Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซิสโก้เผยโฉมคลัสเตอร์ Nexus HyperFabric AI โซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐาน
ดาต้าเซ็นเตอร์ที่เรียบง่าย พร้อมเทคโนโลยีจาก NVIDIA สำหรับ Generative AI

ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) ผู้นำด้านเทคโนโลยีระบบรักษาความปลอดภัยและเครือข่าย ได้ประกาศเปิดตัวโซลูชั่นคลัสเตอร์ AI ที่ก้าวล้ำ พร้อมด้วยเทคโนโลยีจาก NVIDIA สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ยุคใหม่ที่จะพลิกโฉมการสร้าง การจัดการ และการปรับแต่งโครงสร้างพื้นฐานและซอฟต์แวร์

ภายใต้วิสัยทัศน์ Cisco Networking Cloud ซึ่งมุ่งที่จะลดความซับซ้อนของเครือข่าย ซิสโก้ได้นำเสนอโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานแบบครบวงจรที่พร้อมใช้งานในระดับองค์กร เพื่อรองรับเวิร์กโหลด Generative AI  โดยโซลูชั่นคลัสเตอร์ Cisco Nexus HyperFabric AI ผสานรวมเครือข่ายแบบ AI-native ของซิสโก้ เข้ากับระบบประมวลผลที่มีการเร่งความเร็วและซอฟต์แวร์ AI ของ NVIDIA และที่เก็บข้อมูล VAST ที่แข็งแกร่ง  โซลูชั่นดังกล่าวได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถโฟกัสไปที่การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมถึงโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างรายได้ โดยไม่ต้องวุ่นวายกับการจัดการระบบไอที

รายงานแนวโน้มด้านระบบเครือข่ายทั่วโลก (Global Networking Trends Report) ฉบับล่าสุดของซิสโก้ ระบุว่า ในช่วงสองปีข้างหน้า 60% ของผู้บริหารและบุคลากรด้านไอทีคาดว่าจะมีการปรับใช้ระบบเครือข่ายอัตโนมัติเชิงคาดการณ์ที่รองรับ AI ในทุกโดเมน เพื่อให้สามารถจัดการ NetOps ได้ดียิ่งขึ้น  นอกจากนี้ 75% มีแผนที่จะปรับใช้เครื่องมือที่รองรับการตรวจสอบแบบครบวงจรผ่านคอนโซลหนึ่งเดียว ครอบคลุมโดเมนเครือข่ายที่แตกต่างกัน เช่น เครือข่ายแคมปัสและสาขา, WAN, ดาต้าเซ็นเตอร์, อินเทอร์เน็ต, ระบบ คลาวด์สาธารณะ และเครือข่ายอุตสาหกรรม

โจนาธาน เดวิดสัน รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไปของ Cisco Networking กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าอนาคตของ AI จะมีความชัดเจน แต่หนทางข้างหน้าสำหรับหลายๆ องค์กรที่เพิ่งเริ่มต้นการปรับใช้เทคโนโลยีกลับไม่เป็นเช่นนั้น กล่าวคือ ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะต้องเผชิญกับปัญหาท้าทายทางด้านการเงินและการดำเนินงานสำหรับการเริ่มต้นใช้งาน AI Stack  ซิสโก้มุ่งมั่นที่จะปรับปรุงการติดตั้งใช้งานและการจัดการโครงสร้างพื้นฐาน AI ให้สะดวกง่ายดายมากขึ้น โดยเราได้ร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อนำเสนอโซลูชั่น AI Stack ที่ปรับใช้ได้อย่างง่ายดายและควบคุมผ่านระบบคลาวด์  โซลูชั่นที่ว่านี้สร้างขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์แพลตฟอร์ม Cisco Networking Cloud ของเรา ซึ่งมุ่งเน้นการทำงานแบบอัตโนมัติและเรียบง่าย”

เควิน ไดเออร์ลิง รองประธานอาวุโสฝ่ายระบบเครือข่ายของ NVIDIA กล่าวว่า “Generative AI จำเป็นต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานและซอฟต์แวร์ที่ออกแบบและสร้างขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้องค์กรต่างๆ สามารถเปลี่ยนข้อมูลที่มีอยู่ให้กลายเป็นเชื้อเพลิงสำหรับการพลิกโฉมธุรกิจได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ  NVIDIA และซิสโก้ร่วมมือกันเพื่อส่งมอบแพลตฟอร์ม AI และระบบควบคุมที่พร้อมใช้งานสำหรับองค์กร เพื่อเพิ่มความสะดวกในการติดตั้งใช้งานระบบประมวลผลแบบเร่งความเร็ว ระบบเครือข่าย และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นสำหรับเวิร์กโหลด Generative AI”

ซิสโก้ได้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับใช้โครงสร้างพื้นฐาน AI ได้อย่างรวดเร็ว  นอกจากนี้ ซิสโก้ยังส่งมอบเครื่องมือที่เหมาะสมให้กับลูกค้าเพื่อสร้างเครือข่าย AI-native ที่ใช้งานง่าย สามารถคาดการณ์ความล้มเหลวในการทำงาน ตลอดจนวินิจฉัยและแก้ไขปัญหาได้อย่างฉับไว

วิธีการทำงานของ Cisco Nexus HyperFabric AI Cluster

โซลูชั่นนี้รองรับการออกแบบ ปรับใช้ ตรวจสอบ และรับรองพ็อด AI และเวิร์กโหลดของดาต้าเซ็นเตอร์อย่างครบวงจร โดยจะแนะนำผู้ใช้ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ไปจนถึงการติดตั้งใช้งานที่ผ่านการตรวจสอบยืนยัน ไปจนถึงการตรวจสอบดูแลและรับรองโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่พร้อมใช้งานระดับองค์กร  ด้วยความสามารถในการจัดการระบบคลาวด์ ลูกค้าจะสามารถติดตั้งและจัดการแฟบริคขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทั่วทั้งดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโคโลเคชั่น (Colocation) และไซต์ Edge ได้อย่างง่ายดาย

โซลูชั่นคลัสเตอร์ Cisco Nexus HyperFabric AI นำเสนอการทำงานแบบอัตโนมัติที่ควบคุมจัดการผ่านระบบคลาวด์ ครอบคลุมระบบประมวลผลและเครือข่ายแบบครบวงจรที่ผสานรวมความเชี่ยวชาญด้านสวิตช์อีเธอร์เน็ตของซิสโก้บน Cisco Silicon One โดยบูรณาการเข้ากับระบบประมวลผลแบบเร่งความเร็วของ NVIDIA และซอฟต์แวร์ NVIDIA AI Enterprise รวมไปถึงแพลตฟอร์มการจัดเก็บข้อมูลของ VAST  โซลูชั่นดังกล่าวประกอบด้วย:

  • ความสามารถในการจัดการระบบคลาวด์ของซิสโก้ ซึ่งจะช่วยลดความยุ่งยากซับซ้อนของการดำเนินงานด้านไอทีในทุกขั้นตอนของเวิร์กโฟลว์
  • สวิตช์ Cisco Nexus 6000 series สำหรับ Spine และ Leaf ซึ่งให้ประสิทธิภาพของแฟบริคอีเธอร์เน็ต 400G และ 800G
  • โมดูล QSFP-DD ในตระกูล Cisco Optics ซึ่งช่วยเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าและให้ความหนาแน่นสูงมาก
  • ซอฟต์แวร์ NVIDIA AI Enterprise ซึ่งช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาและปรับใช้เวิร์กโหลด Generative AI ในระดับเทียบเท่าการใช้งานจริง
  • ไมโครเซอร์วิสการอนุมาน NVIDIA NIM ที่เพิ่มความรวดเร็วในการปรับใช้โมเดลพื้นฐาน พร้อมทั้งรับประกันความปลอดภัยของข้อมูล และสามารถใช้งานร่วมกับ NVIDIA AI Enterprise
  • NVIDIA Tensor Core GPU ที่เริ่มต้นด้วย NVIDIA H200 NVL ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มพลังให้กับเวิร์กโหลด Generative AI ด้วยสมรรถนะที่เหนือชั้นและความสามารถของหน่วยความจำที่เหนือกว่า
  • หน่วยประมวลผลข้อมูล NVIDIA BlueField-3 DPU และ BlueField-3 SuperNIC สำหรับการเร่งความเร็วของเวิร์กโหลดด้านเครือข่ายประมวลผล AI การเข้าถึงข้อมูล และการรักษาความปลอดภัย
  • ดีไซน์ต้นแบบระดับองค์กรสำหรับ AI ที่สร้างขึ้นบน NVIDIA MGX ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเซิร์ฟเวอร์แบบแยกส่วนที่มีความยืดหยุ่นสูง
  • VAST Data Platform ซึ่งให้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลแบบครบวงจร ฐานข้อมูล และเอนจิ้นฟังก์ชั่นที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลซึ่งสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ AI

