Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

รายงาน Ericsson ConsumerLab 5G สร้างความแตกต่างของเครือข่ายและโอกาสทางธุรกิจให้กับค่ายมือถือ

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) เผยการวิจัยในรายงาน Ericsson ConsumerLab ฉบับล่าสุด ระบุ 1 ใน 5 ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G มองหาประสบการณ์บริการ 5G ที่แตกต่าง เช่น คุณภาพของการบริการ สำหรับการใช้แอปพลิเคชันยอดนิยม โดยผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินแก่ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในอัตราพิเศษสูงสุดถึง 11% เพื่อเพลิดเพลินไปกับการเชื่อมต่อที่มีมูลค่าเพิ่ม

รายงาน 5G Value: Turning Performance into Value ยังเน้นด้านความพึงพอใจและความภักดีของผู้ใช้ โดยให้ความสำคัญกับศักยภาพของเคสทางธุรกิจของผู้ให้บริการ 5G เนื่องจากยอดผู้สมัครใช้บริการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจเพิ่มขึ้นกับการใช้งานเครือข่าย 5G

นอกจากนี้ ในรายงานยังเผยประสบการณ์การเชื่อมต่อ 5G ที่ไม่น่าพึงพอใจในสถานที่หลัก ๆ อาทิ สนามกีฬา สถานบันเทิงและสนามบิน ทำให้ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะย้ายค่ายมือถือมากขึ้นถึงสามเท่า

การวิจัยโดยรอบด้านครั้งนี้สะท้อนมุมมองของผู้บริโภคประมาณ 1.5 พันล้านรายทั่วโลก รวมถึงลูกค้า 5G ประมาณ 650 ล้านราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยของอีริคสันเพื่อติดตามวิวัฒนาการของตลาดผู้บริโภค 5G ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ในประเทศไทยอีริคสันยังได้วิจัยตลาดแบบเฉพาะเจาะจง โดยการสอบถามกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนผู้บริโภคราว 23 ล้านคนในประเทศ

พบว่าปัจจัยขับเคลื่อนความพึงพอใจของเครือข่าย 5G กำลังพัฒนาไปสู่ประสบการณ์การใช้งานแอปพลิเคชัน โดยจำนวนผู้ใช้ที่พึงพอใจอย่างมากกับประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ในภาพรวมของประเทศไทยเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

5G กำลังเปลี่ยนโฉมการสตรีมวิดีโอและการใช้งาน AR ผู้ใช้ชาวไทยที่ใช้แพ็คเกจบริการประเภทนี้จะใช้เวลาเกือบ 60% ของเวลาสตรีมมิ่งวิดีโอทั้งหมดไปกับการเพิ่มความน่าสนใจให้กับเนื้อหาวิดีโอหรือ AR ขณะที่ผู้ใช้ที่ไม่ได้ใช้แพ็คเกจบริการประเภทนี้จะใช้เวลาเพียง 40% ไปกับคอนเทนต์สมจริง (Immersive Content)

ประสิทธิภาพ 5G ในจุดสำคัญ ๆ มีผลต่อความภักดีของผู้บริโภค นับตั้งแต่เปิดตัว 5G ในประเทศไทย มีผู้ใช้บริการมือถือประมาณ 19% ย้ายค่ายมือถือ และในบรรดาผู้ที่ย้ายเครือข่าย เกือบ 60% เกิดจากเหตุผลด้านประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ซึ่งหากผู้ใช้มีปัญหาการเชื่อมต่อในพื้นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไปก็มีแนวโน้มที่ย้ายค่ายมากขึ้น 1.3 เท่า

ผู้บริโภค 5G ในประเทศไทยจะจ่ายค่าบริการพิเศษสำหรับการเชื่อมต่อที่มีความต่างและโดดเด่น โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟนยินดีจ่ายค่าบริการเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 13% สำหรับข้อเสนอที่รวมการใช้บริการแอปฯ ชั้นนำ

