกรีกับปลายอีกด้านหนึ่งของสายไฟเส้นเล็ก จะได้สายสำหรับต่อกับขั้ว A และ B บนแผ่นวงจรพิมพ์ดังรูปที่ 4.2

(2) แกะเครื่องเล่น MP3 ดังรูปที่ 5 เอาแต่แผงวงจรและลำโพง ส่วนแบตเตอรี่เอาออกเพราะเราจะใช้ไฟเลี้ยงร่วมกับแผงวงจรหลัก เพราะหากใช้ไฟเลี้ยงแยกเราจะต้องคอยประจุแบตเตอรี่ให้กับเครื่องเล่น MP3 แยกต่างหากทำให้ไม่สะดวกในการใช้งานจริง

(3) นำสาย IDC ตัวเมียที่แถมจาก โมดูล ZX-PIR ตัดครึ่งและบัดกรีเข้ากับจุดต่อไฟเลี้ยงของเครื่องเล่น MP3 แล้วเสียบเข้ากับแผงวงจรในตำแหน่ง C เข้ากับขั้วบวก และ D เข้ากับขั้วลบของเครื่องเล่น MP3 แล้วเสียบสายโมดูล ZX-PIR เข้ากับแผงวงจรหลักในตำแหน่ง ZX-PIR สุดท้ายขาดไม่ได้คือแหล่งจ่ายไฟ +9V ในต่อในตำแหน่ง Vin (ห้ามต่อผิดขั้ว) จะได้ชุด Car Watchdog พร้อมเขียนโปรแกรมทดสอบ ดังรูปที่ 6

(4) ก่อนไปถึงขั้นตอนการเขียนโปรแกรม ต้องมาทำตัวเชื่อมต่อสายดาวน์โหลดของ UCON-4 เฉพาะกิจสำหรับแผงวงจรสุดพิเศษนี้กันก่อนครับ โดยการนำคอนเน็กเตอร์ RJ-11 มาเชื่อมต่อสายเข้ากับคอนเน็กเตอร์ IDC ตัวผู้แถวเดี่ยว 3 ขา ดังรูปที่ 7.1 จากนั้นใช้ท่อหดหุ่มปลายสายให้เรียบร้อยจะได้ตัวเชื่อมต่อสายดาวน์โหลดดังรูปที่ 7.2

เขียนและอัปโหลดโปรแกรม

ขออนุญาตข้ามขั้นตอนการติดตั้งและการตั้งค่าซอฟต์แวร์ Arduino โดยเปิดโปรแกรม Arduino ขึ้นมาแล้วพิมพ์ชุดคำสั่งต่อไปนี้และเชื่อมต่อสาย UCON-4 เข้ากับคอนเน็กเตอร์ที่สร้างขึ้นจากขั้นตอนที่ 4 แล้วจึง อัปโหลดโปรแกรมลงตัว POP-MCU แต่หากท่านใดที่เป็นมือใหม่และยังไม่เข้าใจการปรับแต่งก็สามารถดูรายละเอียดได้ในบทความเครื่องให้อาหารแมวอัตโนมัติ

———————————————————————-

#define phone 3
#define mp3 4
int val = 0;
void setup()
{
pinMode(phone, OUTPUT);
pinMode(mp3, OUTPUT);
}

void loop()
{
val = digitalRead(PIN2);
if (val == HIGH)// PIR Detected
{
phonecall();
mp3play();
}
}

void phonecall()
{
digitalWrite(phone,HIGH); // show last number
delay(1000);
digitalWrite(phone,LOW);
delay(2000);
digitalWrite(phone,HIGH); // call
delay(1000);
digitalWrite(phone,LOW);
delay(1000);
digitalWrite(phone,LOW); //delay 15sec.
delay(15000);
digitalWrite(phone,HIGH); // end call
delay(1000);
digitalWrite(phone,LOW);
delay(1000);
}

void mp3play()
{
digitalWrite(mp3,HIGH);// mp3 power on 15sec.
delay(15000);
digitalWrite(mp3,LOW); // mp3 power off
delay(1000);
}

———————————————————————-
โปรแกรมที่ 1 โปรแกรมควบคุมการทำงานของ Car Watchdog
———————————————————————-