การวางจำหน่าย

ลูกค้าที่ผ่านการคัดเลือกอาจมีสิทธิ์ทดลองใช้โซลูชั่น AI นี้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 และคาดว่าหลังจากนั้นไม่นานจะเริ่มต้นวางจำหน่าย

แนะนำทักษะด้าน AI สำหรับพาร์ทเนอร์และผู้เชี่ยวชาญด้านไอที
Cisco Learning and Certifications ได้เปิดตัวใบรับรองใหม่สำหรับความเชี่ยวชาญด้าน CCDE AI Infrastructure พร้อมหลักสูตรการฝึกอบรมที่เปิดสอนแล้วที่ Cisco U.  โดยหลักสูตรดังกล่าวจะช่วยให้วิศวกรเครือข่ายและวิศวกรออกแบบเครือข่ายระดับผู้เชี่ยวชาญได้รับทักษะความชำนาญในการแปลข้อกำหนดทางธุรกิจและเวิร์กโหลด AI ไปสู่แนวทางปฏิบัติทางเทคนิคที่ยั่งยืนสำหรับการออกแบบโครงสร้างพื้นฐาน  นอกจากนั้น ซิสโก้ยังได้เปิดตัวหลักสูตรแรกของการฝึกอบรมความเชี่ยวชาญพิเศษด้าน AI สำหรับพาร์ทเนอร์จาก Cisco Black Belt เส้นทางการเรียนรู้ดังกล่าวช่วยให้พาร์ทเนอร์ของซิสโก้มีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับการสร้างแนวทางปฏิบัติด้าน AI และเร่งการปรับใช้เทคโนโลยีให้กับลูกค้า

ความคิดเห็นสนับสนุน
“โซลูชั่นคลัสเตอร์ Nexus HyperFabric AI มีความแตกต่างเหนือคู่แข่ง โดยใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์โดยรวมของซิสโก้ รูปแบบการสมัครสมาชิกที่มีการจัดการผ่านระบบคลาวด์ และความร่วมมือระหว่างซิสโก้และ NVIDIA รวมไปถึงแง่มุมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยให้สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในส่วนของโซลูชั่น Enterprise AI Datacenter Switching และ Software Ops”
– วีเจย์ ภควัท รองประธานฝ่ายวิจัยของ IDC

“โมเดล Generative AI จำเป็นต้องใช้การเข้าถึงข้อมูลจำนวนมหาศาลอย่างรวดเร็ว โดยอาศัยพลังประมวลผลที่เหนือชั้นและโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายประสิทธิภาพสูง  ด้วยโซลูชั่นคลัสเตอร์ Cisco Nexus HyperFabric AI เราจะสามารถช่วยให้องค์กรต่างๆ สร้างดาต้าเซ็นเตอร์ AI โดยใช้ระบบประมวลผลแบบเร่งความเร็วและซอฟต์แวร์ AI ของ NVIDIA รวมไปถึงระบบเครือข่ายของซิสโก้ และ VAST Data Platform ซึ่งจะรองรับการตรวจสอบระบบประมวลผล เครือข่าย สตอเรจ และการจัดการข้อมูลอย่างครบวงจร ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้องค์กรสามารถสร้างและปรับขนาดการดำเนินงานด้าน AI ได้อย่างราบรื่น”
– เรเน็น ฮัลลัก ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง VAST Data

“โซลูชั่นการประมวลผลและเครือข่ายของซิสโก้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาของ PTC รวมไปถึงประสิทธิภาพของดาต้าเซ็นเตอร์ การเชื่อมต่อ และซอฟต์แวร์ Servigistics ของเรา เพื่อส่งมอบความสามารถของซัพพลายเชนด้านบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI ให้แก่ลูกค้าของเราในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ช่วยให้ลูกค้าสามารถประมาณการ คาดการณ์ ปรับแต่ง และปรับปรุงประสิทธิภาพของซัพพลายเชนด้านบริการได้ดียิ่งขึ้น  โซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐาน AI ใหม่ล่าสุดของซิสโก้ พร้อมเทคโนโลยีจาก NVIDIA ช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถให้แก่ PTC ในการปรับขนาดโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ ปรับปรุงการดำเนินงานและผลประกอบการ และช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน”
– ไมเคิล เบลค รองประธานฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศของ PTC

“อีเธอร์เน็ตครอบคลุมขอบเขตที่กว้างขวางที่สุดในฐานลูกค้าของเรา และความร่วมมือระหว่างซิสโก้และ NVIDIA รวมถึงโซลูชั่นที่เป็นผลงานการพัฒนาร่วมกัน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของเราในการส่งมอบโซลูชั่น AI ให้แก่ลูกค้า  เทคโนโลยีของทั้งซิสโก้และเ NVIDIA เป็นองค์ประกอบสำคัญในห้องปฏิบัติการ AI Proving Ground ของ WWT ซึ่งเป็นสถานที่ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกและปรับใช้สถาปัตยกรรม AI เพื่อเปลี่ยนข้อมูลที่มีอยู่ให้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกและการดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”
– นีล แอนเดอร์สัน รองประธานฝ่ายคลาวด์ โครงสร้างพื้นฐาน และโซลูชั่น AI ของ WWT

ข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ ซิสโก้ (Cisco)

Cisco (NASDAQ: CSCO) เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่เชื่อมต่อทุกสิ่งอย่างปลอดภัยเพื่อให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ เป้าหมายของซิสโก้คือขับเคลื่อนอนาคตสำหรับทุกคนโดยช่วยลูกค้าคิดใหม่ (reimagine) เกี่ยวกับแอปพลิเคชัน ขับเคลื่อนการทำงานแบบไฮบริด รักษาความปลอดภัยให้กับองค์กร ทรานส์ฟอร์มโครงสร้างพื้นฐาน และบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เอเซอร์เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่กลุ่ม Vero เลเซอร์โปรเจคเตอร์สำหรับโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์

ไทเป (17 มิถุนายน 2567) เอเซอร์ เปิดตัวโปรเจคเตอร์ Vero รุ่นใหม่ 2 รุ่น ด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงภายในบ้าน ด้วยความละเอียดระดับ 4K UHD รองรับเทคโนโลยี HDR10 ให้ภาพสวยงามคมชัด ความสว่างที่ 4,000 ANSI lumens จากหลอดภาพ laser/LED hybrid. Acer Vero HL6810ATV มาพร้อมกับ Android TV dongle ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของเอเซอร์ ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงแอปพลิเคชันและฟีเจอร์ต่างๆ สำหรับสมาร์ทโฮมได้อย่างสะดวกสบายเพียงปลายนิ้วสัมผัส

ภายใต้แนวคิดที่มุ่งเน้นความยั่งยืนของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Vero เลเซอร์โปรเจคเตอร์รุ่นใหม่ได้รับการออกแบบมาให้ประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้นโดยยังคงประสิทธิภาพการทำงาน ให้ความสว่างยาวนานถึง 30,000 ชั่วโมง หลอดภาพไฮบริดปราศจากสารปรอท 100% รวมถึงการใช้พลาสติก PCR มาเป็นส่วนประกอบของตัวเครื่อง และบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากกระดาษรีไซเคิล

Acer Vero HL68 Series: ยกระดับประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์และการเล่นเกมความคมชัดระดับ 4K 

Acer Vero HL6810 และ Acer Vero HL6810ATV สมาร์ทโปรเจคเตอร์ตอบโจทย์ทุกความบันเทิงความละเอียด 4K Ultra HD (3820×2160) และความสว่าง 4,000 ANSI lumens เทคโนโลยีหลอดภาพ Laser & LED Hybrid ให้ภาพคมชัดและสีสันสดใสเมื่อสตรีมหรือเล่นเกมบนหน้าจอขนาดใหญ่ แม้อยู่ในที่ที่มีแสงสว่างมาก รายละเอียดชัดเจนแม้ในฉากที่มืดที่สุดด้วยอัตราส่วนความคมชัด 50,000:1 แสดงสีได้แม่นยำตามมาตรฐาน Rec. 709 ถึง 105% ทำให้ภาพคมชัด นอกจากนี้ยังรองรับ HDR10/HLG แสดงผลสีสันสดใส สมจริง ครอบคลุมช่วงสีที่กว้างขึ้น พร้อมความแม่นยำของความสว่างที่กว้างขึ้นผ่านโหมดการแสดงผล 4 โหมดที่รองรับคอนเทนต์หลากหลากประเภท โหมดฟุตบอลที่ออกแบบมาเฉพาะจาก Acer ช่วยให้ภาพที่แสดงบนหน้าจอขนาดใหญ่ มีความสดใส สมจริง เหมาะสำหรับการรับชมกีฬาที่ให้รู้สึกราวกับอยู่ในสนามจริง

