Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผู้ก่อตั้งหัวเว่ยมั่นใจบริษัทจะผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้

เหริน เจิ้งเฟย เผยบริษัทกำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อรักษาตำแหน่งผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของโลกไว้ให้ได้ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด19

กรุงเทพฯ/ 24 เมษายน 2563 – บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ส์ จำกัด ระบุสายการผลิตของบริษัทกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วกว่า 90% พร้อมเร่งเดินหน้าทำให้ซัพพลายเชนกลับมามั่นคงและดำเนินไปได้อย่างราบรื่นท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก นายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของหัวเว่ย เผยในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เซาท์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า “ทีมนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญ และวิศวกรกว่า 20,000 คนต้องทำงานล่วงเวลาในช่วงวันหยุดตรุษจีน เพราะเรากำลังแข่งกับเวลาเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่”

แม้จะไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับเทคโนโลยีดังกล่าว แต่ซีอีโอบอกกับเซาท์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์ ว่า งานที่พัฒนาอยู่นั้นจะทำให้หัวเว่ยรักษาการเป็นผู้นำในการแข่งขันระดับโลกไว้ได้ นายเหรินยังกล่าวด้วยความมั่นใจว่าบริษัทจะรอดพ้นจากทั้งวิกฤตการแพร่ระบาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก อย่างไรก็ดีภารกิจหลักของเขาในปีนี้ คือการรักษาตำแหน่งผู้ผลิตอุปกรณ์ 5G เบอร์หนึ่งของโลกเอาไว้ “สหรัฐฯ จะออกมาตรการกีดกันเพื่อควบคุมการค้าของเราต่อไปอีก เราจึงต้องพัฒนาเทคโนโลยีให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนที่มาตรการเหล่านั้นจะออกมา” นายเหริน กล่าว

การดำเนินการผลิตและการพัฒนาของหัวเว่ยกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วกว่า 90%  ผู้ก่อตั้งของหัวเว่ยได้ กล่าวเสริมว่าตอนนี้ซัพพลายเชนส่วนใหญ่ของบริษัทกลับมาราบรื่นเหมือนเดิมแล้ว ในขณะที่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสทำให้เกือบทุกประเทศทั่วโลกอยู่ในสภาวะชัตดาวน์ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับหัวเว่ยในตอนนี้คือการดูแลช่วยเหลือลูกค้าและสนับสนุนรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในการต่อสู้กับโรคระบาด โดยที่ความปลอดภัยและสุขภาพของพนักงานทุกคนของหัวเว่ยต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผลประกอบการหัวเว่ยไตรมาสแรกของปี 2563 เพื่อขึ้นร้อยละ 1.4

เซินเจิ้น ประเทศจีน/ 21 เมษายน 2563 –  วันนี้ หัวเว่ย ได้ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาสแรกของปี 2563 ด้วยยอดขาย 182.2 พันล้านหยวน หรือราว 835,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยไตรมาสนี้มีกำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 7.3

ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก  หัวเว่ยได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อดูแลความปลอดภัยของพนักงาน บริษัทยังได้ทำงานกับซัพพลายเออร์และพันธมิตรอย่างใกล้ชิดเพื่อร่วมหารือถึงปัญหาด้านการผลิต ทั้งนี้บริษัทได้กลับมาเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจและการผลิตอย่างเต็มกำลังแล้ว ธุรกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และผลประกอบการในภาพรวมของบริษัทในไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2563 ก็เป็นไปตามคาดการณ์

ในช่วงวิกฤตด้านสาธารณสุขเช่นนี้การเชื่อมต่อเครือข่ายกลายมาเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของทุกชีวิต การดูแลรักษาเครือข่ายให้ดำเนินได้ตามปกติถือเป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญสูงสุดในตอนนี้ หัวเว่ยกำลังทำงานอย่างเต็มความสามารถร่วมกับผู้ประกอบการโทรคมนาคมเพื่อให้เครือข่ายมีความมั่นคงและปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา ด้วยการร่วมแรงร่วมใจ เราจะให้บริการที่สอดรับความต้องการด้านเครือข่าย ที่ปรับเปลี่ยนไปเพราะการเว้นระยะห่างทางสังคม ผู้คนมากมายเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้การสื่อสารผ่านเครือข่าย การศึกษาทางไกล และอีคอมเมิร์ซมากขึ้น จนกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน

ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส หัวเว่ยและบริษัทพันธมิตรได้เร่งเปิดตัวแอปพลิเคชันทางการแพทย์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี 5G และ AI หลายรูปแบบ เราใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการสื่อสารมาต่อสู้กับการแพร่ระบาด และรักษาชีวิตของผู้ติดเชื้อ การตรวจวินิจฉัยทางเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) เพื่อวิเคราะห์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ด้วยเทคโนโลยี AI ช่วยลดเวลาในการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจาก 12 นาที เหลือเพียง 2 นาที เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการวินิจฉัยของแพทย์ ระบบให้คำปรึกษาผ่านทางวิดีโอทางไกลที่ขับเคลื่อนด้วย 5G ช่วยลดความขาดแคลนของผู้เชี่ยวชาญในแนวหน้า และเพิ่มประสิทธิผลของการวินิฉัยโรคและการรักษาผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤต อุปกรณ์ถ่ายภาพความร้อนที่ควบคุมด้วย AI สามารถจับอุณหภูมิความร้อน ช่วยยกระดับการป้องกันการติดเชื้อและการควบคุมดูแลพื้นที่สาธารณะให้ปลอดโรค นอกจากนี้ หัวเว่ยกำลังเดินหน้าจัดหาและส่งมอบหน้ากากอนามัย ชุดตรวจ และอุปกรณ์ป้องกันอื่น ๆ ไปยังหลากหลายประเทศและองค์กรที่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เหล่านี้

ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและในกลุ่มประเทศอาเซียน หัวเว่ยได้ร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ อาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน บังกลาเทศ กัมพูชา สปป. ลาว และอีกหลายประเทศ เพื่อช่วยดูแลแก้ปัญหาด้านการสื่อสารระหว่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาทำให้การเชื่อมต่อและบริการที่สำคัญดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

เมื่อวันที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของประเทศไทย ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของคณะแพทย์และบุคลากรในการดูแล รักษา และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ที่โรงพยาบาลศิริราช พร้อมติดตามผลการใช้งานโซลูชัน AI เพื่อวิเคราะห์โรคโควิด-19 ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหัวเว่ย ประเทศไทย ได้ส่งมอบให้แก่โรงพยาบาล โดยรัฐบาลไทยมีแผนที่จะนำโซลูชันดังกล่าวไปใช้ในอีกหลายโรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อเสริมศักยภาพการให้บริการสาธารณสุขและช่วยลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์

เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโดย AI และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิฉัยภาพเอกซเรย์ของผู้ป่วยสามารถวินิจฉัยภาพเอกซเรย์ปอดของคนไข้ได้อย่างแม่นยำ จากการเก็บข้อมูลจากดาต้าเบสที่มีภาพเอกซเรย์ของคนไข้กว่า 20,000 ภาพ ซึ่งเป็นผู้ป่วยโควิด-19 กว่า 4,000 ราย นอกจากนี้ ระบบเพื่อการติดต่อสื่อสารทางไกลยังจะช่วยลดการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ ช่วยขยายความสามารถในการควบคุมโรคในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศอีกด้วย

“เราอยากให้โรคระบาดสิ้นสุดโดยเร็วที่สุด และหวังว่าผู้ป่วยทุกๆ คนจะได้รับการรักษาและกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงอีกครั้ง การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นดั่งเครื่องเตือนใจว่าเราทุกคนบนโลกต่างต้องเผชิญความท้าทายนี้ไปพร้อมๆ กัน และเราต้องรวมมือกันเพื่อเอาชนะวิกฤตครั้งนี้ให้ได้ ไวรัสนั้นแพร่กระจายอย่างไม่มีขอบเขต ไม่มีเป้าหมายที่เจาะจง ไม่เลือกชนชาติ สีผิว หรือความยากดีมีจน” นายอีริค สวี ประธานกรรมการบริหารแบบหมุนเวียนตามวาระของหัวเว่ย กล่าว