ญาสมีต ซิงห์ เซธิ หัวหน้าฝ่าย Ericsson ConsumerLab กล่าวว่าในการสำรวจครั้งนี้ มีผู้บริโภค 5G ราว 37% เชื่อว่าการเพิ่มปริมาณการใช้ดาต้าในแพ็คเกจ 5G ของพวกเขาสมเหตุสมผลกับอัตราค่าบริการ

พรีเมียมของผู้ให้บริการ

“ที่น่าสนใจคือประมาณหนึ่งในห้าของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G แสดงความพึงพอใจชัดเจนต่อคุณภาพการเชื่อมต่อบริการที่มีความแตกต่าง โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้มองหาประสิทธิภาพเครือข่ายที่ยกระดับและมีความเสถียรแทนการเลือกใช้ 5G แบบทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการประสิทธิภาพเครือข่ายสูง ๆ และเจาะจงสถานที่สำคัญ ๆ ผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าพวกเขายินดีจ่ายค่าบริการพิเศษเพิ่มขึ้นอีก 11% หากผู้ให้บริการมีบริการเหล่านี้เสนอให้”

วิธีเก็บข้อมูล

อีริคสันสัมภาษณ์ผู้บริโภคมากกว่า 37,000 คน ใน 28 ประเทศ ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน พ.ศ. 2566 โดยขอบเขตการวิจัยสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของผู้บริโภคประมาณ 1.5 พันล้านคน รวมถึงผู้ใช้ 5G จำนวน 650 ล้านราย

อ่านรายงานฉบับเต็ม: 5G Value: Turning performance into loyalty

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง: Ericsson ConsumerLab: the voice of the consumer Ericsson ConsumerLab: 5G Reports Ericsson Private Networks


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีริคสันนำนวัตกรรม 5G ล่าสุด มาจัดแสดงที่งาน Imagine Live Thailand 2023

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) เปิดงาน Imagine Live Thailand 2023 นำยูสเคสและนวัตกรรมเทคโนโลยี 5G ขั้นสูง ที่เปิดตัวในงาน Mobile World Congress ณ เมืองบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ มาจัดแสดงในประเทศไทย โดยมีเทคโนโลยีและโซลูชันไฮไลท์ล่าสุด ประกอบด้วย โซลูชันสื่อสารวิทยุประหยัดพลังงาน (Energy Efficient Radio Solutions), การสื่อสารผ่านโฮโลแกรม (Holographic Communications), เทคโนโลยี Digital Twin และระบบเครือข่ายอัตโนมัติ (Network Automation) รวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ อีกมากมายที่นำมาจัดแสดงไว้ภายในงาน

หนึ่งในไฮไลท์ที่นำมาจัดแสดง คือ ผลิตภัณฑ์ Radio 4466 ที่สามารถรองรับย่านความถี่ 1800MHz, 2100MHz และ 2300MHz ที่มีในประเทศไทย โดยผลิตภัณฑ์นี้เป็น Triple-Band Radio 4466 รุ่นล่าสุดของอีริคสัน ที่มีความสามารถเสริมศักยภาพการให้บริการ 4G และ 5G ข้ามย่านความถี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยผลิตภัณฑ์เดียวแก่ผู้ให้บริการไทย และยังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน รวมถึงจำนวนสถานีฐาน ซึ่ง Radio 4466 ยังอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Ericsson Radio Access Network ที่สามารถจัดการความท้าทายในการติดตั้งสถานีฐานพร้อมช่วยประหยัดพลังงานเป็นอย่างมาก

ในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในประเทศไทย อีริคสันมุ่งนำเสนอความเชี่ยวชาญระดับโลกและความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ผู้นำ 5G ชั้นแนวหน้า มร.อิกอร์ มอเรล ประธาน บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “การสร้างเครือข่าย 5G ประสิทธิภาพสูงและเน้นการประหยัดพลังงานเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์สำคัญของเราที่ต้องการสร้างเครือข่ายในอนาคตที่มีความยืดหยุ่นและยั่งยืน ด้วยพอร์ตโฟลิโอการใช้ 5G​​ที่เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานของอีริคสัน เรากำลังจัดการกับหนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของเรา นั่นคือการลดการใช้พลังงานของเครือข่ายและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขณะที่การใช้งาน 5G มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เป้าหมายของเราคือการไปสู่อนาคตคาร์บอนต่ำพร้อมกับการเร่งประสบการณ์ 5G” อีริคสันลงทุนกับการวิจัยและพัฒนาปีละประมาณ 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 18% ของยอดขาย