เพิ่มเติมประสบการณ์ความบันเทิงด้วย Android TV

Vero HL6810ATV มาพร้อมกับฟีเจอร์ Android TV dongle ง่ายต่อการติดตั้งโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์หรือสายเคเบิลเพิ่มเติม ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงความบันเทิงและแอปฯ สตรีมมิ่งที่ต้องการ เช่น Netflix และ Youtube ได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอก ควบคุมโปรเจคเตอร์ได้อย่างสะดวกสบายด้วยคำสั่งเสียงผ่านรีโมทหรือสมาร์ทโฟน

Vero HL6810ATV รองรับความละเอียด 4K UHD มอบประสบการณ์การรับชมคอนเทนต์ที่ชื่นชอบด้วยภาพคมชัด สมจริงระดับ 4K. เลนส์ซูม 1.3X เพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับและแสดงภาพในพื้นที่ ที่แตกต่างกัน และทำงานร่วมกับ Keystone และเทคโนโลยี 4 Corner Correction ช่วยปรับภาพให้ได้สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ. โปรเจคเตอร์รุ่นนี้ได้รับการรับรองมาตรฐานการกันน้ำและฝุ่น IP5X. ช่วยลดผลกระทบจากแสงสีฟ้าต่อดวงตาด้วยเทคโนโลยี Acer BlueLight Shield. เชื่อมต่อกับเครื่องเสียงด้วยพอร์ต HDMI 2.0 (Audio Return) รองรับ Blu-ray 3D สร้างประสบการณ์ความบันเทิงแบบ 3 มิติ สมจริงราวกับอยู่ในโรงภาพยนตร์

เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

โปรเจคเตอร์ Acer Vero HL68 Series มาพร้อมกับหลอดภาพแบบ Laser/LED ที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยประหยัดพลังงานสูงสุดถึง 48% เมื่อเทียบกับโปรเจคเตอร์แบบหลอดภาพทั่วไป. นอกเหนือจากการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังช่วยยืดอายุการใช้งานและลดต้นทุน ด้วยหลอดภาพที่มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 30,000 ชั่วโมง โหมดประหยัดพลังงานและฟีเจอร์เปิด-ปิดเครื่องทันที ช่วยลดการใช้พลังงานในขณะใช้งานโหมดต่างๆ หรือไม่ได้ใช้งาน หลอดภาพของโปรเจคเตอร์ Acer HL68 Series ปลอดสารปรอท 100% ตัวเครื่องผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล (PCR) และบรรจุภัณฑ์ผลิตจากกระดาษรีไซเคิลได้ทั้งหมด ช่วยลดการสร้างมลภาวะ

ราคาและการจำหน่าย

Acer Vero HL6810ATV ในทวีปยุโรปตะวันออกกลางและแอฟริกา วางจำหน่ายในเดือนมิถุนายน ราคาเริ่มต้นที่ 1,699 EUR.

Acer Vero HL6810 ในทวีปยุโรปตะวันออกกลางและแอฟริกา วางจำหน่ายในเดือนสิงหาคม ราคาเริ่มต้นที่ 1,599 EUR.

รายละเอียดสเปก ราคา และการวางจำหน่ายอาจแตกต่างกันตามภูมิภาค. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางจำหน่าย ข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ และราคาได้ที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้คุณ หรือที่ www.acer.com 

เข้าชม Acer’s Media Center สำหรับภาพผลิตภัณฑ์ สเปคและข้อมูลต่างๆ หรือ Acer Press Room เพื่อติดตามข่าวสารทั้งหมดจากเอเซอร์


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์เผยคาดการณ์มูลค่าใช้จ่ายบริการคลาวด์สาธารณะผู้ใช้ทั่วโลก ปี 2567 พุ่งสูง 675 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 17 มิถุนายน 2567 – การ์ทเนอร์ อิงค์ คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายบริการคลาวด์สาธารณะของผู้ใช้ทั่วโลก ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 20.4% คิดเป็นมูลค่า 675.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 561 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566 ซึ่งการเติบโตนี้เป็นผลมาจากการขับเคลื่อนการใช้ Generative AI (GenAI) และการปรับปรุงแอปพลิเคชันให้ทันสมัย

สำหรับประเทศไทย การ์ทเนอร์ประเมินมูลค่าการใช้จ่ายของบริการคลาวด์สาธารณะขององค์กรในปีนี้จะสูงกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 30.1% จากปี 2566 โดยกลุ่มบริการ Infrastructure-as-a-service (IaaS) เติบโตสูงสุด เพิ่มขึ้น 39.6% ตามมาด้วย Platform-as-a-service (PaaS) อยู่ที่ 26%

ซิด ณาก รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “เราคาดว่าจะเห็นการเติบโตของการใช้จ่ายบริการคลาวด์สาธารณะอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการใช้จ่ายส่วนใหญ่มาจาก GenAI เนื่องจากมีการสร้างโมเดลพื้นฐานเพื่อใช้งานทั่วไปอยู่ตลอดเวลา และการส่งมอบแอปพลิเคชันที่เปิดใช้งาน GenAI ที่ขยายตัวเพิ่มไปสู่วงกว้าง และการเติบโตที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องนี้เราจึงคาดว่าก่อนสิ้นทศวรรษนี้ยอดการใช้จ่ายผู้ใช้กับบริการคลาวด์สาธารณะจะสูงทะลุหนึ่งล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในปี 2567 คาดว่าบริการคลาวด์ทุกกลุ่มตลาดจะโตขึ้น โดยบริการ Infrastructure-As-A-Service (IaaS) จะโตสูงสุดที่ 25.6% ตามมาด้วยกลุ่มบริการ Platform-As-A-Service (PaaS) ที่ 20.6% (ดูตารางที่ 1)

ตารางที่ 1. คาดการณ์มูลค่าบริการคลาวด์สาธารณะของผู้ใช้ทั่วโลก (หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

ปี 2566

ยอดใช้จ่าย

ปี 2566

ยอดเติบโต (%)

ปี 2567

ยอดใช้จ่าย

ปี 2567

ยอดเติบโต (%)

ปี 2568

ยอดใช้จ่าย

ปี 2568

ยอดเติบโต (%)

Cloud Application Infrastructure Services (PaaS) 142,934 19.5 172,449 20.6 211,589 22.7
Cloud Application Services (SaaS) 205,998 18.1 247,203 20.0 295,083 19.4
Cloud Business Process Services (BPaaS) 66,162 7.5 72,675 9.8 82,262 13.2
Cloud Desktop-as-a-Service (DaaS) 2,708 11.4 3,062 13.1 3,437 12.3
Cloud System Infrastructure Services (IaaS) 143,302 19.1 180,044 25.6 232,391 29.1
Total Market 561,104 17.3 675,433 20.4 824,763 22.1

หมายเหตุ การปัดเศษ ทำให้ตัวเลขบางตัวเมื่อรวมกันแล้วอาจไม่ตรงกับจำนวนรวมทั้งหมด

ที่มา: การ์ทเนอร์ (พฤษภาคม 2567)

“IaaS ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งสะท้อนถึงการปฏิวัติของ GenAI ที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ โดยความต้องการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อฝึกอบรมโมเดล AI การอนุมานและการปรับแต่งอย่างละเอียดนั้นมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และจะยังคงเติบโตทวีคูณ อันส่งผลโดยตรงต่อการใช้บริการคลาวด์ในกลุ่ม IaaS” ณาก กล่าวเพิ่มเติม

ในขณะที่โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และบริการแพลตฟอร์มกำลังผลักดันการเติบโตของยอดการใช้จ่ายในระดับสูงสุด กลุ่มบริการ SaaS ยังคงเป็นกลุ่มที่มียอดการใช้จ่ายของผู้ใช้ใหญ่ที่สุดของตลาดคลาวด์ โดยในปี 2567 คาดว่าจะเติบโต 20% คิดเป็นมูลค่ารวม 247.2 พันล้านดอลลาร์

“มูลค่าการใช้จ่ายในกลุ่มบริการ SaaS ได้รับแรงหนุนมาจากการที่แอปพลิเคชันที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้ทันสมัยโดยผู้ขายซอฟต์แวร์อิสระเพื่อให้สามารถทำงานในรูปแบบ SaaS ได้ ขณะที่องค์กรต่าง ๆ ยังคงเพิ่มการใช้งานบนคลาวด์สำหรับการใช้งานเฉพาะ เช่น AI, แมชชีนเลิร์นนิ่ง, Internet of Things และบิ๊กดาต้า ซึ่งล้วนขับเคลื่อนการเติบโตให้กับกลุ่มบริการ SaaS” ณาก กล่าวเพิ่มเติม