เมล็ดพันธุ์ที่รอดพ้นพายุโหมกระหน่ำย่อมงอกงาม เบ่งบาน และผลิดอกออกผล แม้ตอนนี้เราจะยังไม่รู้ว่าวิกฤตจากโรคระบาดครั้งนี้จะคลี่คลายได้อย่างไร แต่หัวเว่ยเชื่อว่าหากเรารวมกันเป็นหนึ่งเดียว เราก็จะผ่านพ้นความท้าทายครั้งนี้ไปด้วยกัน

หมายเหตุ อัตราแลกเปลี่ยน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 – 1 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ = 7.0915 หยวน (อ้างอิงจากเอเจนซี่ส์)


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หัวเว่ยเผยผลประกอบการประจำปี 2562

เซิ่นเจิ้น ประเทศจีน/ 31 มีนาคม 2563 – หัวเว่ย เผยผลประกอบการประจำปี 2562 ด้วยผลการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 858.8 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 19.1% จากปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิแตะ 62.7 พันล้านหยวน พร้อมเงินสดจากการดำเนินงานสูงถึง 91.4 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 22.4% จากปีก่อนหน้า ในฐานะส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนด้านนวัตกรรมและการวิจัยเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องในระยะยาว หัวเว่ยใช้เงินลงทุน 15.3% ของรายได้ตลอดปี 2562 หรือ 131.7พันล้านหยวน ในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยงบด้าน R&D ที่ลงทุนไปแล้วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นมากกว่า 600 พันล้านหยวน

“ปี 2562 เป็นปีที่พิเศษสำหรับหัวเว่ย” มร. อีริค สวี ประธานบริษัท หมุนเวียนตามวาระ ของหัวเว่ย กล่าว “แม้จะมีแรงกดดันมหาศาลจากภายนอก ทีมของเราก็ยังก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือเพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้าของเรา เราทำงานกันอย่างหนักเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากลูกค้า และจากพันธมิตรทั่วโลก ธุรกิจของเรายังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง”

ในปี 2562 ธุรกิจโทรคมนาคมของหัวเว่ยเป็นผู้นำในการติดตั้งเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์ และเพื่อให้เกิดความแพร่หลายของการใช้งานเชิงพาณิชย์และส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ ๆ จากการใช้ 5G บริษัทได้ก่อตั้งศูนย์นวัตกรรมความร่วมมือด้าน 5G ร่วมกับผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคมทั่วโลก โซลูชันสถานีฐาน RuralStar ของหัวเว่ย สามารถแก้ปัญหาการครอบคลุมของสัญญาณในพื้นที่ห่างไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการใช้งานในกว่า 50 ประเทศ ช่วยให้ประชากรในถิ่นทุรกันดารกว่า 40 ล้านคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้จากโทรศัพท์มือถือ ในปี 2562 รายได้จากการขายในกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมของหัวเว่ยพุ่งสูงถึง 296.7 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 3.8% จากปีก่อนหน้า

ธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ของหัวเว่ยยังคงสนับสนุนการทรานสฟอร์มด้านดิจิทัลของลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไปพร้อมกับการช่วยวางรากฐานสำหรับโลกดิจิทัล ทั่วโลกมีเมืองกว่า 700 แห่ง และบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ชั้นนำ 228 รายในทำเนียบ Fortune Global 500 ได้เลือกหัวเว่ยเป็นพันธมิตรในการทรานสฟอร์มด้านดิจิทัลขององค์กร ในปี 2562 หัวเว่ยได้ประกาศกลยุทธ์คอมพิวติ้ง ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมหน้าดินสำหรับการปลูกเมล็ดพันธ์แห่งโลกอัจฉริยะให้เติบโต ภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทได้เปิดตัว Ascend 910 โปรเซสเซอร์ AI ที่เร็วที่สุดในโลก และคลัสเตอร์สำหรับการเทรน AI ชื่อ Atlas 900 ในปี 2562 รายได้ยอดขายของกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ของหัวเว่ยแตะ 89.7 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 8.6% จากปีก่อนหน้า

ในส่วนธุรกิจคอนซูเมอร์ หัวเว่ยยังคงเห็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยยอดส่งมอบสมาร์ทโฟนทั้งสิ้น 240 ล้านเครื่องตลอดปี บริษัทได้รายงานความก้าวหน้าต่อเนื่องของการพัฒนาอีโคซิสเต็มชีวิต AI แบบไร้รอยต่อ (Seamless AI Life) ครอบคลุมทุกสถานการณ์การใช้งานและอุปกรณ์ รวมทั้งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แท็บเล็ต อุปกรณ์สวมใส่ และสมาร์ทสกรีนต่าง ๆ ในปี 2562 รายได้ยอดขายจากธุรกิจคอนซูเมอร์พุ่งสูงแตะ 467.3 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อนหน้า

“ในอนาคตข้างหน้า ปัจจัยภายนอกจะมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นไปอีก” มร. อีริค สวี กล่าวเตือน “เราต้องพัฒนาความได้เปรียบของผลิตภัณฑ์และบริการของเราให้ล้ำไปข้างหน้า ส่งเสริมนวัตกรรมแบบเปิด และสร้างคุณค่าให้ลูกค้าและสังคมโดยรวมของเราให้มากยิ่งขึ้น นี่เป็นเหตุผลเดียวที่เราจะฉวยโอกาสแห่งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ อันเกิดขึ้นจากการทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัลและความเป็นอัจฉริยะของอุตสาหกรรมต่าง ๆ และรักษาการเติบโตอันแข็งแกร่งนี้ไว้ในระยะยาว”

งบการเงินในรายงานประจำปี 2562 ได้รับการตรวจสอบโดย KPMG ซึ่งเป็นบริษัทด้านการบัญชีรายใหญ่ระดับบิ๊กโฟร์ (Big Four) หากต้องการดาวน์โหลดรายงานประจำปี 2562 โปรดคลิกที่ www.huawei.com/en/press-events/annual-report/2019


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หัวเว่ยยื่นจดสิทธิบัตรมากที่สุดในยุโรป

บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ครองอันดับหนึ่งด้วยยอดสิทธิบัตรที่ขอจดทะเบียนทั้งสิ้น 3,524 ฉบับ
ตอกย้ำว่าวงการสื่อสารดิจิทัลอยู่ในช่วงขาขึ้น ด้วยการต่อยอดนวัตกรรมจากเทคโนโลยี 5G

กรุงเทพฯ/ 27 มีนาคม 2563 – บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ส์ จำกัด ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งผู้ขอจดสิทธิบัตรรายใหญ่ที่สุดในยุโรปประจำปี 2562 ตามข้อมูลจากรายงานล่าสุดของสำนักงานสิทธิบัตรยุโรป (European Patent Office – EPO) โดยหัวเว่ยเป็นบริษัทจีนเพียงรายเดียวที่ก้าวขึ้นตำแหน่งสูงสุดนี้ หัวเว่ยได้ยื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตรทั้งสิ้น 3,524 ฉบับในปี 2562 นำห่างซัมซุง (2,858 ฉบับ) แอลจี (2,817 ฉบับ) ยูไนเต็ด เทคโนโลยี่ส์ (2,813 ฉบับ) และซีเมนส์ (2,619 ฉบับ) ที่ตามมาในลำดับที่สอง สาม สี่ และห้า ตามลำดับ

จากจำนวนสิทธิบัตรทั้งสิ้น 3,524 ฉบับที่หัวเว่ยขอขึ้นทะเบียนในปี 2562 ร้อยละ 64 จัดอยู่ในกลุ่มการสื่อสารดิจิทัล ร้อยละ 12 อยู่ในกลุ่มโทรคมนาคม และอีกร้อยละ 11 อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ มร. ยาน เมนิแยร์ หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ของ EPO เผยว่า การสื่อสารดิจิทัลเป็นกลุ่มที่มีการขอยื่นจดทะเบียนสิทธิบัตรมากที่สุดในปี 2562 สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาอันรวดเร็วของเทคโนโลยี 5G

บริษัท หัวเว่ย ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเซิ่นเจิ้น กำลังขึ้นเป็นผู้นำในตลาดการแข่งขัน 5G ระดับโลก ด้วยการคว้าสัญญา 5G เชิงพาณิชย์กับโอเปอเรเตอร์ทั่วโลกมากกว่า 90 ฉบับ ในขณะที่โลกกำลังเตรียมเปิดให้บริการ 5G อย่างเป็นทางการ มร. เหลียง หัว ประธานบริษัทหัวเว่ย ได้ประกาศเมื่อปลายปีที่ผ่านมาว่า บริษัทได้ส่งมอบสถานีฐาน 5G ไปแล้วกว่า 400,000 ชุด มร. เหริน เจิ้งเฟย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งของบริษัท ยังได้กล่าวว่า เขาเชื่อว่าบริษัทจะสามารถส่งมอบสถานีฐานได้ 1.5 – 2 ล้านชุดในปี 2563