การติดตั้งอุปกรณ์ลงถังขยะ
นี่คือขั้นตอนการนำอุปกรณ์ติดตั้งลงถังขยะนะครับ ไม่ใช่เอาไปทิ้งถังขยะ ท่านผู้อ่านสามารถทำวิธีอื่นก็ได้ตามที่เห็นสมควร เนื่องจากขนาดและรูปทรงของถังขยะอาจแตกต่างไปจากตัวต้นแบบได้

(1) เริ่มจากนำถังขยะทรงกลมแบบมีฝาเปิดปิดขนาดพอเหมาะสำหรับใส่ในรถยนต์ดังรูปที่ 8.1 มาทำการถอดส่วนยางด้านล่างดังรูปที่ 8.2 (ผู้ผลิตถังขยะคงตั้งใจทำไว้ถ่วงน้ำหนัก)

(2) เจาะรูด้านหน้าสำหรับติดตั้ง ZX-PIR ดังรูปที่ 9.1 แล้วยึด ZX-PIR ให้แน่นด้วยปืนกาว

(3) เจาะรูขนาด 3 มม. ด้านล่างของถังให้เป็นรูพรุนบริเวณที่ต้องการติดตั้งลำโพงของเครื่องเล่น MP3 ดังรูปที่ 10

(4) นำแผ่นยางด้านล่างมาเจาะเป็นร่องสำหรับติดตั้งสวิตช์เปิดปิดดังรูปที่ 11

(5) เซาะแผ่นยางจากขั้นตอนที่ 4 ให้มีพื้นที่สำหรับติดตั้งเครื่องโทรศัพท์และแบตเตอรี่ 9 โวลต์ จากนั้นตัดสายไฟของขั้วแบตเตอรี่ 9 โวลต์ให้ผ่านสวิตช์เปิดปิด และเจาะรูสอดสายไฟเข้าไปในถังดังรูปที่ 12 อ้อ…อย่าลืมสอดสายหูฟังลงมาเสียบกับเครื่องโทรศัพท์ด้วยนะครับ

(6) จัดวางแผงวงจรทั้งหมดไว้ภายในถังขยะแล้วยึดด้วยปืนกาวดังรูปที่ 13

(7) ตัดพลาสวูดหนา 5 มม. ขนาด 3×3 ซม. จำนวน 3 ชิ้น ดังรูปที่ 14.1 สำหรับใช้เป็นขารองแผ่นปิดชุดวงจร โดยจัดวางให้ระยะห่างเท่ากันดังรูปที่ 14.2 แล้วยึดด้วยปืนกาว

(8) ใช้วงเวียนคัตเตอร์ตัดพลาสวูดขนาดหนา 5 มม. ให้ได้เส้นผ่านศูนย์กลาง 12.5 ซม. สำหรับทำแผ่นปิดแผงวงจร ดังรูปที่ 15

(9) สุดท้ายตัดเศษพลาสวูดเป็นรูปทรงอะไรก็ได้สำหรับทำเป็นมือจับแล้วติดกับแผ่นปิดแผงวงจรด้วยกาวร้อนดังรูปที่ 16.1 ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์แล้วครับ

การทดสอบและปรับแต่ง
เมื่อทุกอย่างถูกติดตั้งเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการทดสอบโดยเริ่มจาก

(1) เปิดเครื่องโทรศัพท์และโทรออกยังหมายเลขที่คุณต้องการเพื่อให้เบอร์ล่าสุดที่โทรออกเป็นเบอร์ที่คุณต้องการ จากนั้นเปิดสวิตช์จ่ายไฟเข้าระบบ Car Watchdog จะเริ่มโทรออกไปหาเบอร์ล่าสุด หากไม่มีการโทรเข้าเบอร์ของคุณให้สลับคอนเน็กเตอร์ที่จุด A และ B

(2) เมื่อระบบโทรเข้าเครื่องและวางสายเรียบร้อยแล้ว จะต่อหน้าสัมผัสรีเลย์เพื่อจ่ายไฟเข้าเครื่องเล่น MP3 และเล่นไฟล์เสียงที่อยู่ใน SD การ์ด

(2.1) หากรีเลย์ทำงานต่อหน้าสัมผัสแล้ว แต่ไม่มีเสียงดังออกมาให้ตรวจสอบคอนเน็กเตอร์ที่จุด C และ D ว่าต่อถูกขั้วหรือไม่