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

กรีน เยลโล่ มอบแผงโซลาร์เซลล์ สนับสนุนโครงการค่ายจิตอาสา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเดินหน้าสู่การพัฒนาความยั่งยืน

กรุงเทพฯ ประเทศไทย – 12 มิถุนายน 2567 – กรีน เยลโล่ ผู้ลงทุนและดำเนินงานระดับโลกด้านการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ประกาศการมีส่วนร่วมสนับสนุนแผงโซลาร์เซลล์ให้แก่โครงการค่ายจิตอาสาคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ กรีน เยลโล่ ในการเดินหน้าพัฒนาความยั่งยืนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

โครงการสนับสนุนแผงโซลาร์เซลล์มูลค่า 170,000 บาทนี้ สืบเนื่องมาจากการแนะนำของพันธมิตรอย่าง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) โดยสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันของทั้งสององค์กรในการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยแผงโซลาร์เซลล์จากกรีน เยลโล่ จะถูกนำไปใช้ในโครงการค่ายจิตอาสาพัฒนาชุมชนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติดตั้งตามจุดต่าง ๆ  เพื่อปรับปรุงระบบประปา และสร้างระบบไฟฟ้าให้กับชุมชนในพื้นที่ด้อยโอกาส อย่างเช่น วัดเกาะศาลพระ จังหวัดราชบุรี หรือ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี รวมไปถึงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ จำนวน 20 แผ่นให้กับชุมชนห้วยน้ำเพี้ยเพื่อจ่ายไฟฟ้าให้กับครัวเรือนภายในพื้นที่อีกด้วย

โครงการค่ายจิตอาสาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนให้แก่ชุมชน ด้วยการปลูกป่าและการจัดตั้งระบบน้ำที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมุ้งเน้นที่จะส่งเสริมสภาพแวดล้อม ปรับสภาพดินเสื่อมโทรม และลดมลพิษทางอากาศ

แฟรงค์ คลุค ประธานกรรมการบริหารของ กรีน เยลโล่ ประเทศไทยและเอเชีย กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนโครงการสำคัญของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งความร่วมมือที่สืบเนื่องมากจากโครงการร่วมกันกับ EXIM BANK นี้ ถือเป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตที่ยั่งยืน  โดยเราจะยังคงทุ่มเทให้กับการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อไป”

แฟรงค์ คลุค กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรีน เยลโล่ มุ่งมั่นในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการของเราที่ได้รับการสนับสนุนโดยนโยบายส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนของรัฐบาล โดยโครงการค่ายจิตอาสาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนี้ ได้มุ่งเน้นไปที่การปลูกป่าและระบบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนในชุมชน ซึ่งจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับชุมชน จัดการกับความเสียหายของดินที่เกิดจากการปลูกพืชเชิงเดียว และปกป้องพื้นที่ลุ่มน้ำ รวมไปถึงช่วยให้ชุมชนบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมากขึ้นอีกด้วย”

กรีน เยลโล่ ให้บริการโซลูชันด้านพลังงานอย่างครบวงจร ที่ครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่การลงทุน การออกแบบไปจนถึงการขอใบอนุญาต การก่อสร้าง การดำเนินงาน การตรวจสอบ และการบำรุงรักษา โดยทั้งหมดนี้รวมอยู่ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar PPA) โดยไม่ต้องลงทุนเอง นอกจากนี้ เป้าหมายของ กรีน เยลโล่ ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับเป้าหมายของรัฐบาล ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% ภายในปีพ.ศ. 2573 และบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปีพ.ศ. 2593 อีกด้วย

เกี่ยวกับ กรีน เยลโล่

กรีน เยลโล่ (ไทยแลนด์) เป็นส่วนหนึ่งของ กรีน เยลโล่ กรุ๊ป มีสำนักงานใหญ่อยู่ในฝรั่งเศส ก่อตั้งมาแล้วกว่า 16 ปี เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการ ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยนำเสนอโซลูชันด้านพลังงาน เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพลังงานให้กับลูกค้า ด้วยการใช้พลังงานที่ลดลงและสะอาดมากขึ้น โดยในระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา กรีน เยลโล่ (ไทยแลนด์) ได้ลงนามในสัญญาสำหรับโครงการโซลาร์เซลล์ และสัญญาการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานแล้วถึง 200 สัญญา กับลูกค้ากว่า 75 บริษัท โดยได้รับความไว้วางใจจากบริษัทข้ามชาติ และกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดย กรีน เยลโล่ ถือเป็นผู้นำด้านการสร้างการเปลี่ยนผ่านพลังงาน และยังเดินหน้าขยายกิจการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง โดยเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศเวียดนามและกัมพูชา


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ทีมหุ่นยนต์ iRAP_Let’s go คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจพ. คว้ารางวัลชนะเลิศได้ครองถ้วยพระราชทานฯ จากการแข่งขันหุ่นยนต์ ส.ส.ท. ชิงแชมป์ประเทศไทย ปี 2567

ทีมหุ่นยนต์ iRAP_Let’s go คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) คว้ารางวัลชนะเลิศ ได้ครองถ้วยรางวัลพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และคว้ารางวัลหุ่นยนต์อัตโนมัติยอดเยี่ยม จากการแข่งขันหุ่นยนต์ ส... ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2567 ในเกมการแข่งขันวิถีข้าว วิถีไทย สู่วิถีสากล “HARVEST DAY” ณ ห้องไดมอนด์ ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต เมื่อวันที่ 8-9 มิถุนายน 2567 จากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศถึง 560 ทีม รวม 1,761 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีให้เยาวชนไทยได้แสดงศักยภาพความรู้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์  รวมถึงเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาที่สนใจในเรื่องวิทยาการหุ่นยนต์จากทั่วประเทศ  สมาชิกทีมหุ่นยนต์ iRAP_Let’s go มีดังนี้

1) คณะวิศวกรรมศาสตร์

ภาควิชาวิศวกรรมการผลิตและหุ่นยนต์นายลัทธพลโอสถานนท์นายนวพลกุลภานายชญานินธิติกุลวัฒน์ นายพงศ์ภพ คงพาลา นางสาวสุพิชชา จิตร์นิยม นายธันธวัช ดารารัตน์ และนายธีรพัฒน์ เจริญวัฒนาเลิศ

ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ นายศิวกร ปานบ้านแพ้ว และนายเสริมชาติ ลีละสกุลมีเกียรติ
ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลและการบินอวกาศ นายอนวัช จิตรำลึก นายสุกฤษฎิ์ไชย  หอมกระจาย นางสาวณัฏฐณิชา สุขชัย และนายธนวัชร สายสินธุ์
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา นายเขมรักษ์ ขำเลิศ

2) วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม

สาขาเทคโนโลยีวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ นายกิตติภัฏ สุวรรณ์ นายณัฐพล ถาวโรจน์ และนายกันตินันท์ คงน่วม
สาขาเทคโนโลยีวิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์ นายพัฒนเดช ศรีอนันต์ และนายณภัทร จันทร์ลาม

อาจารย์ที่ปรึกษาทีมผศ.นพดล พัดชื่น และดร.จิรพันธ์ อินเทียม

โดยรายการต่อไปทีมหุ่นยนต์ iRAP_Let’s go เข้าการแข่งขัน ABU M-COT Thailand Championship 2024 ที่จะจัดขึ้น ในวันที่ 6-7  กรกฎาคม 2567  ณ หอประชุมอาคารเฉลิมพระเกียรติ เทศบาลเมือง จังหวัดกาญจนบุรีเพื่อคัดเลือกทีมตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขัน ABU Robocon 2024 ณ ประเทศเวียดนาม 

  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ขอแสดงความชื่นชมและยินดีกับนักศึกษาและคณาจารย์ทีม ทีมหุ่นยนต์ iRAP_Let’s go และอย่าลืมไปเชียร์ทีมหุ่นยนต์ iRAP_Let’s go ด้วย

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/TPAROBOT และที่  https://www.tpa.or.th/robot/files/2024/a-20-2567.pdf

ประกาศรายชื่อ 8 ทีมที่เข้าร่วมการแข่งขัน ABU ROBOCON CONTEST THAILAND CHAMPIONSHIP 2024 Link : https://www.tpa.or.th/robot/files/2024/a-21-2567.pdf

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซีเมนส์สนับสนุนอุตสาหกรรม F&B ไทย ใช้เทคโนโลยีลดความท้าทายด้านพลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน

ซีเมนส์ เดินหน้าสนับสนุนวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนอุตสาหกรรม F&B ในการก้าวสู่ยุคดิจิทัลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืนมากขึ้น นำเทคโนโลยีและโซลูชันระดับโลกล่าสุด อาทิ Robot Integrator, Integrated Energy Management System, Advanced Planning and Scheduling หรือ APS Predictive Maintenance และอีกหลากหลายนวัตกรรมด้านความยั่งยืน มาร่วมจัดแสดงและสาธิตยูสเคสที่น่าสนใจ ภายในงาน ProPak Asia 2024 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 มิถุนายน ศกนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) โดยซีเมนส์จะอยู่ที่ ฮอลล์ 98 บูท B44 

อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) กำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจรอบด้าน โดยเฉพาะต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงในความต้องการของผู้บริโภคที่เน้นการดูแลสุขภาพ สินค้าที่ออกแบบเฉพาะบุคคล และการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมความยั่งยืน ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ในเดือนมีนาคม 2567 หดตัว 5.13% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 ซึ่งมีหลายปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งค่าไฟฟ้า ราคาวัตถุดิบและราคาน้ำมัน โดยอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว

ปัจจุบันผู้ประกอบการมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน ในปีงบประมาณ 2566 ผลิตภัณฑ์และโซลูชันจากซีเมนส์ช่วยให้ลูกค้าของบริษัทฯ หลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซ CO2 ได้ประมาณ 190 ล้านตัน สอดรับกับแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ยึดหลักความยั่งยืนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

โจเซฟ คง หัวหน้ากลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัล ซีเมนส์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ซีเมนส์รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นอุตสาหกรรมการผลิตไทยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้และเดินหน้าสู่เส้นทางการผลิตที่ยั่งยืน เรามุ่งมั่นสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคอุตสาหกรรม F&B ไปสู่การใช้โซลูชันเทคโนโลยีดิจิทัลที่ครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดของอุตสาหกรรม การจัดแสดงโซลูชันของซีเมนส์ ภายในงาน Propak Asia 2024 ครั้งนี้จะช่วยให้ข้อมูลเชิงลึกกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมฯเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่มุ่งเน้นความยั่งยืน ตั้งแต่ส่วนการออกแบบ (Design) ส่วนการผลิต (Production) และห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาส ผลักดันการใช้นวัตกรรมเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรมฯ

เทคโนโลยีและโซลูชันไฮไลท์ของซีเมนส์ที่จัดแสดงในงาน ProPak Asia 2024 ประกอบด้วย

  • Robot Integrator: ปัจจุบันภาคการผลิตมีการใช้เครื่องจักรและหุ่นยนต์อย่างแพร่หลาย จากผู้ผลิตต่างแบรนด์ ซึ่งทำให้เกิดความซับซ้อน สิ้นเปลืองทรัพยากรและงบประมาณในการจัดการ ทั้งนี้โซลูชัน Robot Integrator ผนวกรวมการจัดการหุ่นยนต์จากผู้ผลิตหลายรายเข้าด้วยกันภายใต้ Interface เดียว ลดเวลาการเขียนโปรแกรมและวิศวกรรมซอฟต์แวร์ลงถึง 30%* สามารถช่วยให้อุตสาหกรรม F&B ได้รับประโยชน์ในสองด้านหลัก ๆ ได้แก่ ด้านการทำวิศวกรรม และด้านการปฏิบัติงาน ช่วยลดความผิดพลาดและการซ่อมบำรุงที่ไม่จำเป็น เพิ่มประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ
  • Integrated Energy Management System: ซอฟต์แวร์โซลูชันในการตรวจสอบจัดการพลังงานครบวงจรที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 50001 โดยโซลูชันนี้จะบันทึกข้อมูลและวิเคราะห์การใช้พลังงานหลากหลายประเภทที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิต สามารถปรับขยายได้ (Scalable) สามารถให้ข้อมูลการใช้พลังงานในส่วนย่อยไปจนถึงภาพรวมของทั้งองค์กร ช่วยให้ผู้ประกอบการเห็นภาพรวมสามารถลดต้นทุนด้านพลังงานได้อย่างยั่งยืน พร้อมเพิ่มผลผลิตและขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ
  • Opcenter Advanced Planning and Scheduling (หรือ APS): ซอฟต์แวร์ช่วยการวางแผนและกำหนดตารางการผลิตขั้นสูง ที่มีความสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการวางแผนและกำหนดตารางการผลิต ลดเวลาการหยุดทำงานของเครื่องจักร เพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า ประโยชน์เด่นของ Opcenter APS
    • เพิ่มผลผลิตขึ้นได้สูงสุดถึง 25% ด้วยการตรวจจับอุปสรรคคอขวดในระบบ ลดเวลาการตั้งค่า เพิ่มประสิทธิภาพในการนำเครื่องจักรและเครื่องมือต่าง ๆ มาใช้ และลดงานที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการลง
    • ลดการเก็บสินค้าคงคลังลงได้สูงสุดถึง 50% โดยลดของเสียในระบบ ระบุสาเหตุการขาดแคลนสินค้าได้อย่างง่ายดาย พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของวัสดุและการซิงโครไนซ์ด้านการผลิต
    • การจัดส่งตรงเวลาเพิ่มขึ้นได้สูงสุดถึง 50% โดยเพิ่มประสิทธิภาพและความพร้อมใช้งาน ลดระยะเวลาการรอคอยสินค้า
  • Senseye Predictive Maintenance: โซลูชันการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์นี้ช่วยจัดการกับความท้าทายของผู้ผลิตในการบริหารการบำรุงรักษาสินทรัพย์ ด้วยเทคโนโลยี AI ชั้นนำที่สามารถสร้างแบบจำลองพฤติกรรมของเครื่องจักรและผู้ดูแลแบบอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากรไปใช้ในจุดที่มีความจำเป็นสูงสุด ลดเวลาเครื่องจักรหยุดทำงานลงสูงสุดถึง 50% ลดค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุงสูงสุดถึง 40% แพลตฟอร์มนี้ยังช่วยเร่งกระบวนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันขององค์กรได้อีกด้วย

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม และร่วมสัมผัสนวัตกรรมซีเมนส์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รองรับการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มไปสู่ดิจิทัล ในงาน ProPak Asia 2024 ภายใต้คอนเซ็ปต์ Go Digital, Become Sustainable ได้ที่ Siemens ProPak Asia 2024

หมายเหตุ: *กรณีศึกษาที่ประเทศสเปน Robotics meets automation: how EPF is creating an industrial ecosystem

เกี่ยวกับซีเมนส์

ซีเมนส์ เอจี (เบอร์ลินและมิวนิค) เป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ทางด้านอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมขนส่ง และการดูแลสุขภาพ ธุรกิจของบริษัทฯ ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการทรัพยากรในโรงงาน การบริหารห่วงโซ่อุปทาน ระบบอาคารอัจฉริยะและระบบโครงข่ายไฟฟ้า ไปจนถึงการขนส่งที่ใช้พลังงานสะอาด และการดูแลสุขภาพขั้นสูง บริษัทฯ พัฒนาเทคโนโลยีด้วยวัตถุประสงค์เพื่อมอบคุณค่าที่แท้จริงแก่ลูกค้า ซีเมนส์ช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมและตลาด เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของคนนับพันล้านโดยผสานโลกความจริงและโลกดิจิทัลเข้าไว้ด้วยกัน ซีเมนส์เป็นผู้ถือหุ้นหลักในซีเมนส์ เฮลทิเนียร์ส ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีการแพทย์และบริการดูแลสุขภาพดิจิทัล นอกเหนือจากนั้น ซีเมนส์ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยใน ซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ ผู้นำระดับโลกในด้านการผลิตและนำส่งพลังงานไฟฟ้า

ในปีงบประมาณ 2566 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อ 30 กันยายน 2566 ซีเมนส์มีพนักงาน 320,000 คนทั่วโลก กลุ่มธุรกิจของซีเมนส์สร้างรายได้ 77.8 พันล้านยูโร และมีผลกำไร 8.5 พันล้านยูโร ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.siemens.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ฟอร์ติเน็ต เชิญลงทะเบียนก้าวสู่ยุค “Platform Era” กับโลกไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ในงาน Fortinet Accelerate Asia 2024

ในโลกที่ผู้คน ข้อมูล อุปกรณ์ และแอปพลิเคชันสามารถทำงานได้ทุกที่ทั่วโลก ภัยคุกคามที่ทวีความซับซ้อนมากขึ้นถูกออกแบบมาให้ฉวยโอกาสจากพื้นที่การโจมตีที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นนี้ และด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การเติมอุปกรณ์ใหม่ๆ ภายใต้รูปแบบการรักษาความปลอดภัยแบบเดิมๆ ไม่สามารถตอบโจทย์การป้องกันภัยคุกคามใหม่ ๆ ได้อีกต่อไป