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทประกาศว่าจะสร้างโรงงานอุปกรณ์ 5G สำหรับยุโรปแห่งแรกในประเทศฝรั่งเศส โดยจะผลิตสถานีฐานเคลื่อนที่แบบเมดอินยุโรป “โรงงานแห่งนี้จะจัดส่งอุปกรณ์ให้ตลาดทั่วทั้งยุโรป ไม่ใช่แค่ในฝรั่งเศส” มร. เหลียง หัว กล่าว ฐานการผลิตในฝรั่งเศสซึ่งใช้เงินลงทุน 200 ล้านยูโร จะเป็นโรงงานผลิตสถานีฐาน 5G แห่งแรกของหัวเว่ยที่ตั้งอยู่นอกประเทศจีน


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หัวเว่ยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 เร่งองค์กรให้ก้าวสู่ยุคเครือข่ายไร้สายเต็มรูปแบบ

กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร / 13 มีนาคม 2563 — หัวเว่ยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ซีรีส์ AirEngine Wi-Fi 6 รวม 10 รุ่น ในงานเปิดตัวอุปกรณ์และโซลูชัน ปี 2563 ของหัวเว่ย ณ กรุงลอนดอน ช่วยให้องค์กรก้าวเข้าสู่ยุคเครือข่ายไร้สายอย่างสมบูรณ์ เร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วผ่านการสร้างเครือข่ายองค์กรแบบไร้สายที่เชื่อมต่อกันอย่างเต็มรูปแบบ ยกระดับการทำงานในองค์กร สายการผลิต และบริการอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ซีรีส์ใหม่นี้ ผลิตภัณฑ์เรือธงรุ่น AirEngine8760 AP มีอัตราการส่งข้อมูลสูงสุดถึง 10.75 Gbps ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมถึงสองเท่า สร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่ผลิตภัณฑ์ Wi-Fi 6


มร. ชิว เหิง ประธานฝ่ายการตลาด และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์

เปิดตัวอุปกรณ์ AirEngine Wi-Fi 6 ซีรีส์ใหม่

ในงาน หัวเว่ยได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ 3 ซีรีส์ ได้แก่ AirEngine 8700, AirEngine 6700 และ AirEngine 5700 ครอบคลุมการใช้งานทั้งภายในและภายนอกอาคาร ซึ่งจะช่วยพัฒนาประสบการณ์การใช้งานเครือข่ายได้อย่างมีนัยสำคัญในสถานการณ์ดังต่อไปนี้

สถานการณ์ที่มีการใช้งานเครือข่ายหนาแน่นสูง เช่น สำนักงาน ห้องประชุม สนามกีฬา อาคารผู้โดยสาร และสถานีรถโดยสารสาธารณะ
การใช้งานวิดีโอความละเอียดสูง (HD) เช่น การสอนแบบเสมือนจริงหรือเพิ่มความเสมือนจริง (VR/AR) และการประชุมผ่านทางวิดีโอ 4K/8K
การใช้งานในโรงงานที่ควบคุมด้วยเครือข่ายไร้สาย เช่น รถขนส่งอัตโนมัติ (AGV)
การใช้งานแบบผสมผสานทั้ง IoT และ Wi-Fi เช่น ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และองค์กรอัจฉริยะ
การให้บริการเครือข่ายสาธารณะสำหรับพื้นที่ภายนอกอาคาร เช่น บริเวณลานโล่ง และถนนต่าง ๆ

ปัจจุบันองค์กรจำนวนมากเริ่มใช้งานหรือกำลังพิจารณาการใช้ Wi-Fi 6 เป็นเทคโนโลยีหลักสำหรับเครือข่ายขององค์กร มร. แทม เดลล์โอโร ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารเดลล์โอโร กรุ๊ป กล่าวถึง Wi-Fi 6 ว่า “เราเห็นว่า Wi-Fi 6 เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากตลาดเริ่มเปลี่ยนจากกลุ่มผู้ใช้เทคโนโลยีใหม่รุ่นแรก ๆ ไปสู่ตลาดวงกว้างแล้วในปี 2563 นี้ ส่วนโรงงานต่าง ๆ ตอนนี้ก็เริ่มมีการใช้งานเทคโนโลยี Wi-Fi 6 ในรุ่นถัดไปที่มีฟีเจอร์ที่สมบูรณ์ในราคาที่สูงกว่า Wi-Fi5 หรือ Wi-Fi 4 ไม่มากนัก”

ในขณะที่เราเริ่มก้าวเข้าสู่ยุคเครือข่ายไร้สายอย่างเต็มรูปแบบ เครือข่าย Wi-Fi 6 จำเป็นต้องมีคุณลักษณะที่ชัดเจน 3 ประการ คือ ความเร็วสูง เชื่อมต่อได้ตลอดเวลา และความเร็วระดับ 100 Mbps ในทุกพื้นที่

หัวเว่ยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ซีรีส์ AirEngine Wi-Fi 6 รวมถึง Access Point 10 รุ่น
ความเร็วสูง: AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ยมีอัตราการส่งข้อมูลสูงสุดถึง 10.75 Gbps สูงกว่าเครือข่ายแบบมีสาย ที่ระดับการเข้าถึงเครือข่ายองค์กรเป็นครั้งแรก

ในอนาคตจะมีจำนวนอุปกรณ์ที่ต้องเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi ในองค์กรเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 10 เท่า และอุปกรณ์แต่ละชิ้นจะต้องใช้แบนด์วิดท์ (ความกว้างช่องสัญญาณ) อย่างน้อย 50 Mbps สำหรับแอปพลิเคชันวิดีโอความคมชัดสูง (HD) เช่น วิดีโอ 4K ด้วยเหตุนี้ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ยจึงออกแบบให้มีจำนวนเสารับส่งและ Spatial Stream มากที่สุดในอุตสาหกรรม (16 Transmit 16 Receive และ 16 Spatial Streams) ทำให้อัตราการส่งข้อมูลทำได้สูงสุดถึง 10.75Gbps สองเท่าของค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม

เชื่อมต่อตลอดเวลา: AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ย โดดเด่นด้วยความครอบคลุมของสัญญาณที่มากกว่า, ไม่มีอัตราการสูญเสียข้อมูล และมีความหน่วงต่ำระดับ Ultra-Low ตอบโจทย์ความต้องการด้านคุณภาพเครือข่ายองค์กรเพื่อให้ระบบที่มีความสำคัญสูงสุดทำงานได้อย่างราบรื่นและไม่มีการหยุดชะงัก

ทั้งนี้เพื่อช่วยให้องค์กรเชื่อมต่อบริการสำคัญ ๆ กับเครือข่าย Wi-Fi ได้ ผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi6 ของหัวเว่ยใช้เสาอากาศอัจฉริยะที่แตกต่างจากแบรนด์อื่น เพื่อการครอบคลุมที่เสถียรยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับอุปกรณ์ Wi-Fi 6 อื่น ๆ ผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ยให้สัญญาณที่แรงกว่าเท่าตัว และครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้นร้อยละ 20 พร้อมรับประกันความแรงของสัญญาณในพื้นที่บริเวณสุดระยะครอบคลุม นอกจากนี้ เทคโนโลยี Lossless Roaming ที่ไม่มีใครเทียบเท่าของหัวเว่ยพร้อมรับประกัน Zero Packet Loss ป้องกันข้อมูลสูญหาย พร้อมอัตราความสำเร็จของการโรมมิ่งข้อมูลร้อยละ 100 ช่วยให้ปฏิบัติการและการทำงานในสำนักงานแบบไร้สายมีความเสถียรมากขึ้น ผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ยใช้เทคโนโลยี Dynamic Turbo (เทคโนโลยีเร่งความเร็วการใช้งานอัจฉริยะ) เพื่อให้มีความหน่วงข้อมูลระดับ Ultra-Low หรือเพียง 10 ms ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมครึ่งหนึ่ง โดยค่าความหน่วงต่ำระดับนี้ทำให้การใช้งาน VR, AR และวิดีโอระดับ HD มีความเสถียรยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ความเร็วคงที่ระดับ 100 Mbps ในทุกพื้นที่: ด้วยเทคโนโลยี 5G ระดับนวัตกรรมของหัวเว่ย ผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ย สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายความเร็ว 100 Mbps ครอบคลุมทุกพื้นที่ภายในองค์กร ได้อย่างต่อเนื่องในระดับการใช้งานที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของอุปกรณ์ประเภทนี้ในอุตสาหกรรม