(2.2) หากได้ยินเสียงหน้าสัมผัสรีเลย์ต่อแบบรัวๆ แสดงว่ากระแสไฟฟ้าที่ออกจากภาคจ่ายไฟไปยังขดลวดของรีเลย์ไม่ราบเรียบพอจึงทำให้เกิดอาการกระชาก ให้ตรวจสอบจุดบัดกรีบริเวณไฟออกที่ขาของ C2 ว่าสนิทดีหรือไม่

การนำไปใช้งาน
มาถึงขั้นตอนนี้ก็ไม่มีอะไรยุ่งยากแล้วครับ เพียงเล็งตำแหน่งในการวางให้เหมาะสมดังรูปที่ 17 เมื่อต้องการใช้งานคุณเพียงเปิดสวิตช์ ระบบจะโทรหาคุณทันที เมื่อปิดประตูล็อกรถเรียบร้อยแล้วระบบก็จะหยุดโทรหาคุณ จนกว่าจะพบความเคลื่อนไหวภายในรถยนต์ของคุณอีกครั้ง ระบบจึงจะเริ่มทำงาน คราวนี้คุณก็ไปทำธุระได้แล้ว โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ Car Watchdog เฝ้ารถให้คุณ

แต่อย่าลืมนะครับว่า แบตเตอรี่ที่ใช้เลี้ยงวงจรทั้งหมดเป็นแบตเตอรี่ +9V ซึ่งกระแสไฟฟ้าไม่ได้มากมายอะไร การเปิดใช้งานบ่อยๆ ควรตรวจสอบพลังงานคงเหลือของแบตเตอรี่บ้างก็ดี แต่หากไม่เน้นว่าแหล่งพลังงานต้องเล็ก ก็เอาแบตเตอรี่แบบประจุได้ขนาด AA สัก 6 ก้อนต่อแทนได้เลย

อย่างไรก็ตามอย่าลืมคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าพอมีโทรศัพท์เรียกจากรถของเราก็รีบกุรีกุจอเข้าไป หากหัวขโมยยังอยู่ในรถและมีอาวุธจะไม่คุ้มกัน ทางที่ดีควรชวนใครไปเป็นเพื่อนด้วยจะดีกว่า ท้ายนี้ขอให้สนุกกับการสร้างสุนัขเฝ้ารถ และขอให้ทุกท่านผ่านพ้นความน่ากลัวของสังสารวัฏฏ์ไปได้ด้วยดี

รายการอุปกรณ์
• โมดูล POP-MCU
• โมดูลตรวจจับความเคลื่อนไหว ZX-PIR
• เครื่องเล่น MP3
• เครื่องโทรศัพท์พร้อมสายหูฟังสมอลทอร์ก
• ถังขยะขนาดเล็กสำหรับวางในรถยนต์
• Q1 – ทรานซิสเตอร์ BC337
• IC1 – ไอซีเรกูเลเตอร์ เบอร์ LM2940-5.0
• IC2 – ออปโต้คัปเปลอร์ PC817
• R1 – ตัวต้านทาน 150Ω 1/4 วัตต์ ± 5%
• R2 – ตัวต้านทาน 1kΩ 1/4 วัตต์ ± 5%
• C1 – ตัวเก็บประจุ 47µF โพลีเอสเตอร์
• C2 – ตัวเก็บประจุ 220µF 16V อิเล็กทรอไลต์
• D1 – ไดโอด 1N4001
• S1 – สวิตช์เปิดปิดแบบใดก็ได้ตามชอบ
• S2 – สวิตช์กดติดปล่อยดับตัวเล็ก 4 ขา
• แผ่นวงจรพิมพ์อเนกประสงค์รุ่น uPCB01A
• แจ๊กโมดูล่าร์ RJ-11 4 ขา
• สายดาวน์โหลด UCON-4
• คอนเน็กเตอร์ IDC ตัวเมีย แถวเดี่ยว 12 ขา 2 ตัว
• คอนเน็กเตอร์ IDC ตัวเมีย แถวเดี่ยว 3 ขา
• คอนเน็กเตอร์ IDC ตัวเมีย แถวเดี่ยว 2 ขา
• คอนเน็กเตอร์ IDC ตัวผู้ แถวเดี่ยว 3 ขา 2 ตัว
• คอนเน็กเตอร์ IDC ตัวผู้ แถวเดี่ยว 2 ขา 3 ตัว
• แผ่นพลาสวูดหนา 5 มม. ขนาด A4
• ขั้วแบตเตอรี่ 9 โวลต์