ฟอร์ติเน็ต ในฐานะผู้นำด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับโลกที่ขับเคลื่อนการผสานกันของระบบเน็ตเวิร์กกิ้งและซีเคียวริตี้ ขอเชิญผู้บริหาร ทีมทำงานด้าน IT และ Cybersecurity จากทุกภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม เข้าร่วมงาน Fortinet Accelerate Asia 2024 – Thailand Edition ภายใต้ธีม “ก้าวสู่ยุคใหม่ของการรักษาความปลอดภัย ก้าวสู่ยุคของแพลตฟอร์ม” ในวันอังคารที่ 18 มิถุนายน 2024 ณ โรงแรม Eastin Grand Phayathai โดยลงทะเบียนเข้างานฟรี ที่นี่

ในปีนี้ ภายในงานจะมุ่งเน้นไปที่การบูรณาการซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และเทคโนโลยีอื่นๆ เข้าไว้ในแพลตฟอร์มเดียวกัน เพื่อให้ระบบทั้งหมดทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสามารถในการจัดการและการรักษาความปลอดภัย รวมถึงลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการระบบทั้งหลายที่ใช้อยู่ในองค์กร พร้อมทิศทางและแนวโน้มของไซเบอร์ซีเคียวริตี้ในอนาคต ผู้เข้าร่วมงานสามารถเข้าชมบูธและ Live Demo โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของฟอร์ติเน็ต มีช่วงของ “Customer Voice” ที่จะมาแชร์ประสบการณ์จริงการใช้โซลูชันการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ให้ฟังในงาน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ พร้อมจัดงาน ProPak Asia 2024 งานแสดงเทคโนโลยีกระบวนการผลิต แปรรูป และบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย

อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผสานความร่วมมือองค์กรธุรกิจ พร้อมบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และบรรจุภัณฑ์จากทั่วโลก เชิญผู้ประกอบและผู้สนใจในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ร่วมงาน ProPak Asia 2024 งานแสดงเทคโนโลยีกระบวนการผลิต แปรรูป และบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย โดยแนวคิดในการจัดงานฯ ในปีนี้ คือ “Empowering Sustainability Processing & Packaging Success with Ideation, Innovation and Investment” หรือ ยกระดับความสําเร็จในกระบวนการผลิตและบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนด้วย แนวคิด นวัตกรรมและการลงทุน เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ ร่วมรับรู้แนวโน้มธุรกิจและทิศทางอุตสาหกรรม อัพเดทนวัตกรรมและเทคโนโลยีล่าสุด พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับผู้เชียวชาญและบริษัทชั้นนำของโลก ซึ่งงาน ProPak Asia 2024 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12–15 มิถุนายน 2567 จัดแสดงงานฯ เต็มพื้นที่ภายในฮอลล์และโถงด้านหน้าทั้งหมดของ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา รวมกว่า 55,000 ตรม. และมีผู้เข้าร่วมจัดแสดงงานกว่า 2,000 ราย จาก 45 ประเทศ

ภายในงานพบ 8 โซนจัดแสดงครอบคลุมทุกหน่วยของอุตสาหกรรมอาหาร การแปรรูป และบรรจุภัณฑ์ ประกอบด้วย 1) Processing Tech Asia 2) Packaging Tech Asia 3) Drink Tech Asia 4) Pharma Tech Asia  5) Lab&Test Asia 6) Packaging Solution Asia 7) Coding, Marking & Labelling Asia 8) Coldchain, Logistics, Warehousing & Factory Asia และ 12 พาวิลเลี่ยนนานาชาติที่เข้าร่วมจัดแสดงงานฯ ได้แก่ เยอรมนี ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี อเมริกาเหนือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ออสเตรลัย มาเลเซีย และไต้หวัน

ไฮไลท์ภายในงานที่พลาดชมไม่ได้ ประกอบด้วย

  1. I-Stage เวทีที่รวบรวม ความริเริ่มสร้างสรรค์ นวัตกรรมและการลงทุนสําหรับโซลูชั่นทางธุรกิจในระบบห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่มและธุรกิจ FMCG (Fast-Moving Consumer Goods) สินค้าอุปโภค บริโภค 
  2. ProPak Gourmetเวิร์คช็อปและสาธิตการใช้เทคโนโลยีเพื่อการแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ค้นหาวิธีการยืดระยะเวลาความสด เพื่อเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบสําหรับเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก สัตว์นํ้าและอาหารทะเล
  3. Future Food Cornerพื้นที่แลกเปลี่ยนแนวคิดระบบอาหารแห่งอนาคต ด้วยเทคโนโลยีการผลิตและบรรจุภัณฑ์ พร้อมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ไปกับอาหารแห่งอนาคต 
  4. Lab & Test Teatherอัพเดทข้อกําหนดล่าสุดด้านความปลอดภัย เทคโนโลยีตรวจสอบและควบคุมมาตรฐานการแปรรูปอาหาร เครื่องดื่ม ยา สินค้าอุปโภคบริโภคและบรรจุภัณฑ์สินค้า
  5. Packaging Design Clinicพื้นที่ให้คําปรึกษาเกี่ยวกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์ 
  6. WorldStar, AsiaStar & ThaiStar Packaging Awards Displayพื้นที่จัดแสดงบรรจุภัณฑ์ที่ชนะการประกวดออกแบบระดับประเทศ ระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งปีนี้ World Packaging Organization (WPO) ได้เลือกมาจัดงาน WorldStar Global Packaging Award ในงาน ProPak Asia เพื่อมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดบรรจุภัณฑ์ระดับโลก

รวมถึงกิจกรรมการประชุมและสัมมนาอีกมากกว่า 120 การประชุม จาก 400 หัวข้อ โดยวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญ ครอบคลุมทั้งเรื่องการวิจัย นวัตกรรมต่างๆ ด้านการแปรรูป ปรุงสุก บรรจุภัณฑ์ ธุรกิจอาหารและนํ้าดื่ม รวมทั้งมาตรฐานข้อกําหนดต่างๆ สําหรับสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศและสินค้าการส่งออก อาทิ Global Packaging Forum 2024 โดยมีวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์ระดับโลกกว่า 20 ท่าน มาร่วมพูดคุยถึงทิศทางและอนาคตของบรรจุภัณฑ์ในทุกมิติและทุกประเภทบรรจุภัณฑ์ Executive Talk: Asian Agri-Food Sector Transformation สัมมนาหลักในธุรกิจสินค้าแปรรูปจากเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก สัตว์นํ้า อาหารทะเลและสินค้าการเกษตร โดยเน้นถึงทิศทางของธุรกิจในกระดับภูมิภาค แนวทางการเพิ่มมูลค่าสินค้า Beverage Executive Talk หัวข้อด้านธุรกิจเครื่องดื่ม ที่ได้ผู้บริหารระดับสูงในธุรกิจมาแลกเปลี่ยนและพูดคุยถึงทิศทางธุรกิจเครื่องดื่ม การสัมมนาจาก วว. หนึ่งในพันธมิตรหลักของงาน ซึ่งจะมีกิจกรรมและสัมมนาภายในงานที่มุ่งเน้นยกระดับความสามารถของอุตสาหกรรมอาหารและบรรจุภัณฑ์ของไทย ผ่านการวิจัย การพัฒนาและการส่งเสริมนวัตกรรม ฯลฯ (รายละเอียดและวันเวลากิจกรรมสัมมนาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.propakasia.com/ppka/2024/en/conferences.asp) พร้อมทั้งมีหน่วยงานและสถาบันการเงินจากภาครัฐและเอกชนมาให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการลงทุนอีกด้วย

ผู้สนใจรายละเอียดการจัดงานและต้องการลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อเข้าชมงานฯ สามารถลงทะเบียนได้ที่ www.propakasia.com 


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ บทความ เทคโนโลยี

เส้นทาง Net Zero สู่ Sustainable IT

โดย ออทัมน์ สแตนนิช ผู้อำนวยการฝ่ายนักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์

ประเทศไทยกำลังมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เพื่อสร้าง Net Zero Economy โดยมีเป้าหมายหลัก คือ บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 รวมทั้งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 นอกจากนี้ได้มีการปรับเป้าหมาย NDC ให้เข้มงวดขึ้นเพื่อลดการปล่อยมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30-40% ภายในปี 2030 ซึ่งองค์กรต่าง ๆ ในไทยต้องคำนึงถึงพันธกรณีด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในปัจจุบันและอนาคต

เนื่องจากการใช้พลังงานไปกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้าน ICT (เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาระผูกพันเหล่านี้จึงมีความสำคัญมากขึ้น ข้อมูลจากองค์กรวิจัยด้านเซมิคอนดักเตอร์ (SRC) และสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่าตอนที่องค์กรเพิ่งเริ่มต้นยุคดิจิทัลเมื่อทศวรรษ 2010 นั้น งานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ICT ใช้พลังงานทั่วโลกแค่ 0.1% แต่คาดว่าภายในปี 2030 จะพุ่งไปถึง 6.4% เพราะเทรนด์ AI, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ดาต้า ชิป และเซ็นเซอร์ รวมถึงสิ่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

หลายองค์กรมักมองข้ามผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล แต่แท้จริงแล้ว Sustainable IT หรือ ไอทีที่เป็นมิตรต่อโลกคือหัวใจสำคัญเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก (GHG) การบริหารจัดการการใช้น้ำ การจัดการขยะและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับความหลากหลายทางชีวภาพ

แผนแม่บทสำหรับไอทีที่ยั่งยืนเป็นความจำเป็นเพื่อช่วยให้ผู้บริหารฝ่ายจัดการโครงสร้างพื้นฐานและฝ่ายปฏิบัติการ (I&O) บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กร แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ในช่วงทศวรรษ 2020 แต่เทคโนโลยีที่อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาจะช่วยเร่งความคืบหน้าในช่วงทศวรรษ 2030 

เป้าหมายขององค์กรคือการ Bend the Curve หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขปัญหาไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ที่ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากไอทีให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นก็ตาม

การประเมินค่าพื้นฐานของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก GHG ของไอทีและแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของ GHG เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ผู้บริหารฝ่าย I&O ควรวางแผนพัฒนากลยุทธ์ Sustainable IT ให้ครอบคลุมทั้งดาต้าเซ็นเตอร์ คลาวด์ ดิจิทัลเวิร์กสเปซ และแผนส่งเสริมการตัดสินใจด้านข้อมูลและซอฟต์แวร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์

องค์กรส่วนใหญ่มีสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดคลาวด์ ซึ่งรวมถึงพับลิกคลาวด์ ไพรเวทคลาวด์ และดาต้าเซ็นเตอร์ภายในองค์กร ทำให้มีโอกาสมากมายที่จะทำให้ Hybrid Cloud ยั่งยืนยิ่งขึ้น

สำหรับองค์กรที่เพิ่งเริ่มต้นแนวคิดความยั่งยืน การดำเนินการในศูนย์ข้อมูลภายในองค์กร ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ได้แก่ การตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น การจัดการเวิร์กโหลดที่ไม่จำเป็น การใช้พลังงานสำหรับการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลอย่างคุ้มค่า การกำจัดอุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้งานหรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตที่ถูกแฮกเกอร์โจมตีผ่านไวรัสคอมพิวเตอร์ ที่เรียกว่า อุปกรณ์ซอมบี้ (Zombie Equipment) 

แม้จะมีอีกหลายวิธีที่จะช่วยปรับปรุงความยั่งยืนของดาต้า เซ็นเตอร์ แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่องค์กรสามารถทำได้ในตอนนี้คือ การเปลี่ยนจาก “ประสิทธิภาพของอุปทาน – Efficiency of Supply” ไปเป็น “การจัดการกับอุปสงค์ – Demand Management” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการเปลี่ยนจากระบบที่เปิดอยู่ตลอดเวลา ไปเป็นระบบพร้อมใช้งานตลอดเวลา เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความต้องการเวิร์กโหลดและการกำกับดูแลข้อมูล หรือ Data Governance

ไม่มีองค์กรใดย้ายไปใช้คลาวด์ด้วยเหตุผลเพียงเพื่อความยั่งยืน แต่ผู้บริหารบางรายกำลังเร่งการย้ายข้อมูลขึ้นไปบนคลาวด์ เนื่องจากมีศักยภาพอย่างมากในการลดก๊าซเรือนกระจก ภายใต้เงื่อนไขบางประการ ซึ่งองค์กรเหล่านี้สามารถลดการปล่อยก๊าซได้มากถึง 70% ในระยะยาว โดยการย้ายจากศูนย์ข้อมูลภายในองค์กรไปใช้บริการพับลิกคลาวด์สาธารณะ

แม้ว่าผู้ให้บริการจะมีหน้าที่ในการทำให้คลาวด์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่การใช้คลาวด์อย่างยั่งยืนก็เป็นความรับผิดชอบขององค์กรเช่นกัน

ดิจิทัลเวิร์กสเปซ

ดิจิทัลเวิร์กสเปซเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญที่สุด เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าอื่น ๆ ซึ่งการปล่อยมลพิษเกิดขึ้นตั้งแต่แหล่งกำเนิดไปจนถึงกระบวนการต่าง ๆ (ตั้งแต่การผลิตถึงการจัดจำหน่าย) ตลอดจนการใช้เทคโนโลยี

ผู้บริหารด้านการปฏิบัติงานและเทคโนโลยี (I&O) สามารถยกระดับความยั่งยืนของดิจิทัลเวิร์กสเปซได้ด้วยการยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ โดยซื้ออุปกรณ์ที่ผ่านการปรับสภาพ (Refurbished) และตั้งค่าอุปกรณ์ให้อยู่ในโหมดประหยัดพลังงานโดยอัตโนมัติ แต่ฝ่าย IT มีหน้าที่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น พนักงานเองก็จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการลดดิจิทัลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของตนเองด้วย

การยกระดับความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมของพนักงานถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่มักมองข้ามผลกระทบที่ตนเองมีต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ไอที ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม แต่เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้นการสร้างประสบการณ์การทำงานดิจิทัลที่ยั่งยืนจึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งต้องมุ่งเน้นไปที่การเสริมความรู้ให้พนักงานสามารถใช้เทคโนโลยีในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

ข้อมูล – Data

แม้ว่าผู้บริหารฝ่าย I&O จะไม่ได้มีหน้าที่โดยตรงในการบริหารจัดการดาต้าขององค์กร แต่ว่าพวกเขามีบทบาทสำคัญในการประเมินผลกระทบของดาต้าต่อพื้นที่จัดเก็บข้อมูลภายในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยการทำงานร่วมมือกับผู้บริหารฝ่ายวิเคราะห์และจัดการข้อมูล หรือ D&A พวกเขาสามารถช่วยออกแบบวิธีลดการใช้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่ไม่จำเป็น รวมถึงยกระดับประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูล เพื่อลดผลกระทบต่อความยั่งยืนในภาพรวม

ข้อมูลเปรียบเสมือนทรัพย์สินที่สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง (Competitive Differentiation) แต่ในขณะเดียวกัน ข้อมูลเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ปัญหานี้ยิ่งทวีความรุนแรงเมื่อข้อมูลถูกส่งผ่านเครือข่าย การเคลื่อนย้ายข้อมูลภายในเครือข่าย การเข้าออกคลาวด์ ล้วนใช้พลังงานมหาศาล

การย้ายข้อมูลไปบนคลาวด์ ไม่ใช่การแก้ปัญหาข้อมูลอย่างยั่งยืน วิธีที่ยั่งยืนกว่า คือ การแก้ไขที่ต้นเหตุด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนย้ายข้อมูล การลบข้อมูลที่ซ้ำซ้อนหรือข้อมูลที่ไม่ได้ใช้งานนานแล้ว การจัดเก็บข้อมูลกับผู้ให้บริการคลาวด์ที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเดียวกับผู้ใช้ และเหตุผลอื่น ๆ 

ซอฟต์แวร์

เรื่องของความยั่งยืนไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ฮาร์ดแวร์เท่านั้น ซอฟต์แวร์เองก็มีจุดด้อยในเรื่องประสิทธิภาพที่มักจะส่งผลกระทบไปยังทีมฮาร์ดแวร์ด้วยเช่นกัน โดยซอฟต์แวร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะเน้นเรื่องการประหยัดพลังงานและสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังเป็นหัวข้อที่ซับซ้อนมาก โดยมีประเด็นย่อยที่ต้องคำนึง อาทิ การออกแบบระบบใหม่ให้คำนึงถึงความยั่งยืน การหาพันธมิตรทางธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืน บริการโฮสต์ข้อมูลที่คำนึงถึงความยั่งยืนจากคลาวด์และศูนย์ข้อมูล รวมทั้งผู้ให้บริการพลังงานไฟฟ้าที่ปล่อยคาร์บอนต่ำหรือปลอดคาร์บอน