ในอุตสาหกรรม Wi-Fi นั้น การรับประกันแบนด์วิดท์ไม่ให้เกิดการขัดข้องและให้อุปกรณ์แต่ละชิ้นสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายได้อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นความท้าทายของอุตสาหกรรมมาโดยตลอด และเพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าว ผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ย ได้ผสมผสานเทคโนโลยี 5G ที่ล้ำหน้าเข้าไปในเครือข่าย Wi-Fi ทำให้ในสถานการณ์ที่มีอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่ายเป็นจำนวนมาก อุปกรณ์เชื่อมต่อแต่ละชิ้นจะสามารถรับส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วเสถียรระดับ 100 Mbps ในทุกพื้นที่ ทุกเวลา

“เราเชื่อว่าการยกระดับเครือข่ายไร้สายไปเป็น Wi-Fi 6 จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในกระบวนการทรานสฟอร์มด้านดิจิทัลขององค์กร ซึ่งแตกต่างจาก Wi-Fi รุ่นก่อนหน้าเป็นอย่างมาก หัวเว่ยได้นำเทคโนโลยี 5G ระดับแถวหน้าของอุตสาหกรรม มาใช้กับผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ย ทั้งเสาอากาศ อัลกอริทึม และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ก้าวหน้าที่สุดในอุตสาหกรรม AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ยจะช่วยสร้างเครือข่ายไร้สายคุณภาพสูงให้องค์กรได้ “มร. จ้าว จื้อเผิง ประธานกลุ่มเครือข่ายองค์กร แผนกผลิตภัณฑ์ดาต้าคอม ของหัวเว่ย กล่าว “เราคาดว่าเครือข่ายองค์กร Wi-Fi 6 คุณภาพสูงนี้ จะช่วยดำเนินการปรับเปลี่ยนด้านดิจิทัลขององค์กร ทั้งการใช้งานในรูปแบบสำนักงาน โรงงาน และบริการ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยกระดับประสิทธิภาพและประสบการณ์การใช้งานให้ดีขึ้น ในอนาคต เราจะเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมร่วมกับลูกค้าต่อไปเพื่อสร้างเครือข่ายองค์กรอัจฉริยะเต็มรูปแบบที่ใช้งานง่าย โดยมี AirEngine เป็นตัวช่วยเร่งให้เกิดการเข้าสู่ยุคเครือข่ายองค์กรแบบไร้สายเต็มรูปแบบให้เร็วที่สุด”

หัวเว่ยมุ่งมั่นบูรณาการนวัตกรรม AirEngine Wi-Fi 6 เข้ากับรูปแบบใช้งานของลูกค้าแต่ละราย เพื่อเพิ่มประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ

สำหรับการใช้งานในสำนักงาน ผลิตภัณฑ์ AirEngine ของหัวเว่ยจะช่วยเร่งให้เกิดการพัฒนาสำนักงานอัจฉริยะได้รวดเร็วยิ่งขึ้น พนักงานสามารถเปลี่ยนการสื่อสารผ่านเสียงและข้อความแบบเดิม ในสถานที่ทำงานแบบที่มีที่ตั้งปกติ ไปเป็นการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าด้วยวิดีโอ HD และการสื่อสารแบบหลายหน้าจอได้จากที่ใดก็ได้

ในด้านการศึกษา ผลิตภัณฑ์ AirEngine จะช่วยส่งเสริมการเรียนการสอนด้วยการใช้เทคโนโลยี AR/VR ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว รูปแบบการเรียนของนักเรียนจะเปลี่ยนไป จากการเรียนจากหนังสือแบบเดิมไปสู่การเรียนรู้เชิงปฏิสัมพันธ์ การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะทำให้นักเรียนมีส่วนรวมในการเรียนรู้มากขึ้น และช่วยสร้างทรัพยากรการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล ส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมทางด้านการศึกษา

ในภาคการผลิตและโลจิสติกส์ ผลิตภัณฑ์ AirEngine ของหัวเว่ย จะช่วยให้โรงงานและการกระจายสินค้าแบบไร้คนควบคุมเป็นไปได้จริง หุ่นยนต์อัจฉริยะจะเข้ามาควบคุมงานด้านจักรกลที่ซ้ำซากและอันตราย ซึ่งจะช่วยพัฒนาโรงงานสู่ยุคการผลิตอัตโนมัติ

ในงานด้านบริการสาธารณะ AirEngine ของหัวเว่ย จะช่วยยกระดับคุณภาพของบริการ ส่งเสริมหน่วยงานด้านบริการสาธารณะ ให้สามารถให้บริการออนไลน์ที่มีความเฉพาะเจาะจงตามผู้ใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา รวมทั้งสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น

หัวเว่ยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Wi-Fi 6 เชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมในปี 2560 นับตั้งแต่นั้น ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง และถูกนำไปใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลกอย่างรวดเร็ว หัวเว่ยครองตลาดเป็นอันดับหนึ่งในตลาด Wi-Fi 6 ทั่วโลก (ยกเว้นในอเมริกาเหนือ) และในประเทศจีน จากผลการสำรวจส่วนแบ่งตลาดอุปกรณ์กระจายสัญญาณ Wi-Fi 6 ภายในอาคาร ระหว่างไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 ถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 โดย Dell’Oro Group

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ Huawei AirEngine Wi-Fi 6


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หัวเว่ยรั้งอันดับ 5 บริษัททุ่มงบด้านวิจัยและพัฒนาสูงที่สุดของโลก

กรุงเทพฯ/ 2 มีนาคม 2563 – บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ส์ จำกัด ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของโลก ครองอันดับ 5 ของบริษัทที่ทุ่มงบประมาณในด้านการวิจัยและพัฒนามากที่สุดของโลก ตามข้อมูลของ 2019 EU Industrial R&D Investment Scoreboard ต่อเนื่องกันเป็นปีที่สอง ซึ่งการศึกษานี้จัดทำโดยคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) เพื่อจัดลำดับ 2,500 บริษัทที่มีการลงทุนในด้าน R&D มากที่สุดในโลก โดยหัวเว่ยและอาลีบาบา กรุ๊ป (ติดลำดับที่ 28) เป็นบริษัทสัญชาติจีนเพียง 2 รายที่มีชื่อติดอยู่ใน 50 อันดับแรก

หัวเว่ยมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะบริษัทที่ทุ่มเทเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ในแต่ละปีบริษัทจะทุ่มรายได้จากยอดขายราวร้อยละ 10 – 15 ไปกับงานด้าน R&D โดยเฉพาะ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทได้ใช้งบราว 70,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (หรือราว 2.2 ล้านล้านบาท) ไปในด้านวิจัยและพัฒนา และได้เริ่มดำเนินการวิจัยเทคโนโลยี 5G ตั้งแต่ปี 2552 ด้วยการลงทุนงบกว่า 4,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ราว 12.7 หมื่นล้านบาท) ไปกับการศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ 5G ทำให้ปัจจุบันหัวเว่ยได้เป็นเจ้าของสิทธิบัตร 5G มากที่สุดในโลกถึง 3,325 ฉบับ นอกจากนี้ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หัวเว่ยยังเป็นบริษัทที่เข้าไปมีส่วนร่วมมากที่สุดในการกำหนดมาตรฐานสากลของการใช้งาน 5G ทั่วโลกอีกด้วย ตามข้อมูลจากบริษัท Iplytics ผู้วิจัยข้อมูลทางการตลาด

ในขณะที่ทั่วโลกเริ่มเปิดให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ มร. เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของหัวเว่ย ได้เปิดเผยเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า บริษัทได้เริ่มศึกษาพัฒนาเทคโนโลยี 6G แล้ว ซึ่งจะมอบความเร็วที่สูงกว่า 5G ถึง 100 เท่า “ความจริงแล้วเราพัฒนา 5G และ 6G ไปพร้อม ๆ กัน โดยเราเริ่มงานวิจัย ด้าน 6G มานานแล้ว” มร. เหริน กล่าว “แต่ตอนนี้ยังเป็นแค่เฟสแรก ๆ และเราก็คิดว่าการใช้งาน 6G เชิงพาณิชย์ยังต้องรอไปอีกประมาณ 10 ปี” เขาอธิบาย