หมายเหตุ โมดูล POP-MCU, ZX-PIR, สาย UCON-4 และแผ่นพลาสวูด ขนาด A4 สั่งซื้อออนไลน์ที่ www.inex.co.th


เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Categories
Toy คุณทำเองได้ (DIY)

ประดิษฐ์ “รถหลอดด้าย” ของเล่นย้อนยุค

สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้อาจเรียกได้ว่าบ่งบอกอายุของผู้เขียนกันเลย เพราะมันเป็นของเล่นในอดีตที่ผมเล่นตอนสมัยประถม หลายคนอาจเคยประดิษฐ์เล่นหรือทำเป็นอยู่แล้ว แต่ด้วยความนึกสนุกในอดีต เลยต้องนำมาแนะนำให้กับคนรุ่นใหม่ได้ลองประดิษฐ์เล่นกันดูบ้าง

รถหลอดด้ายนี้ ใช้อุปกรณ์ที่หาได้ทั่วไปตามท้องตลาด ขับเคลื่อนด้วยพลังของหนังยาง ตอนเด็กๆ ที่นิยมเล่นกันมีสองลักษณะก็คือนำมาวิ่งแข่งและเล่นซูโม่ ต่อไปเรามาดูวิธีประดิษฐ์กันดีกว่าครับ


เตรียมอุปกรณ์

1. หลอดด้าย (คลิกสั่งซื้อหลอดด้ายเปล่า)
2. เทียนไข
3. หนังยางรัดของ
4. ก้านธูปหรือก้านไม้กวาดทางมะพร้าว
5. คัตเตอร์

เริ่มประดิษฐ์ของเล่นโบราณ “รถหลอดด้าย” กันเลย
1. ตัดเทียนไขให้มีขนาดสั้นกว่าหลอดด้ายเล็กน้อยดังรูป

2. ใช้คัตเตอร์เซาะเทียนไขให้เป็นร่องดังรูป

3. หักก้านธูปให้มีขนาดเท่ากับเทียนไขแล้วนำหนังยางมาร้อยกับก้านธูปเอาไว้

4. คล้องหนังยางเข้ากับก้านธูป จากนั้นนำหนังยางสอดเข้าไปในรูของหลอดด้าย

5. นำปลายหนังยางที่สอดออกจากรูหลอดด้ายมาคล้องกับเทียนไขดังรูป

6. สุดท้ายหักก้านธูปยางประมาณ 10 – 12 เซนติเมตร สอดเข้าที่ร่องของเทียนไขที่เราเซาะไว้จากขั้นตอนที่ 2 เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จการประดิษฐ์ของ รถหลอดด้ายแล้วครับ

 

วิธีเล่น
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นรถหลอดด้าย เราก็ต้องทำให้มันวิ่งนั่นเอง การเล่นก็ง่ายนิดเดียวเพียงใช้มือจับหลอดด้ายเอาไว้ แล้วใช้มืออีกข้างหมุนก้านธูปในทิศทางตามเข็มนาฬิกาพอเริ่มตึงมือก็พอ จะว่าไปแล้วก็เหมือนกับการไขลานนถเด็กเล่นนั่นแหละ

ระวังอย่าหมุนจนเพลินเพราะจะทำให้หนังยางขาดเร็วเกินไปครับ


เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Categories
Gadget คุณทำเองได้ (DIY)

การทำแป้งปั้นซิลิโคน

ทำแป้งปั้นที่คงตัวได้ แข็งแต่ไม่แข็ง มีความยืดหยุ่นเหมือนยาง ใช้กับงานต่างๆ ได้หลากหลาย เช่นทำตัวรองอุปกรณ์กันกระแทก ฐานยึดมอเตอร์กันสะเทือน หรือจะใส่ LED ไว้ภายในเพื่อสร้างเป็นโครงงานอาร์ตๆ 


จากบทความแนะนำ Sugru ที่ผ่านมาหลายคนคงทึ่งและเริ่มสนใจในคุณสมบัติอันน่าอัศจรรย์ของมันที่เราสามารถปั้นเป็นรูปทรงต่างๆ ได้ตามต้องการ หลายคนนึกค้านในใจว่า ก็ไปซื้อแป้งปั้นหรือดินญี่ปุ่นมาก็สิ้นเรื่องหาซื้อก็ง่าย ใช่ครับปั้นได้ หาซื้อง่าย แต่พอแข็งแล้วก็แข็งจริงๆ ไม่มีคุณสมบัติเหมือนยางซิลิโคน ทำให้ประโยชน์ของมันสิ้นสุดลงที่ความสวยงามเป็นหลัก

