Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เอปสันกระตุ้นสังคมไทยใส่ใจปัญหาภาวะโลกร้อน ด้วยเรือนกระจกจำลองจากขยะขวดพลาสติก

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร และนางสาวปวีณา ศรีตระกูล หัวหน้าฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาด บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมเปิดกิจกรรม “Greenhouse Effect: Plastic Trap Stimulation” หนึ่งใน “From Waste To Worth” แคมเปญเพื่อสังคมประจำปีงบประมาณ 2567 ของบริษัทฯ ที่มุ่งผลักดันประเด็น “การลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากขวดพลาสติก” เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ข้อที่ 12 ขององค์การสหประชาชาติ ว่าด้วยเรื่องของการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน โดยกิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะหว่านเมล็ดความยั่งยืนในสังคมไทยด้วยการสร้างจิตสำนึกถึงการลด การรีไซเคิล และการนำขยะขวดพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ ผ่านการสื่อสารภายในและนอกองค์กร

กิจกรรม “Greenhouse Effect: Plastic Trap Stimulation” เป็นกิจกรรมแนว social experiment ที่จำลองภาวะเรือนกระจกที่เกิดขึ้นกับโลก ด้วยเรือนกระจกที่ทำจากขวดพลาสติกที่ใช้แล้ว 1,400 ขวด ซึ่งจะปล่อยให้แสงแดดผ่านเข้าไปภายใน แต่เก็บกักความร้อนไว้ไม่ให้ระบายออกมาได้อย่างเต็มที่ คล้ายกับวิธีที่ก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ อย่าง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน หรือ ก๊าซไนตรัสออกไซด์ ทำกับโลก ทำให้อุณหภูมิภายในเรือนเพิ่มสูงขึ้น และร้อนกว่าอากาศภายนอก 1-4 องศาเซลเซียสระหว่างวัน โดยเอปสัน ประเทศไทย ได้นำเรือนกระจกจำลองดังกล่าวไปทำการทดลองกับผู้มาใช้บริการมากกว่า 200 คน ที่สยามสแควร์ ก่อนที่จะย้ายมาที่อาคารปัน ที่ตั้งของบริษัทฯ เพื่อให้พนักงานเอปสัน และผู้ที่สัญจรแถวอาคารปันได้ร่วมกิจกรรม โดยหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมดังกล่าว บริษัทฯ จะนำเรือนกระจกจำลองนี้ไปมอบให้แก่โรงเรียนวัดขุนทิพย์ (สาครราษฎร์บำรุง) อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อใช้ทำเป็นโรงเรือนปลูกผักปลอดสารพิษสำหรับอาหารกลางวันเด็กนักเรียนต่อไป


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อุทยานเทคโนโลยี มจพ. วิทยาเขตระยอง รับสมัครนักศึกษาใหม่ โควตาเรียนดี ปี 68

อุทยานเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมพระนครเหนือ วิทยาเขตระยอง รับสมัครนักศึกษาโครงการรับสมัครนักศึกษาใหม่ โควตาเรียนดี ครั้งที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2568 เปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 23 กันยายน 2567 ถึง วันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 ในหลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต ระดับปริญญาตรี ในสาขาวิชาเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่และระบบอัตโนมัติ (MATA) โดยการจัดการเรียนการสอน ดังนี้ หลักสูตรเรียนในเวลาราชการ 2 ปี (MATA-RA)  (จัดการเรียนการสอน วันจันทร์วันศุกร์) และหลักสูตรเรียนนอกเวลาราชการ 3 ปี (MATA-TA)  (จัดการเรียนการสอน วันศุกร์เย็นวันเสาร์) โดยจัดการเรียนการสอนที่ ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมทรัพยากรมนุษย์เพื่ออุตสาหกรรม ต. มาบตาพุต อ.เมืองระยอง จ. ระยอง

สามารถสมัครออนไลน์ที่ https://shorturl.asia/P05mr  หรือ สอบถามรายละเอียดที่กลุ่มงานรับเข้าศึกษา โทรศัพท์ 0-2555-2000 ต่อ 1626, 1627 หรือ อีเมล์ admission@op.kmutnb.ac.th

Facebook กลุ่มงานรับเข้าศึกษา มจพ. หรือสอบถามเพิ่มเติ่มได้ที่ งานการตลาดและประชาสัมพันธ์ อุทยาเทคโนโลยี มจพ. โทรศัพท์ 0-2555-2000 ต่อ 1789

ขวัญฤทัย ปชส.มจพ. ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์วิเคราะห์ 40% ของโซลูชัน Generative AI จะทำงานแบบมัลติโหมดภายในสามปี

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 25 กันยายน 2567 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในอีกสามปี (พ.ศ. 2570) 40% ของโซลูชัน generative AI จะทำงานในแบบมัลติโหมดที่จะสามารถประมวลผล ทำความเข้าใจและทำงานร่วมกับข้อมูลได้มากกว่าหนึ่งประเภท (อาทิ ข้อความรูปภาพเสียง และวิดีโอ) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 1% ในปี 2566 โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ Human-AI มีปฏิสัมพันธ์ที่พัฒนายิ่งขึ้น และยังมอบโอกาสที่จะสร้างความต่างให้กับสิ่งที่ GenAI มีให้

เอริค เบรทเดอนิวซ์ รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “เนื่องจากตลาด GenAI วิวัฒน์ไปสู่โมเดลที่เกิดและพัฒนาด้วยโหมดต่าง ๆ มากกว่าหนึ่งโหมด สิ่งนี้ช่วยสะท้อนภาพความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่ส่งออกมาในปริมาณมากและเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่แตกต่างกัน และมีศักยภาพในการปรับขนาดการใช้และเพิ่มประโยชน์ของ GenAI ให้ครอบคลุมประเภทข้อมูลและแอปพลิเคชันทั้งหมด นอกจากนี้ยังช่วยให้ AI สนับสนุนการทำงานของมนุษย์ได้มากขึ้นโดยไม่คำนึงถึงสภาพแวดล้อม

Multimodal GenAI เป็นหนึ่งในสองเทคโนโลยีที่ได้รับการระบุไว้ในรายงาน Gartner Hype Cycle for Generative AI ปีนี้ โดยการนำมาใช้ช่วงแรกอาจสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญและเพิ่มประสิทธิภาพในด้านระยะเวลาในการนำออกสู่ตลาด ควบคู่ไปกับโมเดลภาษาโอเพนซอร์สขนาดใหญ่ (LLM) ทำให้เทคโนโลยีทั้งสองมีศักยภาพที่จะสร้างผลกระทบสูงต่อองค์กรอย่างสูงภายในห้าปีข้างหน้านี้ 