ปัจจุบันหัวเว่ยเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยี 5G ร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายทั่วโลกเพื่อมอบบริการที่ครอบคลุมและครบวงจรมากขึ้น บริษัทเปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าได้ลงนามในสัญญา 5G เชิงพาณิชย์ไปแล้วกว่า 90 ฉบับทั่วโลก


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หัวเว่ยเปิดตัวโซลูชัน HiCampus ยกระดับเครือข่ายองค์กร

ลอนดอน สหราชอาณาจักร/ 28 กุมภาพันธ์ 2563 – หัวเว่ย เปิดตัวโซลูชัน HiCampus ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีแถวหน้าอย่าง 5G, Optical Transmission และ AI ของหัวเว่ย ช่วยให้องค์กรสามารถเข้าถึงระบบเครือข่ายแบบไร้สาย เชื่อมโยงผ่านใยแก้วนำแสง และให้บริการเชิงอัจฉริยะครอบคลุมทุกเครือข่ายได้เต็มรูปแบบ ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรสร้างเครือข่ายสำหรับอนาคต พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้น ใช้พลังงานน้อยลง และรองรับนวัตกรรมที่ทำให้บริการต่าง ๆ รวดเร็วกว่าที่เคย

มร. ชิว เหิง ประธานฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ของหัวเว่ย กล่าวว่า “หัวเว่ยได้เปิดตัวโซลูชัน HiCampus เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานเครือข่ายองค์กรให้ดียิ่งขึ้น ผ่านนวัตกรรมที่หลากหลาย รวมถึง AirEngine Wi-Fi 6 ที่เสริมสมรรถนะด้วยเทคโนโลยี 5G ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงเครือข่ายขององค์กรได้แบบไร้สายอย่างเต็มรูปแบบ และโซลูชัน Campus OptiX ที่มอบการเชื่อมโยงเครือข่ายผ่านใยแก้วนำแสงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตลอดจนเทคโนโลยี AI และ Horizon Digital Platform ที่ทำให้บริการต่าง ๆ รวมไปถึงการดำเนินการและดูแลรักษา (O&M) เครือข่ายได้แบบอัจฉริยะครบวงจร โซลูชัน HiCampus ตอกย้ำถึงเห็นข้อได้เปรียบอันยอดเยี่ยมของหัวเว่ยในด้านเทคโนโลยี 5G, Optical Transmission และ AI โซลูชันนี้ทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้เครือข่ายไร้สายด้วยความเร็วระดับ 100 Mbps ที่เชื่อมต่อได้เต็มประสิทธิภาพทั่วทุกพื้นที่ในองค์กร (Always-on) ทั้งยังลดการใช้พลังงานของเครือข่ายโดยรวมลงได้ราวร้อยละ 30 ในขณะเดียวกันก็เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันได้ถึงร้อยละ 30 ซึ่งจะเร่งการทรานสฟอร์มเครือข่ายองค์กรสู่ระบบดิจิทัลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”

เข้าถึงเครือข่ายแบบไร้สายเต็มรูปแบบ: ผลิตภัณฑ์ซีรีส์ AirEngine Wi-Fi 6 ที่เสริมสมรรถนะด้วยเทคโนโลยี 5G ของหัวเว่ย มอบอัตราการส่งข้อมูลด้วยความเร็วระดับ 10 กิกะบิต/วินาที ค่าความหน่วงต่ำเพียง 10 ms และให้รัศมีครอบคลุมที่กว้างขึ้นกว่ามาตรฐานในอุตสาหกรรมถึงร้อยละ 20 ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงเครือข่ายไร้สายคุณภาพสูงได้อย่างเต็มรูปแบบทั่วทั้งองค์กร

พร้อมกันนี้ หัวเว่ยยังได้เปิดตัว Access Point Wi-Fi 6 ใหม่อีก 10 รุ่น แบ่งเป็น 3 ซีรีส์ คือ AirEngine 8700, AirEngine 6700 และ AirEngine 5700 ครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลายทั้งภายในและภายนอกอาคาร โดยผลิตภัณฑ์รุ่นเรือธง AirEngine 8760 ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเสาส่งสัญญาณ 5G แบบ 16T16R และความกว้างช่องสัญญาณแบนด์วิดท์ 160 MHz เพื่อเพิ่มอัตราการส่งข้อมูลสูงสุดถึง 10.75 กิกะบิต/วินาที สูงกว่ามาตรฐานประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมถึง 2 เท่า นอกจากนี้ เสาอากาศอัจฉริยะ (Smart Antenna) ที่เสริมทัพด้วยเทคโนโลยี 5G ยังทำให้ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ย มีรัศมีการครอบคลุมของสัญญาณกว้างขึ้นถึงร้อยละ 20 และให้สัญญาณที่แรงขึ้นเท่าตัว (ในพื้นที่เดียวกัน) เมื่อเทียบกับมาตรฐานที่มีอยู่ในอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบที่สำคัญที่สุดขององค์กรจะเข้าถึงเครือข่าย Wi-Fi ได้ ผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ย ใช้เทคโนโลยี SmartRadio ช่วยเพิ่มความเร็วและความแรงของสัญญาณ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ 5G ของหัวเว่ย และเป็นเทคโนโลยีที่มีความหน่วงเวลาต่ำระดับ Ultra-Low ซึ่งต่ำกว่า 10 มิลลิวินาที และน้อยกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมถึงร้อยละ 50 ช่วยรับประกันประสบการณ์การใช้งานเครือข่ายที่ดีที่สุดสำหรับภารกิจที่สำคัญมากที่สุดขององค์กร ยิ่งไปกว่านั้น การใช้เทคโนโลยี Lossless Roaming ที่มีอยู่ใน SmartRadio ทำให้รับประกันได้ว่าจะไม่มีการสูญหายของข้อมูล (Zero Packet Loss) ในระหว่างการโรมมิ่งจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง พร้อมอัตราความสำเร็จของการโรมมิ่งที่ร้อยละ 100 เพื่อป้องกันการหยุดชะงักของการส่งข้อมูล

การผสานเทคโนโลยี 5G เข้ามาทำให้ผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ย ไม่ได้เป็นแค่อุปกรณ์กระจายสัญญาณ (Access Point) เพราะสามารถรับประกันความต่อเนื่องในการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 ในระดับการใช้งานที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ผู้ใช้งานได้รับประโยชน์จากเครือข่ายไร้สายความเร็วระดับ 100 Mbps ได้ตลอดเวลาแบบ Always-on จากทุกพื้นที่ภายในองค์กร

เครือข่ายออปติคัลเต็มรูปแบบ: โซลูชัน Campus OptiX ช่วยลดความซับซ้อนของสถาปัตยกรรมเครือข่าย เพื่อประหยัดพื้นที่ในการติดตั้งอุปกรณ์และลดการใช้พลังงาน ช่วยให้ลูกค้าสร้างเครือข่ายองค์กรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ด้วยประสบการณ์และการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Optical Transmission ในอุตสาหกรรมมานานกว่าทศวรรษ หัวเว่ยมีเป้าหมายที่จะช่วยจัดหาเครือข่ายองค์กรที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านบริการของลูกค้า ด้วยเหตุนี้ หัวเว่ยจึงได้รับรางวัล Gartner Peer Insights Customers’ Choice ในฐานะผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่ายทั้งแบบมีสายและแบบไร้สาย ประจำเดือนมกราคม ปี 2563 โซลูชันเครือข่าย Campus OptiX ช่วยให้เครือข่ายองค์กรกลายเป็นเครือข่ายออปติกอย่างเต็มรูปแบบ ติดตั้งใช้งานง่าย พัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง และมีระบบบริหารจัดการที่ชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ สถาบันการศึกษา โรงแรม สนามบิน และอื่น ๆ โซลูชันนี้ยังช่วยให้ลูกค้าสามารถนำเทคโนโลยีการเข้าถึงแบบออปติกชั้นนำระดับโลกของหัวเว่ยไปใช้งานในสถาปัตยกรรมเครือข่ายองค์กรได้ หรืออาจรวมไปถึงบริการคลาวด์และอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ ได้ด้วย

