LED ชื่อนี้คุ้นเคยกันดีในกลุ่มนักอิเล็กทรอนิกส์ แต่ในกลุ่มของนักประดิษฐ์ที่ไม่เคยแวะเวียนไปเที่ยวเล่นตามบ้านหม้อ หรือไม่เคยแม้แต่นำขาของ LED ไปสัมผัสกับขั้วถ่านเพราะมัวแต่คิดว่าตัวเองไม่ใช่นักอิเล็กทรอนิกส์บ้างล่ะ ไม่มีความรู้เรื่องนี้บ้างล่ะ
คงจะรู้จักไขควงวัดไฟกันดีน่ะครับ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าใช้วัดไฟ ดังนั้นหน้าที่ของมันคือใช้วัดดูว่าสายเส้นไหนเป็นขั้วมีไฟหรือขั้ว L : Line และเส้นไหนเป็นสายดิน N : Neutral ถ้าหากวันไหนท่านอยากจะวัดไฟในลักษณะนี้บ้าง แต่ไม่มีไขควงวัดไฟมีแต่มิเตอร์ตัวเก่งจะทำไงดี? ถึงจะวัดหาขั้ว L กับ N ได้ ไม่ยากเลยครับ ลองทำดังนี้ดู ให้ท่านตั้งมาตรวัดไปที่ AC VOLT ที่ย่านวัด 250V หรือ 1000V จากนั้นให้ท่านจับปลายสายเส้นนึงไว้ (เส้นไหนก็ได้) ส่วนอีกปลายก็ไปแหย่ที่ช่องของเต้ารับ สลับทั้งสองช่อง แล้วดูว่าช่องใดที่ทำให้เข็มชี้ขึ้นมานั่นหล่ะคือขั้ว L ส่วนรูที่เข็มไม่ขึ้นเป็นขั้ว N ดังรูปที่ 1 ครับ
(1) เมื่อมีแสงมาตกกระทบที่ชั้นสารกึ่งตัวนำชนิด N อนุภาคแสงหรือโฟตอน (photon) จะกระจายอยู่ทั่วพื้นผิวด้านบน
(2) อนุภาคแสงจะถ่ายทอดพลังงานลงสู่สารกึ่งตัวนำ
(3) พลังงานจากอนุภาคแสงจะถ่ายทอดต่อไปยังอิเล็กตรอนอิสระในชั้นสาร P
(4) เมื่อพลังงานที่ได้รับมากเพียงพอ อิเล็กตรอนอิสระจะสามารถข้ามรอยต่อไปยังชั้นสาร N เพื่อเตรียมเคลื่อนที่ออกจากเซลรับแสงอาทิตย์ไปยังวงจรที่ต่อภายนอก หากมีการต่อโหลดภายนอกมายังขั้วของเซลรับแสงอาทิตย์ อิเล็กตรอนก็จะเคลื่อนที่ออกจากขั้วต่อของเซลรับแสงอาทิตย์ผ่านโหลดและไปครบวงจรยังขั้วต่อที่ชั้นสาร P ของเซลรับแสงอาทิตย์ จึงเกิดกระแสไฟฟ้าไหล
1. ใช้พลังงานจากเซลรับแสงอาทิตย์โดยตรง ในแบบนี้จะเหมาะกับโหลดที่มีความต้องการกระแสไฟฟ้าไม่มากนัก และต้องใช้งานในพื้นที่ที่มีแสงอาทิตย์ตลอดเวลา เช่น รถของเล่น หรือ Solar Car