บรรดานวัตกรรม GenAI ที่การ์ทเนอร์คาดว่าจะได้รับการยอมรับแพร่หลายภายใน 10 ปีนั้น มีเทคโนโลยี ประเภทที่ได้รับการระบุว่ามีศักยภาพสูงสุด ได้แก่ Domain-Specific GenAI Models และ Autonomous Agents (ดูรูปที่ 1) 

รูปที่ 1: วงจรเทคโนโลยีสำหรับ Generative AI ปี 2567 

ที่มา:การ์ทเนอร์ (กันยายน 2567) 

อรุณ จันทรเศกการัน รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การวิเคราะห์แนวโน้มระบบนิเวศของ GenAI ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับองค์กร เนื่องจากระบบนิเวศของเทคโนโลยีนี้และผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการเทคโนโลยีนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดย GenAI กำลังอยู่ในช่วงขาลงเมื่ออุตสาหกรรมเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน ทว่าประโยชน์ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อกระแสนี้ลดลง และตามมาด้วยขีดความสามารถที่ก้าวหน้าขึ้นจะเกิดขึ้นรวดเร็วไปอีกมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

Multimodal GenAI

Multimodal GenAI จะมีผลกระทบต่อแอปพลิเคชันองค์กรอย่างมาก จากการเพิ่มคุณสมบัติและฟังก์ชันใหม่ ๆ ที่วิธีอื่น ๆ ทำไม่ได้ และผลกระทบนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะอุตสาหกรรมหรือยูสเคสการใช้งานเฉพาะเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในทุก Touchpoint ระหว่าง AI กับมนุษย์ ปัจจุบัน Multimodal Model หลาย ๆ ตัวยังมีข้อจำกัดอยู่เพียงสองหรือสามโหมดเท่านั้น แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น 

ในโลกความเป็นจริง ผู้คนจะพบเจอและเข้าใจข้อมูลผ่านการประมวลผลที่เป็นการผสมผสานของข้อมูลหลากหลายประเภท อาทิ เสียง ภาพและการสัมผัส โดย Multimodal GenAI นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากข้อมูลโดยทั่วไปนั้นจะประกอบด้วยประเภทต่าง ๆ อยู่แล้ว เมื่อนำ Single Modality Models มาประกอบเข้าด้วยกันเพื่อรองรับแอปพลิเคชัน Multimodal GenAI มักส่งผลให้เกิดความล่าช้าและลดความแม่นยำของผลลัพธ์ ส่งผลให้ได้รับประสบการณ์ที่มีคุณภาพต่ำ” เบรทเดอนิวซ์ กล่าวเพิ่ม 

Open-Source LLMs

LLM แบบโอเพ่นซอร์สเป็นโมเดลพื้นฐานการเรียนรู้เชิงลึกที่เร่งมูลค่าองค์กรจากการนำ GenAI ไปปรับใช้งาน โดยทำให้การเข้าถึงเชิงพาณิชย์ได้อย่างเสรีและอนุญาตให้ผู้พัฒนาปรับแต่งโมเดลให้เหมาะกับงานและยูสเคสการใช้งานเฉพาะ นอกจากนี้ ยังสามารถเข้าถึงชุมชนนักพัฒนาในองค์กร สถาบันการศึกษา และบทบาทการวิจัยอื่น ๆ ที่กำลังทำงานเพื่อเป้าหมายร่วมกันปรับปรุงและทำให้โมเดลนี้มีคุณค่ามากขึ้น

“LLM แบบโอเพ่นซอร์สเพิ่มศักยภาพด้านนวัตกรรมผ่านการปรับแต่งอย่างเหมาะสม ทำให้การควบคุมความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยดีขึ้น โมเดลมีความโปร่งใส มีความสามารถเพิ่มจากการพัฒนาร่วมกัน และมีศักยภาพในการลดการผูกขาดของผู้ขาย ท้ายที่สุดแล้ว LLM นำเสนอโมเดลขนาดเล็กกว่าให้กับองค์กร ซึ่งฝึกฝนได้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และเปิดใช้งานแอปพลิเคชันทางธุรกิจและกระบวนการทางธุรกิจหลัก” จันทราเสการัน กล่าวเพิ่ม 

Domain-Specific GenAI Models

Domain-Specific GenAI Models ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรม ฟังก์ชันทางธุรกิจ หรือภารกิจที่มีความเฉพาะ โดยโมเดลเหล่านี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดวางยูสเคสการใช้งานภายในองค์กรได้ พร้อมมอบความแม่นยำ ความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวที่ดีกว่า รวมถึงคำตอบที่เข้าใจบริบท ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการออกแบบข้อความที่ใช้สื่อสารกับโมเดล AI เทียบกับโมเดล AI ที่พัฒนามาเพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไป และยังสามารถลดความเสี่ยงจากกรณีที่ AI อาจสร้างภาพหลอนขึ้นมาเอง (Hallucination Risks) จากการฝึกฝนที่เน้นการกำหนดเป้าหมาย

Domain-specific models สามารถร่นระยะเวลาส่งมอบบริการตามความต้องการ (Time to Value) ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและมีความปลอดภัยสูงขึ้นสำหรับโครงการ AI ต่าง ๆ โดยการนำเสนอจุด Start ที่ก้าวล้ำกว่าสำหรับงานอุตสาหกรรมเฉพาะ สิ่งนี้จะส่งเสริมการนำ GenAI มาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในยูสเคสที่ General-Purpose Models ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ จันทราเสการัน กล่าวเพิ่ม

Autonomous Agents

Autonomous Agents คือ ระบบรวม (Combined Systems) ที่สามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้โดยปราศจากมนุษย์ โดยใช้เทคนิค AI ที่หลากหลายในการระบุรูปแบบของสภาพแวดล้อม การตัดสินใจ การจัดลำดับการดำเนินการและสร้างผลลัพธ์ โดยตัวแทนเหล่านี้มีศักยภาพเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมและปรับปรุงตลอดเวลา ทำให้สามารถจัดการงานที่ซับซ้อนได้

“Autonomous Agents เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของความสามารถ AI โดยความสามารถดำเนินการและตัดสินใจได้อย่างอิสระช่วยปรับปรุงการดำเนินธุรกิจ สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และใช้ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ส่งผลให้ประหยัดต้นทุนและมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน นอกจากนี้ยังเปลี่ยนบทบาทของทีมงานในองค์กรจากการส่งมอบ (Delivery) เป็นการควบคุมดูแล (Supervision) แทน