ประเทศไทยคือผู้นำคลื่น 5G อย่างชัดเจน จากการคาดการณ์ของอีริคสันระบุ ช่วงสิ้นปี 2565 พบว่า 5G ครอบคลุมมากกว่า 85% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่ปริมาณการใช้ข้อมูลต่อการสมัครสมาชิกในประเทศไทยคาดว่าภายในปี 2568 จะเติบโตเพิ่มเป็นเกือบ 80 กิกะไบต์ต่อเดือน เพิ่มจาก 32.7 กิกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2565 และคาดว่าในปี 2571 จะเพิ่มขึ้น 3 เท่า โดยคาดว่า 5G จะสามารถรองรับความต้องการประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของเครือข่ายได้

“ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความไดนามิกสูง และมีผู้บริโภคที่เข้าใจเทคโนโลยีสารสนเทศและใช้งานมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ด้วยอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม 4.0 ในประเทศตามเป้าหมาย Digital Thailand ของรัฐบาล ทำให้การเชื่อมต่อต้องมีความมั่นใจได้ ปลอดภัยและแข็งแกร่ง โดยความซับซ้อนที่เครือข่ายจำเป็นต้องจัดการทำให้เกิดความต้องการใหม่ ๆ ในการดำเนินงานของเครือข่าย การดึงศักยภาพจากเทคโนโลยี อย่างเช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) มาปรับใช้จะช่วยผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในประเทศไทยสามารถจัดการความซับซ้อนของเครือข่ายที่กำลังเติบโตได้ ตามที่เราเห็นการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ ๆ บนเครือข่าย 5G” มร.อิกอร์ กล่าวเพิ่มเติม

แนวทาง Zero-Touch Operation กำลังกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยของอนาคตการดำเนินงานบนเครือข่ายที่ต้องมีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ ซึ่ง Zero-Touch ช่วยผู้ให้บริการสามารถจัดการเครือข่ายโดยใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน คาดการณ์ล่วงหน้าและดำเนินการแบบเชิงรุกได้มากขึ้น โดยระบบเครือข่ายอัตโนมัติยังช่วยลดกิจกรรมที่ต้องดำเนินการด้วยตนเองลง และทำให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือมีความคล่องตัวในการทำธุรกิจมากขึ้น

ในฐานะผู้นำด้านไอซีทีระดับโลก อีริคสันกำลังใช้ศักยภาพจากบริการบรอดแบนด์มือถือขั้นสูง เทคโนโลยี Fixed Wireless Access (FWA) และเทคโนโลยี 5G มารองรับการเติบโตโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย “เรากำลังใช้ศักยภาพทั้งในด้านความเชี่ยวชาญระดับโลกและความเป็นผู้นำเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทย ก้าวไปเป็นผู้นำแถวหน้า 5G ผ่านความร่วมมือในภาคอุตสาหกรรมและพันธมิตรของเราในประเทศไทย และเรายังมุ่งมั่นเร่งสร้างนวัตกรรมและระบบนิเวศ 5G ที่แข็งแกร่งในประเทศไทย” มร.อิกอร์ กล่าวเพิ่ม

อีริคสันเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ระดับโลก ปัจจุบัน บริษัทฯ เปิดให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้วจำนวน 152 เครือข่าย ใน 65 ประเทศ บริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำอันดับ 1 ในรายงาน Frost Radar™ 5G Network Infrastructure Market 2023 เป็นปีที่สามติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ 5G Radio Access Networks (RAN), Transport networks, และ Core Networks


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

รายงาน Ericsson Mobility ฉบับล่าสุด เผย 5G ทั่วโลกยังเติบโตต่อเนื่อง

ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารทั่วโลกยังเดินหน้าลงทุนกับ 5G อย่างต่อเนื่อง ตามรายงาน Mobility Report ของ Ericsson (NASDAQ: ERIC) ฉบับเดือนมิถุนายน 2566 แม้จะมีความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์และการชะลอตัวของเศรษฐกิจมหภาคในบางตลาด

ปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตต่อสมาร์ทโฟนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งในภูมิภาคนี้ และคาดว่าจะสูงถึง 54 กิ๊กกะไบต์ต่อเดือนในปี 2571 หรือเติบโต 24% ต่อปี โดยยอดการใช้ดาต้าเน็ตมือถือทั้งหมดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 13 เอกซะไบต์ต่อเดือนในปี 2565 เป็น 55 เอกซะไบต์ต่อเดือนในปี 2571 โดยเติบโต 27% ต่อปี

ภายในสิ้นปี 2571 คาดว่ายอดผู้ใช้งาน 5G จะเพิ่มเป็น 430 ล้านราย คิดเป็น 34% ของยอดผู้ใช้งานบริการมือถือทั้งหมดของภูมิภาคฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน ในแง่ของความครอบคลุม 5G ภายในสิ้นปี 2565 พบว่า:

  • 5G พร้อมให้บริการแก่ประชากรประมาณ 50% ในมาเลเซีย และ 66% ในฟิลิปปินส์
  • กว่า 80% ของประชากรในออสเตรเลียและไทย สามารถเข้าถึงบริการ 5G
  • เมื่อกลางปี 2565 ที่ผ่านมา 5G ในสิงคโปร์ครอบคลุมมากกว่า 95%

จำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนในภูมิภาคนี้คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี และภายในปี 2571 จะเพิ่มไปถึง 1.12 พันล้านราย จาก 930 ล้านราย ณ สิ้นปี 2565 ขณะที่ผู้ใช้บริการ 4G คาดว่าจะยังมีการเติบโตที่ 770 ล้านราย ภายในปี 2571 เพิ่มจาก 640 ล้านราย ณ สิ้นปี 2565 หรือเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปีเช่นกัน

อินเดียเป็นตลาด 5G สำคัญที่กำลังปรับใช้งานเครือข่ายขนาดใหญ่มากมายภายใต้กรอบนโยบาย Digital India หลังเปิดให้บริการ 5G ไปเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2565 เมื่อสิ้นปี 2565 อินเดียมียอดผู้ใช้บริการ 5G ประมาณ 10 ล้านราย และคาดว่าภายในสิ้นปี 2571 ยอดการใช้บริการ 5G จะเพิ่มเป็น 57% ของยอดผู้ใช้บริการมือถือทั้งหมดในประเทศ ส่งผลให้ภูมิภาคนี้เป็นภูมิภาค 5G ที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในโลก

รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับนี้ยังเผยให้เห็นว่าผู้ใช้บริการ 5G ในทวีปอเมริกาเหนือนั้นมีการเติบโตแข็งแกร่งกว่าการคาดการณ์ครั้งก่อน โดยเมื่อสิ้นปี 2565 ที่ผ่านมา ภูมิภาคนี้มีสัดส่วนผู้ใช้บริการ 5G สูงสุดในโลกที่ 41%

ผู้ใช้บริการ 5G เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลกและคาดว่าจะเพิ่มไปถึง 1.5 พันล้านราย ภายในสิ้นปี 2566 ส่วนปริมาณการใช้ดาต้าผ่านเครือข่ายมือถือทั่วโลกก็เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน คาดว่าภายในสิ้นปี 2566 ยอดการใช้ดาต้าบนมือถือต่อสมาร์ทโฟนทั่วโลกจะเกินกว่า 20 กิ๊กกะไบต์ต่อเดือน

รายงานยังแสดงการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องในตลาดที่เป็นผู้นำ 5G นายเฟรดริก เจดลิง รองประธานผู้บริหารและหัวหน้าฝ่ายเครือข่ายของอีริคสัน กล่าวว่า “ยอดผู้ใช้ 5G ทั่วโลกมีเกินหนึ่งพันล้านบัญชีไปแล้ว ทำให้ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในตลาด 5G ชั้นนำมีรายได้เติบโตในเชิงบวก เราเห็นความเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งระหว่างการสมัครบริการ 5G ที่เพิ่มขึ้นและรายได้จากการให้บริการ โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมาจากการเปิดตัวบริการ 5G ใน 20 ตลาดชั้นนำ ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 7% แนวโน้มนี้แสดงให้เห็นถึงมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของ 5G ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ใช้และผู้ให้บริการ”

นายอิกอร์ มอเรล ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการด้านการเชื่อมต่อที่ได้รับความไว้วางใจและดำเนินกิจการมาอย่างยาวนานในประเทศไทย อีริคสันจะเดินหน้าทำงานร่วมกับผู้ให้บริการอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความสำเร็จในการมอบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพครอบคลุมการใช้งาน มีความยืดหยุ่น รองรับการเติบโตธุรกิจ ใช้งานง่ายและมีความปลอดภัยเป็นหลักสำคัญ นอกจากนี้เรายังทำงานใกล้ชิดกับผู้ให้บริการด้านการสื่อสารหลัก ๆ ในประเทศ ภาครัฐบาล ตลอดจนภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาในการพัฒนาระบบนิเวศ 5G ในประเทศเพื่อบรรลุตามวิสัยทัศน์ Thailand 4.0”

ผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) ประมาณ 240 รายทั่วโลกเปิดตัวบริการ 5G เชิงพาณิชย์และประมาณ 35 รายปรับใช้หรือเปิดตัว 5G แบบสแตนด์อโลน (SA) โดยบริการ 5G สำหรับผู้บริโภคที่เห็นได้มากที่สุดได้แก่ Enhanced Mobile Broadband (eMBB), Fixed Wireless Access (FWA), เกม และบริการอื่น ๆ ที่ใช้กับอุปกรณ์ AR/VR เช่น การฝึกอบรมและการศึกษา

รายงานยังเผยให้เห็นว่า 5G ยังคงขับเคลื่อนนวัตกรรมในแพ็คเกจบริการมือถือ  ผู้ให้บริการนำเสนอบริการบันเดิลเป็นชุดความบันเทิงยอดนิยมต่าง ๆ มากขึ้น อาทิ โทรทัศน์ การสตรีมเพลง หรือแพลตฟอร์มเกมบนคลาวด์ ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ให้บริการ 5G ประมาณ 58% นำเสนอบริการเหล่านี้ในหลากหลายรูปแบบ

ผู้ให้บริการมากกว่า 100 ราย หรือประมาณ 40% ของผู้ให้บริการ Fixed Wireless Access (FWA) ให้บริการ FWA บน 5G อยู่ในเวลานี้

บริการ FWA กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่งในแง่:

  • จำนวนผู้ให้บริการมือถือที่ให้บริการ FWA
  • สัดส่วนของผู้ให้บริการ FWA บนเครือข่าย 5G
  • สัดส่วนของผู้ให้บริการ CSP ที่มีโครงสร้างค่าบริการตามความเร็ว
  • ปริมาณการใช้ดาต้าที่ให้บริการ เนื่องจากมียอดการเชื่อมต่อและการใช้ดาต้าเน็ตต่อการเชื่อมต่อเพิ่มขึ้น

ภายในปี 2571 คาดว่าการเชื่อมต่อ FWA ทั้งหมดจะเป็น 5G เกือบ 80%

รายงาน Ericsson Mobility ประจำเดือนมิถุนายน 2566 ยังรวมบทความเชิงลึกอีก 4 บทความ ดังนี้:

  • Exploring how traffic patterns drive network evolution
  • Exploring differentiated service with 5G networks
  • AR uptake enabled by mobile networks
  • Mobile quality of experience: Network readiness for new services

อ่านรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับเต็มได้ที่นี่


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีริคสัน ร่วมมือกับ อินเทล ขยายศักยภาพการใช้ 5G ของประเทศไทย

กรุงเทพฯ 1 มิถุนายน 2566 – อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) และอินเทลจะร่วมมือกันพัฒนายูสเคส 5G ที่สามารถเร่งการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digitalization) ขององค์กรธุรกิจพร้อมสนับสนุนวิสัยทัศน์ Thailand 4.0

อินเทลและอีริคสันจะผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องพร้อมนำเสนอกรณีการใช้งาน 5G ในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อเร่งการนำ 5G ไปใช้งานและขยายการดำเนินธุรกิจของผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) ไปสู่รูปแบบ B2B ตามที่ระบุไว้ในขอบเขตของการทำงานร่วมกัน ทั้งสององค์กรจะร่วมกันพัฒนากรณีการใช้งาน 5G ระดับองค์กรในกลุ่มธุรกิจเฉพาะ อาทิ กลุ่มการผลิต กลุ่มการขนส่งและลอจิสติกส์ นอกจากนี้ยังร่วมกันนำเสนอและจัดแสดงศักยภาพด้านการเชื่อมต่อ 5G สำหรับการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น

ทั้งอีริคสันและอินเทลต่างมุ่งมั่นนำเทคโนโลยี 5G มาเพิ่มขีดความสามารถให้แก่อุตสาหกรรมของประเทศไทย ให้เดินหน้าไปสู่วิสัยทัศน์ Thailand Industry 4.0

อิกอร์ มอเรล ประธานบริหาร บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะที่เราเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และได้รับความไว้วางใจมายาวนานในประเทศไทย อีริคสันจะทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรหลัก ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศ 5ที่หลากหลายในประเทศไทยเพื่อเร่งสร้างนวัตกรรม โดยเราจะใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ 5ระดับโลก ผนวกกับความร่วมมือกับอินเทล มอบประโยชน์ให้แก่ผู้ให้บริการในไทย ด้วยประสิทธิภาพเครือข่ายที่ยืดหยุ่น มีความสามารถในการปรับขนาด ใช้งานง่าย และมีความปลอดภัยเป็นหลักสำคัญ”

โธมัส เซนน์เฮาเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) ธุรกิจการสื่อสาร ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ญี่ปุ่น อินเทล คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “เนื่องด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ด้านสังคมและเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ทำให้ 5G กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานสำคัญสำหรับขับเคลื่อนนวัตกรรมในทุกกลุ่มธุรกิจ และจากความร่วมมือกับอีริคสัน เราจะร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5G ของประเทศไทยพร้อมกับบริการ Edge Innovation ต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีจากอีริคสันและอินเทล ช่วยให้องค์กรท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงและเร่งกระบวนการทางธุรกิจผ่านดิจิทัลโซลูชัน เราพร้อมสนับสนุนผู้ให้บริการในประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการประหยัดพลังงานและความยั่งยืนมากขึ้น ตามที่อุตสาหกรรมการสื่อสารต่างให้การยอมรับโซลูชัน Virtualized RAN  และ Distributed Architectures

ประเทศไทยคือตลาด 5G แถวหน้าของภูมิภาค โดยอีริคสันตั้งเป้าร่วมผลักดันประเทศให้เดินหน้าแข่งขันบนเวทีโลกอย่างต่อเนื่อง ทั้งอีริคสันและอินเทลจะนำวิสัยทัศน์ พร้อมเทคโนโลยีและโซลูชันล้ำสมัยมาผสานเข้ากับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับโลกเดินหน้าสร้างเครือข่ายที่มีความอัจฉริยะ เปิดกว้าง และน่าเชื่อถือ เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายไปสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล

อีริคสันเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ระดับโลก ปัจจุบัน บริษัทฯ เปิดให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้วจำนวน 147 เครือข่าย ใน 63 ประเทศ พร้อมยังเปิดให้บริการเครือข่าย 5G Standalone 40 เครือข่ายทั่วโลก


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

รายงาน Frost Radar™ ฉบับล่าสุด เผยอีริคสันยังครองอันดับ 1 ผู้นำตลาดโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G ทั่วโลก

อีริคสันได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำอันดับ 1 ในรายงาน Frost Radar™ 5G Network Infrastructure Market 2023 เป็นปีที่สามติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการลงทุนและพัฒนาความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