แต่สำหรับ i-Gru (เป็นชื่อเฉพาะที่ผมตั้งเองครับ ไม่ต้องไปค้นใน Google) ที่เราจะมาชวนท่านผู้อ่านทำกันนี้ จะมีคุณสมบัติคล้ายกับ Sugru ต่างที่การทนความร้อนทีี่ Sugru ทนได้ถึง 180oC แต่ i-Gru จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของซิลิโคนซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ทำ ก่อนอื่นเรามาเตรียมวัตถุดิบกันก่อนดังรูป

ส่วนผสมและอุปกรณ์ประกอบด้วย
1. แป้งข้าวโพด
2. ซิลิโคนสีใส แนะนำให้ซื้อชนิดที่ไม่มีกลิ่น และห้ามใช้ชนิดแห้งเร็ว
3. ไม้ไอศครีมหรืออะไรก็ได้ที่ใช้กวนได้
4. ถ้วยหรือชาม
 
ขั้นตอนการทำ
(1) บีบซิลิโคนลงในภาชนะในปริมาณที่ต้องการดังรูปที่ 2 แนะนำว่าไม่ควรผสมเกิน 3 ช้อนโต๊ะ เพราะจะทำให้ส่วนผสมเข้ากันไม่ดี
(2) เทแป้งข้าวโพดลงไป ในอัตราส่วน 1:1 ดังรูปที่ 3 จากนั้นคลุกเคล้าให้เข้ากัน ซึ่งในขั้นตอนนี้ต้องใช้ความเร็วในการคลุกหน่อยนะครับ คนให้เข้ากันจนรู้สึกว่าซิลิโคนและแป้งข้าวโพดเริ่มจับตัวกันดี (หากใครต้องการใส่สีก็ให้หยดลงไปในขั้นตอนนี้ โดยสีที่ใช้ควรเป็นสีน้ำมันหยดลงไปในอัตราส่วน 1:10 เพราะหากหยดมากเกินไปส่วนผสมจะเหลวมากและแห้งช้า) คลุกเคล้าต่ออีกสักครู่ก็จะเริ่มจับตัวเหมือนแป้งปั้นดังรูปที่ 3.4 ก็เป็นอันใช้ได้แล้วครับ
(3) ตอนนี้ท่านสามารถปั้นเป็นรูปทรงตามต้องการ ในตัวอย่างนี้เราจะนำมาห่อหุ้มแผงวงจร ZX-01 (แผงวงจรสวิตช์) เพื่อกันกระแทกและรองรับงานหนักๆ อย่างเช่นการทุบ โดยเริ่มจากผ่าครึ่งลูกปิงปองแล้วทา i-Gru เพื่อรองพื้นให้รอบ ดังรูปที่ 4.1 เมื่อทาจนทั่วแล้วก็นำ ZX-01 คว่ำหน้าลงไปดังรูปที่ 4.2 แล้วโปะ i-Gru เพื่อห่อหุ้มให้ทั่วทั้งแผงวงจรดังรูปที่ 4.3 รอให้แห้งประมาณ 10 นาที
(4) เมื่อชิ้นงานแห้งแล้วก็มาทำการแกะออกจากแบบ โดยการบีบขอบลูกปิงปองให้ชิ้นงานคลายตัวดังรูปที่ 5.1 แล้วค่อยๆ ดึงออกมาจะได้แป้นกดปุ่มยางซิลิโคนที่ฝังแผงวงจรสวิตจช์ไว้ภายใน นำไปใช้งานได้ทันทีดังรูปที่ 5.2 และ 5.3
(5) แถมท้ายด้วยการนำ i-Gru มาห่อหุ้ม LED แล้วปั้นเป็นรูปทรงที่เราต้องการ เมื่อจ่ายไฟให้ LED เราก็จะพบกับความสวยงามของแสง LED ที่ส่องผ่าน i-Gru ออกมาดังรูปที่ 6.2
เพียงเท่านี้ก็จะได้วัสดุใหม่ที่ใช้เป็นทางเลือกเพิ่มเติมในการทำโครงงานอิเล็กทรอนิกส์อาร์ตของเราแล้ว