โซลูชันเครือข่าย Campus OptiX ของหัวเว่ย ผนวกรวมข้อดีของสถาปัตยกรรมออปติคัลแบบเต็มรูปแบบและเครือข่าย IP เข้าไว้ด้วยกัน อาทิ IP Switch ที่มีประสิทธิภาพระดับ Ultra-Large และผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 (ที่ใช้พอร์ตออปติคัล) เพื่อรองรับช่องสัญญาณ (Bearer) ระดับ Ultra-Broadband Capability และตอบโจทย์ความต้องการใช้งานขององค์กรในช่วง 3 ทศวรรษข้างหน้าซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในอุตสาหกรรม สถาปัตยกรรมเครือข่ายแบบออปติคัลเต็มรูปแบบนี้จะช่วยลดพื้นที่การวางอุปกรณ์ อีกทั้งยังลดการใช้พลังงานของเครือข่ายโดยรวมลงได้อีกราวร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับเครือข่ายองค์กรแบบเก่าที่ต้องมี Aggregation Layer ขณะที่ Switching Capacity ของผลิตภัณฑ์ Core Switch รุ่นเรือธงของหัวเว่ยนั้น มีประสิทธิภาพสูงกว่าอุปกรณ์ประเภทเดียวกันในอุตสาหกรรมถึง 6 เท่า อีกทั้งยังสามารถขยายเพิ่มได้ตามต้องการ ตอบรับกับความต้องการขององค์กรในอนาคตอันใกล้ และปกป้องผลตอบแทนจากการลงทุนด้วย

นอกจากนี้ โซลูชันนี้ยังใช้ใยแก้วนำแสง หรือ Optical Fiber เป็นตัวกลางของเครือข่าย โดยไฟเบอร์ซึ่งทำจากซิลิคอนไดออกไซด์ จะมีอายุการใช้งานได้นานกว่าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าสายเคเบิลทองแดง

บริการอัจฉริยะเต็มรูปแบบ: การบริหารจัดการเครือข่ายที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพิ่มประสิทธิภาพงานด้าน O&M โดยใช้เจ้าหน้าที่เพียงหนึ่งคนในการดูแลเครือข่ายทั้งหมดขององค์กร โดย Horizon Digital Platform จะช่วยให้การอัปเกรดการใช้งานเครือข่ายอัจฉริยะทำได้จากจุดเดียว (Single-scenario Campus Intelligence) ไปยังเครือข่ายรวม (Overall Campus Intelligence) ที่ให้การออกแอปพลิเคชันใหม่ ๆ และปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการโดยรวมทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โซลูชัน HiCampus ใช้ eSight ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อดำเนินงานและบำรุงรักษาอุปกรณ์ดีไวซ์ต่าง ๆ ในเครือข่าย และปรับปรุงประสิทธิภาพ Wireless Radio Frequencies (RFs) ให้ดีขึ้นโดยอัตโนมัติตามการวิเคราะห์พฤติกรรมเครือข่ายในอดีตและโมเดลการเรียนรู้ ด้วยการใช้ eSight ลูกค้าจึงสามารถตรวจหาตำแหน่งความผิดพลาดได้มากกว่าร้อยละ 85 ภายใน 10 นาที ซึ่งช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพด้าน O&M ได้ถึงร้อยละ 80

เพื่อลดการหยุดชะงักของเครือข่าย ผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ย ยังได้ใช้เสาสัญญาณสำหรับตรวจสอบแยกอิสระ ที่สามารถตรวจจับสัญญาณข้อมูลสภาพแวดล้อมได้อย่างแม่นยำ และระบบ iMaster NCE เพื่อยกระดับงานด้าน O&M ให้ขับเคลื่อนด้วย AI และกลายเป็นระบบอัจฉริยะทั่วทั้งเครือข่าย ซึ่งจะทำให้ตรวจสอบคุณภาพเครือข่ายได้แบบเรียลไทม์และปรับปรุงการทำงานของเครือข่ายได้โดยอัตโนมัติ เพื่อลดอัตราการผิดพลาดของเครือข่าย ด้วยวิธีนี้ เจ้าหน้าที่เพียงคนเดียวจึงสามารถดูแลจัดการเครือข่ายทั้งหมดขององค์กรได้

นอกจากนี้ เพื่อรองรับรูปแบบการใช้งานอื่น ๆ ของเครือข่ายในอนาคต เทคโนโลยีอย่างเช่น การจดจำเสียง การจดจำใบหน้า การจดจำภาพ การขับขี่อัตโนมัติ ตลอดจน Big Data Mining และ Knowledge Graph จะถูกนำมารวมเข้ากับระบบการดำเนินการและการจัดการเครือข่ายองค์กร ซึ่งจำเป็นต้องมีการผนวกรวมข้อมูล (Data Convergence), การผนวกรวมระบบ IT-OT (IT-OT System Convergence), การผนวกรวมบริการ และการสร้างบริการใหม่ ๆ ตามต้องการ (On-demand Service Innovation Enablement) ด้วยเหตุนี้ Horizon Digital Platform สำหรับองค์กร จึงได้รวม 10 เทคโนโลยีใหม่เข้าด้วยกัน ซึ่งรวมทั้ง AI, Big Data, และ IoT พร้อมให้บริการนับร้อยรายการ ครอบคลุมถึงสินทรัพย์ทางธุรกิจและสินทรัพย์ที่เป็นข้อมูลซึ่งรวบรวมจากแนวทางการให้บริการลูกค้าที่ประสบความสำเร็จ สิ่งนี้จะช่วยปรับปรุงความเร็วในการสร้างสรรค์บริการและประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กรได้เป็นอย่างมาก Horizon Digital Platform ซึ่งเป็นโซลูชันที่ผ่านการทดสอบการใช้งานมาเป็นอย่างดี จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันได้ถึงร้อยละ 30 เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการได้อีกร้อยละ 30 และลดการใช้พลังงานโดยรวมได้ถึงร้อยละ 10

จากข้อมูลวิจัยตลาดโดยกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ของหัวเว่ย พบว่า กว่าร้อยละ 80 ของ GDP ทั่วโลก และกว่าร้อยละ 90 ของนวัตกรรมเกิดขึ้นบนเครือข่ายองค์กร ทำให้เครือข่ายกลายเป็นหลักสำคัญของโลกดิจิทัล โดยหัวเว่ยจะทำงานร่วมกับพันธมิตรในอีโคซิสเต็ม เพื่อช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด มีการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, O&M ที่มีประสิทธิภาพ และสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ยืดหยุ่นและคล่องตัวสูง ผ่านการใช้โซลูชัน HiCampus


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หัวเว่ยพร้อมผลิตอุปกรณ์ 5G แบบ Made in Europe

กรุงเทพฯ/11 กุมภาพันธ์ 2563 – หัวเว่ย เทคโนโลยี่ ประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า อุปกรณ์ 5G ที่ผลิตในยุโรปจะพร้อมจำหน่ายในอีกไม่ช้า เพราะบริษัทมีแผนตั้งฐานการผลิตใหม่หลายแห่งในยุโรป มร. อับราฮัม หลิว หัวหน้าตัวแทนของหัวเว่ยประจำสถาบันสหภาพยุโรป ได้เปิดเผยข้อมูลระหว่างงานเลี้ยงฉลองตรุษจีนในกรุง บรัสเซลลส์ ว่าบริษัทมีเมืองที่เลือกไว้แล้ว โดยโรงงานในอนาคตจะดำเนินการผลิตอุปกรณ์ 5G สำหรับยุโรป ภายใต้กฎระเบียบและข้อบังคับของสหภาพยุโรป

คำประกาศของหัวเว่ยเกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมาธิการยุโรปได้ประกาศมาตรการให้แต่ละประเทศในสหภาพยุโรปพิจารณาความเหมาะสมของบริษัทที่เข้ามาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยและเครือข่ายโทรคมนาคมได้เองตามที่เห็นสมควร ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าสหภาพยุโรปจะไม่มีการรวมตัวเพื่อกีดกันหัวเว่ย แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะพยายามกดดันให้อียูแบนหัวเว่ยมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาก็ตาม