นอกเหนือจากการครองตำแหน่งอันดับหนึ่งแล้ว อีริคสันยังได้รับการยอมรับว่ามีบทบาทสำคัญในด้านการพัฒนาโซลูชั่น 5G RAN ที่ลดการใช้พลังงานและสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในด้านต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

การรักษาอันดับสูงสุดของอีริคสันในรายงาน Frost Radar™ ซึ่งเป็นรายงานประจำปีของ Frost & Sullivan อย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทฯ ในการพัฒนานวัตกรรมและการสร้างการเติบโตในตลาด นอกจากนี้ยังเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำของอีริคสันในตลาดโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G ครอบคลุมไปถึง Radio Access Networks (RAN), Transport Networks และ Core Networks

เฟรดริก เจดลิง รองประธานบริหารและหัวหน้างานเครือข่ายอีริคสัน กล่าวว่า “เป็นเรื่องน่ายินดีที่ความพยายามอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของโซลูชัน Ericsson 5G ได้รับการยอมรับอีกครั้งในรายงาน Frost Radar ปีนี้ เราจะเดินหน้าลงทุนเพื่อความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีที่มุ่งเน้นนวัตกรรม การเปิดกว้างและสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจของลูกค้า”

ทรอย มอร์เลย์ หัวหน้านักวิเคราะห์อุตสาหกรรม กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของ Frost & Sullivan กล่าวว่า “อีริคสันได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมเครือข่ายทั่วโลกมาตั้งแต่ยุค 2G, 3G, 4G จนถึงยุค 5G ในปัจจุบัน โดยอีริคสันลงทุนกับการวิจัยและพัฒนาต่าง ๆ จำนวนมาก เป็นเรื่องจำเป็นในตลาดที่เทคโนโลยีมีการพัฒนาและเปลี่ยนผ่านอยู่ตลอดเวลา”

ปัจจุบัน Ericsson 5G  ถูกใช้งานในเครือข่าย 5G ไปแล้วจำนวน 145 เครือข่ายใน 63 ประเทศ นับเป็นระดับสูงสุดที่ Frost & Sullivan เคยรายงานให้สาธารณะทราบ

“ในฐานะผู้นำตลาดโครงสร้างพื้นฐาน 4G เดิม ทำให้อีริคสันเข้าสู่ตลาด 5G ด้วยฐานลูกค้าขนาดใหญ่ และบริษัทฯ ยังดำเนินงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการรักษาฐานลูกค้าปัจจุบันพร้อมเพิ่มฐานลูกค้าใหม่” มอร์เลย์ กล่าวเพิ่มเติม

มอร์เลย์ ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมในรายงานนี้ว่า “วันนี้การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน หรือ Energy Efficiency ได้กลายเป็นคำยอดฮิตแล้ว ขณะที่โซลูชัน 5G RAN รุ่นแรก ๆ มุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพด้านเทคโนโลยี แต่โซลูชัน 5G RAN ในปัจจุบันของอีริคสันได้รับการพัฒนาให้มีขนาดเล็กลง น้ำหนักเบาลง และประหยัดพลังงานกลายเป็นคำตอบที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า”

รายงาน Frost Radar™ ประเมินบริษัทที่มีบทบาทสำคัญกับตลาดในอุตสาหกรรมอย่างอิสระ โดยยึดวิธีการให้คะแนนด้านนวัตกรรม (Innovation Score) และการเติบโต (Growth Score) เพื่อประเมินความสามารถของบริษัทด้านการพัฒนานวัตกรรมรวมถึงความสามารถในการนำนวัตกรรมมาปรับใช้เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจนใน Frost Radar™ Methodology รายงานฉบับนี้ยังนำเสนอสุดยอดบริษัทในอุตสาหกรรมที่มีความโดดเด่นท่ามกลางบรรดาผู้นำในตลาดโดยรวม รวมถึงผู้นำในกลุ่มตลาดย่อย หรือผู้นำทางความคิดในบางกลุ่ม

อีริคสันได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำใน 2023 Gartner® Magic Quadrant™ ข่าวที่เกี่ยวข้องและเผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม ได้แก่ Ericsson was also named a leader in the 2023 Gartner® Magic Quadrant™ for 5G Network Infrastructure for CSPs report.