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

CITE DPU เปิดหลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เตรียมผลิตบัณฑิตรองรับการเติบโตในอุตสาหกรรม EV

วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี (CITE) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดสอนหลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ในปีการศึกษา 2568 รองรับความต้องการบุคลากรด้านรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีความต้องการอย่างมากจากการเปิดสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมาก หลักสูตรเน้นให้นักศึกษา มีความรู้ ความเข้าใจ ลงมือปฏิบัติ และมีศักยภาพในการทำงานที่เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น อาทิ ระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า  การจัดเก็บและจ่ายพลังงานแบตเตอรี่ การบำรุงรักษาแบตเตอรี่ การออกแบบและสร้างยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษและจีน เป็นต้น

ผศ.ดร.ชัยพร เขมะภาตะพันธ์ คณบดีวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี (CITE) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดเผยว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่มีความนิยมรถยนต์ HEV (Hybrid Electric Vehicle) และ รถยนต์ BEV (Battery Electric Vehicle) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะประหยัดค่าใช้จ่ายค่าพลังงานและมีเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ จากสถิติยอดขายรถยนต์เดือนกรกฎาคม 67 ที่ผ่านมาพบว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle, xEV) ทั้งหมด 17,243 คัน คิดเป็นสัดส่วน 37.2% ของรถยนต์ทั้งหมด โดยเติบโตขึ้น 41.4% ซึ่งแบ่งเป็นยอดขายรถยนต์ HEV 9,203 คัน ยอดขายรถยนต์ BEV อยู่ที่ 7,265 คัน และที่เหลือเป็น PHEV สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มของรถยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น

“โดยพื้นฐานแล้วรถยนต์ HEV จะมีระบบการทำงานที่ซับซ้อนกว่าทั้งรถยนต์ BEV และ ICE (Internal Combustion Engine) เพราะต้องมีทั้งเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่อยู่ในรถคันเดียวกัน ทั้งนี้การที่รถยนต์ HEV ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงเวลานี้ เนื่องจากผู้บริโภคยังคงกังวลทั้งเรื่องสถานีชาร์จรถไฟฟ้ายังไม่ครอบคลุม รวมถึงความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์และราคายังผันผวน ทำให้ปัจจุบันผู้บริโภคจึงนิยมใช้รถยนต์ HEV มากว่ารถยนต์ BEV และคาดว่ารถ HEV จะได้รับความนิยมต่อไปอีกประมาณ ถึง ปี แล้วรถ BEV จะได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายต่อไป” ผศ.ดร.ชัยพร กล่าว

ผศ.ดร.ชัยพร กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ได้ขยายการลงทุนโดยการเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยหลายราย ส่งผลให้มีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้และทักษะเฉพาะทางในสาขานี้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเพื่อตอบรับแนวโน้มดังกล่าว วิทยาลัย CITE DPU จึงเปิดหลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ในระดับปริญญาตรี หลักสูตรนี้มุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้า การจัดเก็บและจ่ายพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ  ความรู้ด้านแบตเตอรี่ พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าแบบต่าง ๆ ทั้ง BEV HEV และ PHEV โดยนักศึกษาจะได้ทดลองปฏิบัติจริง เช่น การสร้างรถยนต์ไฟฟ้า การทดสอบแบตเตอรี่ การควบคุมการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าต่าง ๆ ระบบความปลอดภัย การส่งกำลัง ระบบกันสะเทือน รวมทั้งเทคโนโลยี AI สำหรับระบบควบคุมการขับเคลื่อน เป็นต้น

ผศ.ดร.ชัยพร กล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากนี้ หลักสูตรยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถเลือกเรียนภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารทางภาษา ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานในบริษัทต่างชาติในอนาคต ทั้งนี้ หลักสูตรเปิดการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2568 เป็นปีแรก โดยมีความพร้อมทั้งด้านห้องปฏิบัติการ และความร่วมมือกับบริษัททั้งในไทยและต่างประเทศ อาทิ ผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตเครื่องมือด้านยานยนต์ และหน่วยงานที่ดูแลด้านมาตรฐานรถยนต์ เพื่อเป็นการวางรากฐานสำหรับโครงการสหกิจศึกษาในประเทศที่เป็นผู้นำด้านการผลิตรถยนต์สมัยใหม่ในอนาคต โดยเปิดรับผู้สำเร็จการศึกษาจากทุกสาขาทั้ง ม.ปลาย ปวช. และ ปวส. โดยผู้ที่จบการศึกษาสาขาช่างยนต์ ช่างกล ช่างอิเล็กทรอนิกส์ สามารถเทียบโอนหน่วยกิตและประสบกาณณ์ทำงานเพื่อให้สามารถเรียนจบหลักสูตรได้ภายใน ปีเท่านั้น รวมทั้งยังมีหลักสูตรที่เรียนทั้งวันจันทร์-ศุกร์ และ วันเสาร์-วันอาทิตย์ ที่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังทำงาน

สำหรับผู้ที่สนใจสมัครเรียน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://cite.dpu.ac.th/ โทร .029547300 ต่อ 594, 498


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีริคสันประเทศไทย เปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio ภายในโครงการ Thailand Digital Valley อย่างเป็นทางการ

บริษัท อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) ประเทศไทย ประกาศเปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio อย่างเป็นทางการ ที่ตั้งอยู่ในโครงการ Thailand Digital Valley อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยสตูดิโอแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของประเทศไทย ภายใต้โครงสร้างพื้นฐาน 5G ที่มีความแข็งแกร่งและกำลังพัฒนายิ่งขึ้นในประเทศไทย

ด้วยการใช้ประสิทธิภาพจากโซลูชันเครือข่าย 5G ที่ทันสมัย ผนวกเข้ากับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการสร้างเครือข่าย 5G ที่มีประสิทธิภาพ เชื่อถือได้และยั่งยืนทั่วโลก ทำให้อีริคสันพร้อมมีบทบาทสำคัญเพื่อเร่งเดินหน้าประเทศไทยไปสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล

การจัดตั้ง 5G Innovation and Experience Studio ที่เพิ่งสร้างเสร็จนี้ คือ หมุดหมายสำคัญในแผนงานของอีริคสันเพื่อประเทศไทย โดยเป็นความร่วมมือกับรัฐบาลไทยผ่านทางสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)