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Categories
Gadget Home & Garden Lighting คุณทำเองได้ (DIY)

สอนประดิษฐ์รองเท้าไฟฉาย

อยากเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน แต่ไม่อยากเปิดไฟหัวเตียงเพราะกลัวแสงไฟจะรบกวนคนนอนข้างๆ หรือกระทั่งน้ำท่วมบ้านโดนตัดไฟต้องการไฟฉายแต่ไม่รู้วางไว้ที่ไหน

สิ่งประดิษฐ์นี้จะมาช่วยคุณได้ นั่นคือรองเท้าติดไฟ เพียงแค่คุณสวมรองเท้าคู่นี้เข้าไป จะทำให้คุณหมดปัญหาในเรื่องของแสงสว่างยามค่ำคืน การใช้งานเพียงสวมรองเท้าแล้วเดิน ก็จะมีแสงไฟส่องออกมาจากปลายของรองเท้า โอ้ว !! มันยอดมากเลยใช่ไหม ลงมือทำกันเลย

เตรียมอุปกรณ์
รองเท้าสำหรับใส่ในบ้าน 1 คู่
กะบะถ่าน CR2032   1 อัน
ถ่าน  CR2032  3V   1 ก้อน
LED สีขาวขนาด 8 มม.    1 ดวง/ข้าง
แถบตีนตุ๊กแก ขนาด 4 x 1.5 ซม. 1 เส้น
สายไฟเส้นเล็กๆ
กาวร้อน  (กาวตราช้าง)
เข็มและด้าย

ลงมือประดิษฐ์กันเลย
(1) ขั้นตอนแรกนำรองเท้าใส่ในบ้านมา 1 คู่ หาซื้อได้ตามร้านไดโซ ที่ขายสินค้าราคาเดียวเพียง 60 บาท จากนั้นใช้คัตเตอร์หรือที่เลาะด้ายเลาะส้นรองเท้าออกประมาณ 5 ซม. ดังรูปที่ 1.1

(2) ขั้นต่อไปวางกะบะถ่านแล้วขีดเส้นเพื่อกำหนดตำแหน่งสำหรับติดตั้ง แล้วใช้คัตเตอร์เจาะตามรอยที่ขีดไว้ลึกลงไป โดยเผื่อให้กะบะถ่านโผล่ขึ้นมาประมาณ 1 มม.

(3) ต่อไปเป็นขั้นตอนการเชื่อมต่อวงจร ดัดขา LED สีขาวขนาด 8 มม. ดังรูปที่ 3.1 บัดกรีสายไฟเข้ากับขาของ LED แล้วนำ LED เสียบเข้าร่องส่วนปลายของรองเท้าเพื่อซ่อนขา LED และสายไฟดังรูปที่ 3.3 เก็บสายไฟให้เรียบร้อยโดยเหน็บเข้าร่องด้านข้างของรองเท้าดังรูปที่ 3.4 เจาะรูเล็กๆ ด้านข้างรองเท้าแล้วสอดสายไฟเข้าไปดังรูปที่ 3.6 เมื่อสอดสายไฟเข้าไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะนำกะบะถ่านไปวาง ให้ใช้คีมดัดขั้วกะบะถ่านด้านขั้วบวกขึ้นดังรูปที่ 3.8 แล้ววางลงไปในรูที่เจาะไว้ในขั้นตอนที่ 2 บัดกรีสายไฟให้เรียบร้อยตามรูปการเชื่อมต่ออุปกรณ์ ต้องสังเกตขั้วบวกขั้วลบในการต่อให้ดี เพราะถ้าผิดขั้วอาจทำให้ LED พังได้

 

(4) เย็บเก็บชายให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้ผ้าหลุดลุ่ย ดังรูปที่ 4.1  นำแถบตีนตุ๊กแกขนาด 4 x 1.5 ซม. ทากาวร้อนแล้วติดลงไปดังรูปที่ 4.2 เมื่อติดแถบตีนตีนตุ๊กแกเพื่อใช้เปิด-ปิดเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่เสร็จแล้วให้ปิดส้นรองเท้าลง แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว

ด้วยอุปกรณ์เพียงไม่กี่ชิ้น คุณก็สามารถเดินไปทั่วบ้าน โดยไม่ต้องเปิดไฟเลยสักดวงก็ได้


เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Exit mobile version