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรได้ประกาศว่าจะอนุญาตให้หัวเว่ยเข้าร่วมพัฒนาเครือข่าย 5G ของอังกฤษ โดยในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ BBC นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้กล่าวว่า “ชาวอังกฤษควรมีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยีที่ดีที่สุด” เหล่านักวิเคราะห์ได้ให้ความเห็นไว้ว่า ปัจจุบันโอเปอเรเตอร์รายใหญ่ในสหราชอาณาจักรใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยในโครงสร้างพื้นฐาน 4G อยู่แล้ว ดังนั้นหากมีการแบนหัวเว่ย บริษัทต้องแทนที่อุปกรณ์ 4G ของหัวเว่ยที่ติดตั้งไว้อยู่แล้วด้วยอุปกรณ์ของบริษัทอื่น ซึ่งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล

มร. เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ย ได้แสดงความมั่นใจในตลาดยุโรป โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เขาได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าประเทศในยุโรปจะต้องเลือกหัวเว่ยแน่นอน “ผมคิดว่าการตัดสินใจของประเทศที่เป็นลูกค้าของเราจะทำให้เสียงวิจารณ์จากรัฐบาลสหรัฐฯ เงียบลงได้ แม้ว่าเสียงนั้นจะดังมากก็ตาม” ผู้ก่อตั้งหัวเว่ยกล่าวกับสำนักข่าว CNN เขาอธิบายว่าอุปกรณ์ 5G ของหัวเว่ยนั้นใช้เทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้ามาก เพราะใช้พลังงานต่ำ มีแบนด์วิดท์สูง และที่สำคัญคือมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบามาก “บ้านในยุโรปส่วนใหญ่ค่อนข้างเก่า ถ้าอุปกรณ์มีน้ำหนักมากเกินไป บ้านก็จะแบกรับน้ำหนักไม่ไหว” มร. เหริน กล่าว “อุปกรณ์ของเรามีฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยมและน้ำหนักเบามาก จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุดสำหรับทวีปยุโรป” เขากล่าวเสริม

ปัจจุบัน หัวเว่ยในยุโรปมีพนักงานกว่า 12,000 คน มีสำนักงานประจำภูมิภาค 2 แห่ง และศูนย์วิจัยและพัฒนา 23 แห่งใน 14 ประเทศทั่วยุโรป ในปีที่ผ่านมา หัวเว่ยได้ประกาศว่าบริษัทได้เซ็นสัญญา 5G เชิงพาณิชย์แล้วกว่า 50 ฉบับทั่วโลก โดย 28 ฉบับเป็นสัญญากับโอเปอเรเตอร์ในยุโรป


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หัวเว่ยเปิดตัว OceanStor Dorado V6 สตอเรจ All-Flash เร็วสุด อึดสุด ด้วยขุมพลัง AI

หัวเว่ย เปิดตัว OceanStor Dorado V6 ระบบ All-Flash Storage ในประเทศไทย สร้างมาตรฐานใหม่ให้บริการระดับองค์กรที่ต้องการประสิทธิภาพและความมั่นคงปลอดภัยสูงสุด พร้อมมอบประสบการณ์ที่เยี่ยมยอดแก่ผู้ใช้ ด้วยชิปอัจฉริยะที่หัวเว่ยพัฒนาขึ้นมา อัลกอริทึมอัจฉริยะ FlashLink® และสถาปัตยกรรม NVMe แบบครบวงจร ทำให้ OceanStor Dorado V6 รองรับสูงถึง 20 ล้าน IOPS[1] ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่ยอดเยี่ยมที่สุด หรือเร็วกว่าคู่แข่งถึง 2 เท่า แพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์และสถาปัตยกรรม SmartMatrix ในดีไซน์แบบเชื่อมต่อกันหมดโดยสมบูรณ์ รับประกันการทำงานตลอดเวลาแบบไม่มีสะดุด การใช้ชิป AI หลาย ๆ ตัวเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมที่ระบบสตอเรจจะมีความฉลาดและอัจฉริยะยิ่งขึ้นเมื่อใช้งานไปเรื่อย ๆ

ประสิทธิภาพสูงเป็นอันดับ 1 ด้วยสถาปัตยกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยชิป Kunpeng 920

ด้วยชิปที่ชาญฉลาด สถาปัตยกรรม Non-Volatile Memory Express (NVMe) แบบครบวงจร อัลกอริทึม FlashLink® และความสามารถในการรองรับการทำ Scale Out ได้สูงถึง 32 คอนโทรลเลอร์รวมกัน OceanStor Dorado V6 เป็นระบบ All-Flash Storage ที่ให้ประสิทธิภาพการอ่านและเขียนไฟล์ต่อ 1 วินาที (IOPS) ระดับ 20 ล้าน IOPS นับว่าสูงที่สุดในตลาด และมี Latency ที่ต่ำเพียงระดับ 0.1 มิลลิวินาที ดีกว่าคู่แข่งถึง 2 เท่า สตอเรจ OceanStor Dorado V6 ถือเป็นพันธมิตรที่ลงตัวสำหรับองค์กรที่ต้องการสตอเรจที่จุข้อมูลได้มหาศาลสำหรับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจผู้ให้บริการเครือข่าย การเงิน ภาครัฐ และอุตสาหกรรมการผลิต

ระบบ All-Flash Storage ของหัวเว่ยนี้ใช้ชิปอัจฉริยะแบบ Built-in ถึง 5 ตัว ช่วยร่นระยะเวลาการให้บริการแบบครบวงจร ได้แก่

  • ชิป Multi-Protocol Interface อัจฉริยะ โฮสต์การทำ Protocol Parsing ซึ่งแต่เดิมใช้ CPU ทั่วไปเป็นตัวจัดการ ทำให้ประสิทธิภาพการเข้าถึงส่วน Front-End เร็วขึ้น 20%
  • ชิป Processor อัจฉริยะ สร้างมาตรฐานใหม่ให้ศักยภาพการทำงาน ด้วยพลังการประมวลผลที่ดีกว่ามาตรฐานเฉลี่ยในอุตสาหกรรมถึง 25%
  • ชิป AI อัจฉริยะ วิเคราะห์ข้อมูลการใช้งาน และเรียนรู้ I/O ต่าง ๆ ในขอบเขตของแมชชีน เลิร์นนิ่ง ช่วยเพิ่มอัตรา Read Cache Hit ให้ดีขึ้นราว 50%
  • ชิป SSD Controller อัจฉริยะ โฮสต์อัลกอริทึม Hardware Flash Translation Layer (FTL) ช่วยให้การเข้าถึงดาต้าภายใน SSD ต่าง ๆ เร็วขึ้น ทำให้ค่า Read Latency น้อยกว่าเกณฑ์โดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรม 10%
  • ชิป BMC Management อัจฉริยะ มี Storage Fault Library แบบ Built-in ทำให้หาตำแหน่งที่ผิดพลาดได้อย่างรวดเร็ว และทำการตรวจสอบคอมโพเนนต์ และลดระยะเวลาในการกู้คืนข้อผิดพลาดจาก 2 ชั่วโมงเหลือเพียง 10 นาที

การออกแบบระบบ Always-On ที่มีความน่าเชื่อถือด้วย SmartMatrix แบบ 4 เลเยอร์ ทำให้การทำงานลื่นไหลไม่มีสะดุด

สำหรับลูกค้าที่ต้องการระบบไอทีที่แข็งแกร่ง รองรับการผนวกรวมบริการประเภทต่าง ๆ และทำงานได้เสถียรตลอดเวลา ระบบสตอเรจ All-Flash OceanStor Dorado V6 ของหัวเว่ย คือตัวเลือกที่ลงตัวที่สุด มีความน่าเชื่อถือ ตั้งแต่ชิ้นส่วนอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ โซลูชั่น ไปจนถึงเลเยอร์ระบบคลาวด์ รองรับสภาพแวดล้อมแบบผนวกรวมดาต้า ด้วยอัตราการให้บริการสูงถึง 99.9999%

เสริมพลังด้วยอัลกอริทึมอัจฉริยะและชิปเครือข่าย Convergent ที่พัฒนาขึ้นเอง สถาปัตยกรรม SmartMatrix ทำให้ระบบทำงานต่อได้แม้คอนโทรลเลอร์ 7 จาก 8 ตัวในเครื่องต่าง ๆ จะหยุดทำงาน โดยไม่ทำให้บริการหยุดชะงัก ซึ่งเป็นความสามารถที่ไม่มีเวนเดอร์รายใดทำได้มาก่อน