ห้องปฏิบัติการแห่งนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เป็นพื้นที่สร้างสรรค์นวัตกรรม 5G ร่วมกัน โดยใช้เครือข่ายแซนด์บ็อกซ์ 5G ที่ทันสมัยของอีริคสัน มอบประโยชน์ทั้งในด้านการพัฒนา ทดสอบ ตรวจสอบ และรับรองยูสเคส 5G ใหม่ ๆ ร่วมกับพันธมิตรทั้งในประเทศไทยและจากทั่วโลก

ห้องปฏิบัติการนวัตกรรมแห่งนี้ยังจัดแสดงยูสเคส 5G ที่ล้ำสมัยไว้ในหลากหลายรูปแบบได้แก่หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMR) เครื่องจักรการผลิตอัตโนมัติที่พัฒนาร่วมกับ Mitsubishi และกล้อง CCTV 360 องศา แบบสวมใส่ได้ ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้เผยให้เห็นถึงศักยภาพเทคโนโลยี 5G ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันบนเวทีโลก

มร.แอนเดอร์ส เรียน ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “5G เป็นแพลตฟอร์มเพื่อนวัตกรรม ช่วยสร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ สำหรับผู้บริโภค องค์กรธุรกิจ และอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยที่ต้องการนำดิจิทัลมาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ อีริคสันประเทศไทยมุ่งมั่นส่งเสริมความร่วมมือและนวัตกรรมเพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากเครือข่าย 5G ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยการทำงานร่วมกันกับผู้ให้บริการด้านการสื่อสารและหน่วยงานอื่น ๆ ในระบบนิเวศ เราจะสามารถขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งคนไทย เศรษฐกิจและประเทศชาติ”

อีริคสันประเทศไทยยังเปิดกว้างด้านความร่วมมือในอนาคตกับผู้มีส่วนร่วมสำคัญในระบบนิเวศ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงพันธมิตร ผู้ใช้ปลายทาง สถาบันการศึกษา และหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อพัฒนายูสเคส 5G ใหม่ ๆ สำหรับอุตสาหกรรม

จากรายงาน Ericsson Mobility ฉบับล่าสุด คาดการณ์ภายในปี 2572 จะมีจำนวนผู้ใช้ 5G ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย ประมาณ 560 ล้านราย และเมื่อสิ้นปี 2566 มียอดผู้ใช้ 5G ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ 61 ล้านราย ซึ่งผู้ใช้บริการ 5G ในภูมิภาคยังคงเติบโตต่อเนื่อง เป็นผลมาจากที่ผู้ใช้ย้ายมาใช้เครือข่าย 5G โดยได้รับแรงหนุนจากอุปกรณ์ 5G ที่ราคาย่อมเยาลง รวมถึงโปรโมชั่นการขายที่ดึงดูดใจ ส่วนลดและแพ็กเกจที่รวมการใช้ปริมาณดาต้าขนาดใหญ่จากผู้ให้บริการ คาดว่าในปี 2572 ผู้สมัครใช้บริการมือถือ 5G จะมีสัดส่วน 43% ของยอดผู้สมัครใช้บริการมือถือทั้งหมดในภูมิภาค และคาดว่ายอดการใช้ดาต้าต่อสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเพิ่มขึ้นจาก 17 กิกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2566 เป็น 42 กิกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2572

ก่อนสิ้นปี 2572 คาดว่า 5G จะกลายเป็นเครือข่ายมือถือที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากยอดการสมัครใช้ แม้ว่าการครอบคลุมพื้นที่ให้บริการ 5G จะเติบโตขึ้น แต่ย่านความถี่ 5G Mid-Band กลับถูกนำไปใช้งานเพียง 25% ของไซต์ทั้งหมดทั่วโลกนอกจีนแผ่นดินใหญ่ โดย 5G Mid-Band มอบความลงตัวระหว่างการครอบคลุมพื้นที่และความจุ ขณะเดียวกันก็ปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้

รายงาน Ericsson Mobility เดือนมิถุนายน ปี 2567 เผยให้เห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งของการสมัครใช้บริการ 5G โดยมีผู้ให้บริการด้านการสื่อสารประมาณ 300 รายทั่วโลก เปิดให้บริการ 5G และมี 50 ราย เปิดให้บริการ 5G Standalone (หรือ 5G SA) ซึ่ง 5G ยังคงเติบโตต่อเนื่องในทุกภูมิภาค และคาดว่าในปี 2572 จะมีผู้ใช้ 5G คิดเป็นสัดส่วน 60% ของยอดผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือทั้งหมด อีริคสันคือผู้นำ 5G ระดับโลก ปัจจุบันเปิดบริการเครือข่าย 5G ไปแล้วถึง 166 เครือข่าย ใน 69 ประเทศทั่วโลก

รายงานล่าสุดจาก Frost & Sullivan ยังตอกย้ำความเป็นผู้นำของอีริคสันในตลาดโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G ซึ่งครอบคลุมถึง Radio Access Networks (RAN), Transport Networks และ Core Networks โดยอีริคสันได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำอันดับ 1 ในรายงานการวิเคราะห์ตลาดโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G ของ Frost Radar™ ประจำปี 2567 เป็นปีที่สี่ติดต่อกัน ซึ่งเน้นย้ำถึงผลจากกลยุทธ์ของบริษัทในการตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ให้บริการการสื่อสาร (CSPs)


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เปิดบ้านต้อนรับทุกคน “กิจกรรม KMUTNB OPEN HOUSE” (ADMISSION 2025)

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) จัดกิจกรรม KMUTNB OPEN HOUSE (ADMISSION 2025)

มจพ. นวัตกรรมและความยั่งยืน : ร่วมกันเพื่อวันพรุ่งนี้ (KMUTNB Innovation & Sustainability : Together for Tomorrow) ณ มจพ. กรุงเทพฯ  และวิทยาเขตระยอง ในวันที่ 4-5 ตุลาคม 2567 เวลา 09.00-16.00 . ณ ลานอเนกประสงค์ และคณะต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ทั้ง 2 วิทยาเขต กิจกรรมเปิดบ้านครั้งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักเรียน นักศึกษาที่กำลังศึกษาหรือใกล้จะสำเร็จการศึกษา เพื่อวางแผนและเตรียมตัวเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาได้ทราบรายละเอียดหลักสูตร สาขาวิชา การจัดการเรียนการสอนของแต่ละคณะ รวมถึงได้สัมผัสถึงบรรยากาศและสภาพแวดล้อมภายในมหาวิทยาลัยและคณะต่าง ๆ รวมทั้งกิจกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