การรันซอฟต์แวร์อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ต้องคำนึงถึงทั้งสถานที่ เวลา และฮาร์ดแวร์ที่ประหยัดพลังงาน ความเข้มของคาร์บอนในระบบไฟฟ้าของแต่ละพื้นที่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ ประเทศ หน่วยงานที่ผลิตไฟฟ้า เวลา สภาพอากาศ ข้อตกลงในการซื้อขาย / ถ่ายโอนไฟฟ้า เทคโนโลยีที่ใช้ผลิตไฟฟ้า แหล่งพลังงาน และยังมีอีกหลาย ๆ ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ ยิ่งซอฟต์แวร์ทำงานใกล้ชิดกับฮาร์ดแวร์มากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น วิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์มักจะมุ่งเน้นไปที่การย้ายออกจากฮาร์ดแวร์ ซึ่งช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ส่งผลให้ฮาร์ดแวร์ต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อใช้พลังงานในการทำงานมากขึ้น

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Schneider Electric ร่วมมือ NVIDIA ออกแบบศูนย์ข้อมูล AI ขับเคลื่อนเส้นทางสู่โลกอนาคต

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการบริหารจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ได้ประกาศความร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูล และปูทางสู่ความล้ำหน้าด้านเทคโนโลยี Edge AI หรือการประมวลผลของ AI ที่เอดจ์ รวมถึง Digital twin

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะใช้ความเชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลและเทคโนโลยี AI ขั้นสูงของ NVIDIA เพื่อแนะนำดีไซน์ต้นแบบเพื่อการอ้างอิงของศูนย์ข้อมูล AI ที่เปิดเผยสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก ดีไซน์เหล่านี้เตรียมไว้เพื่อกำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับการปรับใช้ AI และดำเนินงานภายในระบบนิเวศของศูนย์ข้อมูล ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของวิวัฒนาการในอุตสาหกรรม

เนื่องจากแอปพลิเคชัน AI กำลังเป็นที่นิยมและได้รับการยอมรับจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ อีกทั้งต้องใช้ทรัพยากรมากกว่าการประมวลผลแบบเดิม ทำให้ต้องใช้พลังการประมวลผลเพิ่มขึ้นทวีคูณ การที่ AI มาแรงจึงกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและสร้างความซับซ้อนในการออกแบบและการดำเนินงานศูนย์ข้อมูล พร้อมกับที่ผู้ดำเนินการศูนย์ข้อมูลต้องทำงานเพื่อสร้างและดูแลสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้พลังงานเสถียรด้วยความรวดเร็ว เพื่อช่วยประหยัดพลังงานและรองรับการปรับขยายได้

“เรากำลังปลดล็อกอนาคตของ AI เพื่อองค์กรต่างๆ” ปานกาจ ชาร์มา รองประธานบริหาร แผนกพลังงานที่ปลอดภัยและธุรกิจศูนย์ข้อมูล ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “การผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านโซลูชันศูนย์ข้อมูลของเราเข้ากับความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี AI ของ NVIDIA คือการที่เรากำลังช่วยให้องค์กรต่างๆ ก้าวข้ามข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูล และปลดล็อกศักยภาพของ AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ความร่วมมือระหว่างเรากับ NVIDIA นับเป็นการปูทางสู่อนาคตที่สร้างการเปลี่ยนแปลง ที่ให้ความยั่งยืน และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยขุมพลังของ AI”

การออกแบบดาต้าเซ็นเตอร์ล้ำยุคเพื่อเป็นต้นแบบในการอ้างอิง

ในเฟสแรกของความร่วมมือ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะนำเสนอดีไซน์ต้นแบบเพื่อการอ้างอิงสำหรับศูนย์ข้อมูลล้ำยุคที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับคลัสเตอร์การประมวลผลแบบเร่งความเร็วของ NVIDIA และสร้างเพื่อการประมวลผลข้อมูล การจำลองทางวิศวกรรม การออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ การออกแบบตัวยาโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย รวมถึง generative AI ซึ่งจุดมุ่งเน้นพิเศษคือการกระจายพลังงานได้สูง มีระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว และระบบควบคุมที่ออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่าทดสอบการใช้งานได้ง่ายและให้การทำงานที่น่าเชื่อถือสำหรับคลัสเตอร์ที่มีความหนาแน่นสูงเป็นพิเศษ โดยภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว ชไนเดอร์ อิเล็คทริคตั้งเป้าที่จะมอบเครื่องมือและทรัพยากรที่จำเป็นแก่เจ้าของศูนย์ข้อมูลและผู้ปฏิบัติงานเพื่อผสานรวมโซลูชัน AI ใหม่ที่ล้ำหน้าเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างราบรื่น เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน และให้ความมั่นใจในการดำเนินงานตลอดช่วงอายุการใช้งานได้อย่างน่าเชื่อถือ

เพื่อตอบสนองความต้องการด้านเวิร์กโหลดของ AI ที่เพิ่มขึ้น ดีไซน์ต้นแบบเพื่อการอ้างอิงนี้ จะนำเสนอกรอบการทำงานที่แข็งแกร่งสำหรับการนำแพลตฟอร์มการประมวลผลแบบเร่งความเร็วของ NVIDIA มาใช้ในศูนย์ข้อมูล ในขณะเดียวกันก็เพิ่มประสิทธิภาพ ให้ความสามารถในการปรับขยายการทำงาน และให้ความยั่งยืนโดยรวม ทั้งนี้ คู่ค้า วิศวกร และผู้นำศูนย์ข้อมูลสามารถใช้การดีไซน์อ้างอิงเหล่านี้สำหรับห้องต่างๆ ของศูนย์ข้อมูลที่มีอยู่ ซึ่งจะต้องรองรับการใช้งานใหม่ๆ ของเซิร์ฟเวอร์ AI ที่มีความหนาแน่นสูง รวมถึงการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ที่ปรับปรุงอย่างสมบรูณ์เพื่อให้เหมาะสำหรับคลัสเตอร์ AI ที่ระบายความร้อนด้วยของเหลว

“เราร่วมมือกับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เพื่อนำเสนอดีไซน์ต้นแบบเพื่อการอ้างอิงของศูนย์ข้อมูล AI โดยใช้เทคโนโลยีการประมวลผลเร่งความเร็วรุ่นใหม่ของ NVIDIA” Ian Buck รองประธาน Hyperscale และ HPC ของ NVIDIA กล่าว “ความร่วมมือครั้งนี้ช่วยให้องค์กรต่างๆ มีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อให้ได้ประโยชน์จากศักยภาพของ AI ช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้ครอบคลุมทั่วทุกอุตสาหกรรม”

Roadmap แห่งอนาคต

นอกเหนือจากดีไซน์ต้นแบบเพื่อการอ้างอิงของศูนย์ข้อมูล AVEVA ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Schneider Electric จะเชื่อมต่อแพลตฟอร์ม Digital Twin เข้ากับ NVIDIA Omniverse เพื่อมอบสภาพแวดล้อมที่เป็นหนึ่งเดียวสำหรับการจำลองที่เสมือนจริงและในการทำงานร่วมกัน การผสานรวมดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งนักออกแบบ วิศวกร และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ประสานการทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ช่วยเร่งการออกแบบและช่วยให้ใช้งานระบบที่ซับซ้อนได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายและลดเวลาในการนำเสนอสู่ตลาด

“เทคโนโลยี NVIDIA ช่วยต่อยอดศักยภาพของ AVEVA ในการสร้างประสบการณ์การทำงานร่วมกันในเชิงลึกได้อย่างสมจริงที่รองรับด้วยข้อมูลที่มีคุณภาพจำนวนมากและความสามารถของ Digital Twin ที่ชาญฉลาดของ AVEVA” Caspar Herzberg ซีอีโอของ AVEVA กล่าว “เรากำลังร่วมกันสร้างระบบเสมือนจริงด้านอุตสาหกรรมที่จำลองได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งคุณสามารถจำลองกระบวนการ จำลองผลลัพธ์ และสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง การผสมผสานระหว่างความฉลาดทางดิจิทัลและผลลัพธ์ที่ได้จริง จะให้ศักยภาพในการปฏิรูปการดำเนินงานของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ให้ความปลอดภัยมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยั่งยืนมากขึ้น”

ในความร่วมมือกับ NVIDIA ชไนเดอร์ อิเล็คทริควางแผนที่จะสำรวจกรณีการใช้งานและแอปพลิเคชันใหม่ๆ ทั่วทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรม และเดินหน้าวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีพร้อมกำหนดอนาคตของเทคโนโลยี


Exit mobile version