  • ความน่าเชื่อถือสูง: SmartMatrix ที่ออกแบบให้เชื่อมต่อถึงกันทั้ง Front-end และ Back-end ทำให้ระบบทำงานต่อได้แม้คอนโทรลเลอร์ 7 จาก 8 ตัวจะหยุดทำงาน
  • ทำงานได้ตลอดเวลา: ในกรณีที่คอนโทรลเลอร์หยุดทำงาน ลิงก์จะยังทำงานต่อเนื่องโดยจะมีช่วง Switchover ที่ใช้เวลาเพียงหนึ่งวินาทีเท่านั้น โดย LUNs ยังสามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์แอปพลิเคชันได้ผ่านคอนโทรลเลอร์ตัวใดก็ได้ แทนการมี Ownership คอนโทรลเลอร์หลายตัวจะแชร์ภาระงานด้วยการรันอัลกอริทึมที่สร้างสมดุลให้งานของคอนโทรลเลอร์แต่ละตัว ถ้าคอนโทรลเลอร์ตัวหนึ่งมีปัญหา คอนโทรลเลอร์ตัวอื่น ๆ จะทำงานแทนได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีการหยุดชะงักหรือการลดทอนประสิทธิภาพ
  • ความสามารถในการให้บริการ: การอัปเกรดออนไลน์จะใช้เวลาเพียงหนึ่งวินาทีโดยไม่ส่งผลกระทบต่อโฮสต์เซอร์วิส ใช้โครงสร้างคงที่แบบ 3D ชุดลดการสั่นสะเทือนและการซึมซับ และสกรูกันกระแทกด้วยวัสดุที่ยืดหยุ่น รับประกันการให้บริการได้ตลอดเวลาในช่วงเวลาที่มีการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เป็นสตอเรจตัวแรกของอุตสาหกรรมที่ผ่านการทดสอบการทนแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวระดับ 9 แมกนิจูด จากการทดสอบโดย China Telecommunication Technology Labs (CTTL)

O&M ทรงประสิทธิภาพด้วยการผสมผสาน Edge-Cloud AI

ด้วยชิปและอัลกอริทึม AI ระบบสตอเรจ All-flash OceanStor Dorado V6 มีระบบดำเนินการและซ่อมบำรุง (O&M) ที่ชาญฉลาดตลอดอายุการใช้งาน โมเดลธุรกิจใหม่ ๆ จึงไม่ต้องหยุดให้บริการหากต้องมีการโอนย้ายดาต้า ทำให้ประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้เป็นไปอย่างราบรื่น

  • การผสมผสาน Edge-Cloud: สตอเรจตัวนี้ใช้คลาวด์ AI อเนกประสงค์, Edge AI ที่ปรับแต่งได้ตามต้องการ และชิป Ascend 310 ในระบบ เพื่อการเทรนเครื่องเพิ่มเติม และการเรียนรู้ลักษณะของบริการในระดับ Deep Learning ช่วยปรับแต่งการใช้งานให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น
  • ทำงานด้วย AI ตลอดอายุการใช้งาน: การจัดการเชิงอัจฉริยะทำให้คาดการณ์ประสิทธิภาพและแนวโน้มการทำงานได้ล่วงหน้า 60 วัน พร้อมคาดการณ์ข้อผิดพลาดได้ 14 วันล่วงหน้า และนำเสนอวิธีแก้ไขข้อผิดพลาดได้อย่างทันท่วงทีและแก้ปัญหาได้ถึง 93%
  • โปรแกรมแบบ Flash: สถาปัตยกรรมที่ยืดหยุ่นอัจฉริยะทำให้การอัปเกรดชิ้นส่วนทำได้โดยไม่ต้องย้ายข้อมูลเป็นเวลานานถึง 10 ปี ผู้ใช้จึงใช้ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์รุ่นล่าสุดได้พร้อมๆ ไปกับการใช้ประโยชน์จากบริการที่ใช้งานอยู่ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“ซีอีโอหัวเว่ย: เราพร้อมต้านทานการโจมตีระลอกใหม่จากสหรัฐฯ ในปีนี้”

ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารของหัวเว่ย มร. เหริน เจิ้งเฟย แสดงความมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดจากการกีดกันเพิ่มเติ่มจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในอนาคต “ด้วยประสบการณ์และบทเรียนที่เราได้รับจากปีที่แล้ว เรามั่นใจว่าจะต้านทานการโจมตีของอเมริกาในปีนี้ได้อีกครั้ง” ซีอีโอของหัวเว่ยกล่าวกับนักธุรกิจและนักการเมืองชั้นนำจากทั่วโลก ในการประชุม เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

มร. เหริน ซึ่งได้ร่วมพูดคุยในเวทีเสวนาเรื่อง “A Future Shaped by a Technology Arms Race” ได้ประกาศว่าการใส่ชื่อหัวเว่ยไว้ในบัญชีดำทางการค้าของสหรัฐฯ (Entity List) ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากนักต่อธรุกิจของบริษัท และต้องขอบคุณการแบนของสหรัฐฯ ที่ทำให้บริษัทได้สร้างทีมที่เก่งและเข้มแข็งขึ้นกว่าเคย  พร้อมคาดการณ์ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ อาจมองหาช่องทางใหม่ ๆ เพื่อขัดขวางการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี 5G ของหัวเว่ย แต่บริษัทได้เตรียมการรับมือแผนการโจมตีทุกรูปแบบไว้เป็นอย่างดี  “ปีนี้ สหรัฐฯ อาจจะยกระดับการโจมตีหัวเว่ยขึ้นไปอีก แต่ผมมองว่าเราคงไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าใดนัก” มร. เหริน บอกกับผู้เข้าร่วมงานในเมืองดาวอส

มร. เหรินเผยว่าตนรู้มาตั้งแต่แรกว่าการก้าวเข้ามาในอุตสาหกรรมที่สหรัฐฯ ครองแชมป์อยู่เป็นเวลานาน เป็นเรื่องที่ไม่ปลอดภัยนัก เมื่อ 20 ปีก่อน หัวเว่ยจึงได้ทุ่มเงินทั้งหมดที่เหลืออยู่ของบริษัท ณ ตอนนั้น ไปกับการวิจัยและพัฒนา เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีแผนสำรองมารองรับอยู่เสมอหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น  “เราใช้เงินไปหลายแสนล้านหยวนเพื่อการเตรียมตัวและตั้งรับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และสิ่งที่เราได้กลับมาจากความทุ่มเท คือการรอดพ้นจากการโจมตีครั้งแรกของสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว” ผู้ก่อตั้งวัย 75 ปีกล่าว

ตัวเลขการเติบโตขึ้นถึง 18 % ของหัวเว่ยในปี 2562 ที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นว่าบริษัทไม่ได้แค่อยู่รอด หากแต่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องภายใต้สถานการณ์อันยากลำบาก  ปัจจุบันหัวเว่ยเป็นผู้นำด้านธุรกิจ 5G ของโลก และเป็นเพียงบริษัทเดียวในโลกที่ผลิตทั้งโทรศัพท์มือถือ สถานีฐาน ไฟเบอร์ออฟติก ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของCore Network สำหรับ 5G และยังเป็นบริษัทที่ถือครองสิทธิบัตรของเทคโนโลยี 5G มากเป็นอันดับที่ 1
ถึงร้อยละ 20 ของจำนวนสิทธิบัตร 5G ทั้งหมด

ซีอีโอของหัวเว่ยยังได้เปิดเผยว่า แม้ว่าหัวเว่ยจะถูกแบน บริษัทยังเป็นแฟนตัวยงของแนวทางการบริหารธุรกิจของอเมริกา สาเหตุที่หัวเว่ยประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ก็เพราะบริษัทมักเรียนรู้การบริหารจัดการมาจากบริษัทอเมริกัน “บริษัทอเมริกันมีส่วนช่วยให้เราประสบความสำเร็จ จริง ๆ แล้วสหรัฐฯ ควรจะภูมิใจ” มร. เหรินกล่าว

เขายังได้ย้ำว่าการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ดีและไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว  “สหรัฐฯ ควรจะกังวลเรื่องเราและการเติบโตของเราในระดับโลกให้น้อยลง” มร. เหริน กล่าว เพราะในที่สุดแล้ว เขาเชื่อว่าประชากรหลายพันล้านคนทั่วโลกจะได้รับประโยชน์จากสังคมที่เปี่ยมไปด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี


Exit mobile version