มจพ. ขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมงาน KMUTNB OPEN HOUSE 2025 สามารถเข้าเว็บไซต์ลงทะเบียนร่วมงาน เปิดให้เข้าชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย และสามารถติดตามชมการ LIVE สด ได้ตลอด 2 วัน คือ วันที่ 4-5 ตุลาคม 2567 มีกำหนดการแสดงที่เว็บไซต์ มีรายละเอียดการประกาศรับสมัคร แบ่งเป็น 2 ระดับ

ได้แก่ (1) ระดับปวช. และปริญญาตรี  และ (2) ระดับปริญญาโทและเอก

ผู้สนใจเข้าร่วมงานลงทะเบียนสแกน QR CODE ได้ล่วงหน้า หรือติดตามรายละเอียดได้ที่ https://openhouse.kmutnb.ac.th

สอบถามเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0-2555-2000  ต่อ 1626-1628, 1121, 1166, 2091 หรือที่เว็บไซต์ www.kmutnb.ac.th

ขวัญฤทัยข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เทอร์ร่าฯ เสริมความแข็งแกร่งธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า
ชูจุดเด่นผู้นำด้านสถานีชาร์จแบบครบวงจรในไทย

หากจะมองถึงธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (XEV) ซึ่งในปัจจุบันมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศหลายปัจจัย รวมทั้งแนวโน้มกระแสนิยมในเรื่องสิ่งแวดล้อมและความเข้าใจในเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอาจเผชิญปัจจัยท้าทายจากแรงกดดันด้านการแข่งขันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และการเพิ่มขึ้นของสถานีชาร์จและเครื่องอัดประจุที่อาจยังไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ของผู้คน

บริษัท เทอร์ร่า ชาร์จ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทผู้ให้บริการสถานีชาร์จอันดับ1 ในญี่ปุ่น ด้านการขับขี่อย่างยั่งยืน (sustainable mobility) และ ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีการชาร์จและการจัดการที่ออกแบบมาเพื่อผู้ประกอบการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพราะ Terra Charge ประเทศไทยจัดตั้งขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะเป็นผู้ให้บริการในการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร  โดยบริษัทคำนึงถึงรถยนต์ไฟฟ้าในไทยที่เพิ่มมากขึ้นและความต้องการของสถานีชาร์จที่สูงขึ้น จึงตั้งใจนำเสนอโซลูชั่นการติดตั้งสถานีชาร์จแบบครบวงจร (Turnkey Solution) แก่ผู้ประกอบการ พร้อมช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ผู้ใช้งานในทุกด้าน

งานนี้ผู้บริหารหนุ่มไฟแรง โก ซูซูกิกรรมการผู้จัดการในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวถึงจุดมุ่งหมายที่แข็งแกร่งของเทอร์ร่าฯว่า

เทอร์ร่า ชาร์จ เราเชื่อว่า ความยั่งยืน หรือ การดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมจะส่งผลต่อการเติบโตของสังคมอย่างเสมอภาคเราจึงได้นำแนวคิดของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) สะท้อนให้เห็นผ่านการบริหารงาน และการดำเนินงานขององค์กรที่มีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อสังคมที่ดีกว่า

ด้าน มาซาโนริ ทาคาฮาชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านเทคโนโลยีในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เน้นย้ำชัดเจนว่า

เทอร์ร่า ชาร์จ เราพร้อมนำนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต เราไม่ได้เป็นแค่สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยสิ่งสำคัญคือความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในญี่ปุ่น เราพร้อมผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมุ่งมั่นที่จะใช้พลังงานสะอาดทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น เราพร้อมปฏิวัติวงการรถยนต์ไฟฟ้าให้ดีขึ้นด้วยโซลูชั่นการชาร์จของเราที่เน้นย้ำในเรื่องของคุณภาพและความน่าเชื่อถือ เราไม่เป็นเพียงผู้ขับเคลื่อนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่เรายังยึดมั่นความก้าวหน้าด้วยหลักการ ESG ที่คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

สำหรับโซลูชั่นการให้บริการ ทางเทอร์ร่าฯ มีตั้งแต่บริการสถานีชาร์จครบวงจร ตอบโจทย์ทุกความต้องการในการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ครอบคลุมทุกมิติตั้งแต่จัดหาเครื่องชาร์จที่เหมาะสมกับพื้นที่ ดำเนินการขออนุญาตหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตั้ง พัฒนาแอปพลิเคชันและการจัดการระบบหลังบ้าน รวมถึงบริการหลังการขายทั้งการให้คำปรึกษา และ ซ่อมบำรุง ตลอดจนประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนสถานีชาร์จ ด้วยประสบการณ์ติดตั้งสถานีชาร์จมาแล้วกว่า 20,000 หัวชาร์จที่ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบัน ได้ติดตั้งสถานีชาร์จ ตามคอนโดและโรงแรมต่าง ๆ ในไทยกว่า 100 จุด อีกทั้งตั้งเป้าหมายขยายสถานีชาร์จอีก 1,000 จุด ในปี 2569 อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีบริการเครื่องชาร์จ ทั้งการชาร์จแบบธรรมดา (AC Charger) และการชาร์จแบบเร็ว (DC Charger) เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า และความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่หรือธุรกิจขนาดเล็กไปจนขนาดใหญ่ รวมถึงบริการติดตั้งสถานีชาร์จ โดยทีมวิศวกรและช่างผู้ชำนาญการ พร้อมแอปพลิเคชันและระบบจัดการ

ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยการใช้งานที่สะดวก ง่ายดาย และมีประสิทธิภาพ

การดำเนินธุรกิจของเทอร์ร่าฯ คือมีวิสัยทัศน์ ก้าวเป็นผู้นำในการสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งส่งเสริมการขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า โดยการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จที่คำนึงถึงการใช้ชีวิตของผู้ใช้งานเป็นหลัก เพื่อผลักดันการใช้พลังงานสะอาดขับเคลื่อนทุกการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อโลกและอนาคตของคนรุ่นต่อไป

สอบถามเพิ่มเติมหรือติดต่อซื้อสินค้าและบริการ ติดต่อได้ที่ Call Center 02-114-8961
(24
ชั่วโมง) หรือ Line: @terracharge_th ข้อมูลเพิ่มเติม www.terra-charge.co.th


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดการณ์ค่าใช้จ่าย “ความปลอดภัยของข้อมูล” ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 15% ส่วนไทยเพิ่ม 12%

กรุงเทพฯ, 12 กันยายน 2567 – การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่ามูลค่าการใช้จ่ายด้านความปลอดภัยข้อมูล (Information Security) ของผู้ใช้ปลายทางทั่วโลกในปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 15.1% หรือประมาณ 212 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ในปี 2567 ที่ 183.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

สำหรับประเทศไทย การ์ทเนอร์คาดว่าในปี 2568 ยอดใช้จ่ายด้านความปลอดภัยข้อมูลของผู้ใช้ปลายทางจะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 18,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.3% จากปี 2567 ที่คาดว่าจะมีมูลค่าการใช้จ่ายรวมที่ 16,400 ล้านบาท 

ชัยเลนดรา อูปัดห์เญ หัวหน้าฝ่ายวิจัยอาวุโสการ์ทเนอร์กล่าวว่า “จากสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดภัยคุกคามเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการย้ายไปใช้ระบบคลาวด์และปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในด้านนี้ ทำให้ความปลอดภัยกลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ขององค์กร และกดดันให้ผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูลหรือ CISO ต้องเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายด้านความปลอดภัยให้กับองค์กร

นอกจากนั้น เวลานี้องค์กรต่าง ๆ อยู่ในขั้นของการประเมินประสิทธิภาพแพลตฟอร์มการป้องกันที่ปลายทางหรือ Endpoint Protection Platform (EPP) และ Endpoint Detection and Response หรือ EDR ซึ่งเป็นเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ช่วยตรวจสอบภัยคุกคามในตำแหน่งข้อมูลและลดภัยคุกคามได้โดยอัตโนมัติ เพื่อปรับเปลี่ยนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน รวมถึงตอบสนองต่อเหตุการณ์หลังการหยุดให้บริการของ CrowdStrike

การนำ AI และ GenAI มาใช้อย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มการลงทุนในตลาดซอฟต์แวร์ความปลอดภัย (Security Software) มากขึ้น อาทิ ในด้านแอปพลิเคชันความปลอดภัย (Application Security), ความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว (Data Security and Privacy) และการปกป้องโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Protection) ในปี 2568 GenAI จะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้แหล่งทรัพยากรความปลอดภัยทางไซเบอร์จำเป็นต้องเพิ่มการรักษาความปลอดภัยมากขึ้น และคาดว่าจะทำให้การใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ความปลอดภัยเพิ่มขึ้น 15% (ดูตารางที่ 1)

ตารางที่ มูลค่าการใช้จ่ายของผู้ใช้ปลายทางด้านความปลอดภัยของข้อมูลทั่วโลกโดยจำแนกตามหน้าที่การทำงาน ช่วงปี 2566 – 2568 (หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

Segment 2023 Spending 2023 Growth (%) 2024 Spending 2024 Growth (%) 2025 Spending 2025 Growth (%)
Security Software 76,574 13.6 87,481 14.2 100,692 15.1
Security Services 65,556 13.6 74,478 13.6 86,073 15.6
Network Security 19,985 6.2 21,912 9.6 24,787 13.1
Total 162,115 12.7 183,872 13.4 211,552 15.1

ที่มา: การ์ทเนอร์ (สิงหาคม 2567)

 

นับตั้งแต่ GenAI เปิดตัว แฮกเกอร์ใช้เครื่องมือต่าง ๆ ร่วมกับโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) เพื่อสร้างการโจมตีแบบ Social Engineering โดยมุ่งเป้าขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ การ์ทเนอร์คาดว่าภายในปี 2570 การโจมตีทางไซเบอร์/การรั่วไหลของข้อมูล 17% จะเกี่ยวข้องกับ Generative AI ทั้งสิ้น

เมื่อองค์กรยังคงย้ายไปใช้ระบบคลาวด์ นักวิเคราะห์การ์ทเนอร์คาดว่าการลงทุนในโซลูชันความปลอดภัยบนคลาวด์จะเพิ่มขึ้น รวมถึงสัดส่วนการลงทุนในโซลูชันคลาวด์เนทีฟก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน สำหรับตลาดตัวกลางรักษาความปลอดภัยของการเข้าถึงระบบคลาวด์หรือ Cloud Access Security Brokers (CASB) และแพลตฟอร์มการปกป้องภาระงานในคลาวด์หรือ Cloud Workload Protection Platforms (CWPP) คาดว่าในปี 2568 จะมีมูลค่ารวมกันถึง 8.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ในปีนี้ ที่ 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

การขาดแคลนทักษะในอุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์ทั่วโลก เป็นปัจจัยเร่งสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการลงทุนในตลาดบริการด้านความปลอดภัย (ซึ่งประกอบด้วย บริการที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยบริการด้านความปลอดภัยระดับมืออาชีพ และบริการการจัดการด้านความปลอดภัยและคาดว่าการลงทุนในด้านนี้จะเติบโตรวดเร็วกว่ากลุ่มการลงทุนด้านความปลอดภัยด้านอื่น ๆ

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. ลงนามความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ กับ กระทรวงกลาโหม

.ดร.สุชาติ   เซี่ยงฉิน อธิการบดี  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  .ดร.สมฤกษ์   จันทรอัมพร  รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ  และ รศ.ดร.สุรพันธ์  ยิ้มมั่น  รองอธิการบดีฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรมและพัฒนาธุรกิจศึกษา  ร่วมลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับ พล.ท เขมชาติ  ปัตตะนุ   เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม   พล.. อดิศร  จรัส  ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน  กรมยุทธการทหาร  เจ้ากรมยุทธการทหาร  และ พล.ต ระวี  ตั้งพิทักษ์กุล  ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบก พร้อมด้วยผู้บริหารทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นสักขีพยาน ในวันที่ 10 กันยายน 2568  ณ ห้อง Cloud 9 ชั้น 9 สำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มจพ.

พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาระหว่าง กระทรวงกลาโหม (กห.) และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) มีวัตถุประสงค์ เพื่อการพัฒนาศักยภาพการวิจัยและพัฒนาวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และสาขาอื่น ๆ  เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการบริหารจัดการและการบูรณาการด้านการวิจัยและพัฒนาสร้างนวัตกรรมใหม่ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศให้สามารถขยายผลการวิจัยและพัฒนาสู่การผลิตและใช้งานของกองทัพอย่างเป็นรูปธรรม อันจะเป็นการส่งเสริมด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เกิดการพึ่งพาตนเอง และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ รวมทั้งแลกเปลี่ยนความรู้ ทรัพยากร และบุคลากร  ด้านวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการผลิตและพัฒนาบุคลากรเพื่อการเพิ่มพูนความรู้ที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน เพื่อพัฒนาให้มีคุณภาพ มาตรฐาน และปริมาณ สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี

ขวัญฤทัย ข่าว/วุฒิสิทธิ์ ถ่ายภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เอเซอร์ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ Copilot+ PC เปิดตัว Acer Swift 14 AI และ Acer Swift Go 14 AI

เบอร์ลิน (5 กันยายน 2567) เอเซอร์ ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ Copilot+ PC เปิดตัว Acer Swift Go 14 AI และ Acer Swift 14 AI มอบประสิทธิภาพการใช้งานที่หลากหลายและยกระดับอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้อย่างน่าทึ่ง Acer Swift Go 14 AI มาพร้อมกับโปรเซสเซอร์ Snapdragon® X Plus 8-core ใหม่ในดีไซน์ที่พกพาสะดวก ขณะที่ Acer Swift 14 AI ใช้โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen™ AI 300 Series ใหม่ที่มาพร้อมกับสถาปัตยกรรม AMD XDNA™ 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพโดยรวม. โน้ตบุ๊กสองรุ่นนี้เหมาะสำหรับการทำงานด้านสร้างสรรค์ การทำงานทั่วไป หรือการสตรีมมิ่งขณะเดินทาง คอมพิวเตอร์ Copilot+ PC ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการเวิร์คโหลดและแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับประสบการณ์ดิจิทัลให้ดียิ่งขึ้น

นายเจมส์ ลิน ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ก, เอเซอร์ อิงค์ กล่าวว่า “คอมพิวเตอร์ซีรีย์ Swift AI ใหม่นี้ เป็นโน้ตบุ๊กที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเพื่อการทำงาน การเรียนรู้ และเอนเตอร์เทนเมนต์ให้ตอบโจทย์การใช้งานทุกฟังก์ชัน โดยโน้ตบุ๊ก Swift ซีรีย์ มีระบบการประมวลผลบนโปรเซสเซอร์ AI ที่ทรงพลังที่สุดรุ่นหนึ่งในปัจจุบัน เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้นำเสนอความก้าวหน้าและประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมให้กับทุกท่าน”

ประสบการณ์ Copilot+ PC และชุดฟีเจอร์ด้าน AI กับ Acer

Copilot+ PC ช่วยให้ผู้ใช้ได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ในการโต้ตอบ ความคิดสร้างสรรค์ และสื่อสารไปกับ Swift โดยมีฟีเจอร์ดังนี้:

  • Cocreator: ปลดปล่อยจิตนาการอย่างไร้ขีดจำกัด ใช้งานผ่านทางคำสั่งหรือรูปภาพในการสร้างสรรค์ผลงาน
  • Live Captions: แปลคำพูดจากภาษากว่า 44 ภาษาและแสดงคำบรรยายภาษาอังกฤษแบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์วิดีโอ บทสนทนาในภาพยนตร์ หรือคลิปบน YouTube
  • Windows Studio Effects: มาพร้อมฟีเจอร์เสริมจาก AI เช่น การเบลอพื้นหลัง ปรับการมองของคุณบนการสนทนาทางวิดีโอ ช่วยให้คุณอยู่ในตําแหน่งกึ่งกลางเฟรมระหว่างการสนทนา  การปรับแสงช่วยการมองเห็นได้ชัดเจน แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อย และฟิลเตอร์สร้างสรรค์ เพื่อให้ผู้ใช้ดูดีที่สุดในระหว่างการประชุมทางไกล การสตรีมสด หรือวิดีโอคอล นอกจากนี้ยังสามารถเข้าถึงฟั่งชั่นต่างๆ ได้ด้วยการคลิกปุ่ม Copilot เพียงครั้งเดียว

แอปพลิเคชันที่ออกแบบด้วย AI ของ Acer มีให้ใช้งานบนโน้ตบุ๊ก Swift AI จะช่วยให้การใช้งานในชีวิตประจำวันสะดวกยิ่งขึ้น แอปพลิเคชัน AcerSense ทำให้การควบคุมการใช้งานของโน้ตบุ๊กเป็นเรื่องง่าย เช่น การเปลี่ยนการตั้งค่าระบบ การตรวจสอบ การเข้าถึงฟีเจอร์ AI ที่มีอยู่ และการปรับแต่งค่าต่างๆ ด้วยการคลิกเพียงปุ่ม AcerSense.

เครื่องมือการประชุมที่เพิ่มประสิทธิภาพด้วย AI ของ Acer ใน Acer PurifiedView™ 2.0 และ Acer PurifiedVoice™ 2.0 ทำงานร่วมกันเพื่อให้ผู้ใช้ดูดีและช่วยควบคุมเสียงให้ดี ระหว่างการสื่อสารบนช่องทางออนไลน์ ฟีเจอร์เหล่านี้สามารถเข้าถึงและตั้งค่าได้ทันทีด้วย Acer QuickPanel ที่จะปรากฏขึ้นอัตโนมัติเมื่อกล้องเว็บแคมและไมโครโฟนเปิดใช้งาน.

Acer User Sensing ช่วยปกป้องข้อมูลบนหน้าจอแม้ว่าผู้ใช้จะไม่อยู่ ด้วยเซ็นเซอร์ระยะใกล้ที่ติดตั้งในโน้ตบุ๊กจะตรวจจับระยะการเคลื่อนไหวของผู้ใช้งาน ส่งผลให้หน้าจอล็อกโดยอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้อยู่ห่างออกไป และเมื่อกลับมาเพื่อใช้งาน ก็สามารถเข้าสู่ระบบได้อย่างง่ายดายด้วย Windows Hello.

Acer Swift Go 14 AI: Copilot+ PC ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกการใช้งาน

Acer ได้เปิดตัวโน้ตบุ๊กซีรีย์ Swift Go ที่มาพร้อมกับ Copilot+ PC ที่มีประสิทธิภาพการประมวลผลระดับสูงเพื่อรองรับความต้องการการทำงานในปัจจุบัน Acer Swift Go 14 AI (SFG14-01) ใช้โปรเซสเซอร์ Snapdragon X Plus ที่มีการประมวลผลสูงถึง 8 คอร์ ความเร็วสูงสุด 3.4 GHz และ Qualcomm® Hexagon™ NPU ให้ประสิทธิภาพด้าน AI ถึง 45 TOPS รวมถึงหน่วยความจำ LPDDR5X สูงสุดที่ 32 GB และ SSD NVMe PCIe Gen 4 ขนาดสูงสุด 1 TB ซึ่งทำให้การทำงานมัลติทาสก์เป็นไปอย่างลื่นไหลและมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเพียงพอ สำหรับการทำงานและการเล่นวิดีโอได้ยาวนานถึง 28 ชั่วโมงแม้ในกรณีที่มีเวิร์คโหลดหนักก็ตาม.

ซัพพอร์ททุกฟังก์ชันเพื่อความบันเทิง จอแสดงผล WQXGA (2560X1600) ขนาด 14.5” อัตราการรีเฟรช 120 Hz และรองรับช่วงสี sRGB 100% โดยจอแสดงผลยังผ่านการรับรองจาก RPF 50 ซึ่งลดแสงสีฟ้าได้ 50% และลดความอันตรายของแสงสีฟ้าลงได้มากกว่า 20% โดยผู้ใช้งานจะได้รับประสบการณ์ในด้านคุณภาพเสียงจากลำโพงคู่ที่ผสานระบบเสียง DTS:X Ultra รวมถึงกล้อง QHD IR ความละเอียด 1440p พร้อมชัตเตอร์แบบไพรเวตเพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับการปกป้องความเป็นส่วนตัว แม้จะไม่ได้เปิดกล้องเพื่อใช้งานก็ตาม

โดยฟีเจอร์ทั้งหมดนี้อยู่ในโน้ตบุ๊กรุ่นล่าสุดนี้แสดงถึงความพร้อมด้านเทคโนโลยี AI และฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดี โดยมีไอคอน AI บนฝาครอบอลูมิเนียมที่บางเบา และสัญลักษณ์ AI Activity Indicator บนทัชแพดที่สว่างขึ้นเมื่อ NPU หรือ Copilot กำลังทำงาน นอกจากนี้ยังมีการออกแบบฝาพับแบบ 180 องศาช่วยให้การแสดงผลมุมมองต่าง ๆ มีประสิทธิภาพและเปิดใช้งานได้ด้วยมือเดียว รวมถึงพอร์ตเชื่อมต่อมากมาย เช่น USB 4.0 Type-C สองพอร์ตที่รองรับการชาร์จเร็ว, USB Type-A สองพอร์ต, Wi-Fi 7 และ Bluetooth™ 5.4 เพื่อการเชื่อมต่อที่รวดเร็วและเชื่อถือได้

Acer Swift 14 AI: ประสบการณ์ Copilot+ PC ที่ยอดเยี่ยม กับ AMD Ryzen AI 300 รุ่นใหม่

Acer Swift 14 AI (SF14-61/T) ได้รับการออกแบบให้เข้ากับการทำงานและความต้องการด้านการประมวลผลรูปแบบต่าง ๆ ยกระดับความสามารถการทำงานด้วยเครื่องมือและผู้ช่วยด้าน AI ภายในอุปกรณ์ ช่วยให้การทำงานที่หนักหน่วงและการทำงานหลายอย่างพร้อมกันบน AI PC เป็นเรื่องง่ายดาย ด้วยโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen AI 9 365  ได้รับการอัปเกรดผ่านสถาปัตยกรรม AMD XDNA 2 และสแต็คด้วยคอร์ “Zen 5”ประสิทธิภาพสูงสุดจำนวน 10 คอร์ เสนอพลังการประมวลผลด้าน AI สูงสุด 50 NPU TOPS ในขณะเดียวกันยังช่วยยืดระยะการใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานถึง 27 ชั่วโมง มาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X สูงสุด 32 GB และพื้นที่เก็บข้อมูล NVMe PCIe Gen 4 สูงสุด 2 TB เพื่อตอบสนองการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Acer Swift 14 AI มีดีไซน์พรีเมียมสุดบางเบา โดยฝาพับสามารถเปิดกว้างได้ถึง 180 องศาเพื่อการใช้งานที่หลากหลายและยังสะดวกต่อการพกพา ด้วยน้ำหนักเพียง 1.32 กิโลกรัม ปุ่ม Copilot บนแผงคีย์บอร์ดพร้อมไฟแบ็คไลท์จะแสดงสัญลักษณ์ส่องสว่างบนทัชแพตทันทีเมื่อมีการเปิดใช้งาน

Acer Swift 14 AI จอแสดงผล WQXGA ขนาด 14 นิ้ว (2880×1800) ที่ให้ภาพสมจริง รองรับฟีเจอร์ VESA DisplayHDR™ TrueBlack 500 และ Eyesafe 2.0 โดยมีความสว่างสูงสุด 500 nits และอัตราส่วนความคมชัด 1,000,000:1 จึงให้ภาพที่สดใสและคมชัด นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกจอ IPS WQXGA ที่อัตราการรีเฟรช 120 Hz และจอทัชสกรีนเพื่อเพิ่มประสบการณ์การโต้ตอบที่เพิ่มขึ้น คุณภาพด้านเสียงที่มาพร้อมลำโพงคู่ที่ใช้เทคโนโลยี DTS:X Ultra เพื่อเสียงที่คมชัด กล้อง QHD IR ความละเอียด 1440p มีไพรเวทชัตเตอร์ช่วยให้ทุกการโต้ตอบออนไลน์มีความคมชัดและเป็นส่วนตัวแม้เมื่อกล้องไม่ได้เปิดใช้งาน รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.4 พร้อมพอร์ตต่าง ๆ เช่น USB Type-C สองพอร์ต (รองรับ USB 4 และการชาร์จ USB), USB Type-A 3.2 สองพอร์ต, และ HDMI 2.1 

ราคาและการวางจำหน่าย

Acer swift Go 14 AI (SFG14-01) วางจำหน่ายในทวีปอเมริกาเหนือช่วงเดือนกันยายน ราคาเริ่มต้น 999.99 USD ภูมิภาคยุโรปตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) เริ่มวางจำหน่ายในเดือนกันยายน ราคาเริ่มต้นที่ 999 EUR และในออสเตรเลียจะเริ่มวางจำหน่ายช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 ในราคาเริ่มต้น 1,399 AUD

Acer Swift 14 AI (SF14-61/T) วางจำหน่ายในทวีปอเมริกาเหนือช่วงเดือนกันยายน ราคาเริ่มต้น 1,199.99 USD, ภูมิภาคยุโรปตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) วางจำหน่ายในเดือนกันยายน ราคาเริ่มต้นที่ 1,199.99 EUR, ในออสเตรเลียจะเริ่มวางจำหน่ายช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 ในราคาเริ่มต้น 2,799 AUD

ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ราคา และการวางจำหน่าย มีความแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความพร้อมการวางจำหน่าย และราคาในแต่ละภูมิภาค กรุณาติดต่อ Acer ในแต่ละภูมิภาคผ่านทาง www.acer.com


Exit mobile version