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีริคสันตอกย้ำประสิทธิภาพ 5G เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชันในประเทศไทย

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) ตอกย้ำความเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ระดับโลก พร้อมจัดแสดงโซลูชั่น 5G ล่าสุด ภายในงาน Digital Transformation World Asia (DTWA) 2023 ที่จัดขึ้นสามวันเต็มในกรุงเทพฯ เปิดเป็นเวทีให้พันธมิตรในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของเอเชียแปซิฟิกทั้งหมดได้มาร่วมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจและแนวทางการเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) ให้เกิดขึ้นทั่วทั้งภูมิภาคฯ

นอกจากผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของประเทศไทยทั้ง Advanced Info Service (AIS) และ True Corporation (true) แล้วยังมีผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ Jio, Axiata, Telenor Asia และ Indosat Ooredoo Hutchinson มาร่วมงาน DTWA 2023 อีกด้วย

มร.อิกอร์ มอเรล ประธาน บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ในงาน DTWA 2023 อีริคสันได้จัดการประชุม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสาธิตนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อเผยประสบการณ์การนำเครือข่าย 5G มาปรับใช้และสร้างรายได้ทั่วโลก รวมถึงเทคโนโลยีและโซลูชันของ 5G และแนวทางการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล”

“อีริคสันได้สร้างความเป็นผู้นำในตลาดการสื่อสาร 5G ของโลกได้อย่างแท้จริง เรามุ่งมั่นลงทุนเพื่อสร้างความเป็นผู้นำในตลาด 5G มาโดยตลอด ทั้งในเรื่องต้นทุนและประสิทธิภาพการดำเนินงาน ทำให้เราสามารถนำเสนอโซลูชันที่เน้นความยั่งยืนแก่ลูกค้าได้ และเรายังทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรหลักเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศของ 5G ด้วยเทคโนโลยีและโซลูชันที่ล้ำสมัยของอีริคสัน” มร.อิกอร์ กล่าวเพิ่มเติม

อีริคสันตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาด โดยได้รับการยอมรับในรายงาน Gartner 5G Magic Quadrant 2023 (เป็นปีที่สามติดต่อกัน) และรายงาน Frost Radar Global 5G Infrastructure ทั้งนี้อีริคสันยังได้คะแนนอันดับ 1 ในรายงาน ABI Research ล่าสุด ด้านความยั่งยืนของผู้ให้บริการโทรคมนาคม

“เครือข่ายมือถือต้องยืดหยุ่น เปิดกว้าง ยั่งยืนและอัจฉริยะมากยิ่งขึ้น พร้อมให้ประสิทธิภาพและความคุ้มค่าการลงทุนสูงสุด (Total Cost of Ownership) ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เราสร้างเครือข่ายที่มีความปลอดภัยและยั่งยืนที่สามารถไว้วางใจได้ในมาตรฐานสูงสุดเพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งผู้บริโภคและองค์กรธุรกิจ” มร.อิกอร์ กล่าวเพิ่มเติม

แอปพลิเคชันยอดนิยมทั่วโลก โซเชียลมีเดียต่าง ๆ และบริการสตรีมมิ่งเพลงหรือวิดีโอจะใช้การเชื่อมต่อที่สามารถเปิดใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา ช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2565 มีปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนมือถือถึง 108 เอกซะไบต์ (Exabyte) ต่อเดือน ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 40% ต่อปี

จากผลการศึกษาของอีริคสันฉบับปรับปรุงล่าสุดเมื่อพฤศจิกายน ปี 2565 ด้านแพ็คเกจบริการมือถือของผู้บริโภค จากผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือจำนวน 310 ราย ใน 139 ประเทศ แสดงให้เห็นว่า แม้แพ็คเกจบริการมือถือจะมีจำนวนมากและหลากหลายเหมือนกันทั่วโลก แต่ผู้บริโภคก็ยังได้รับข้อเสนอแพ็คเกจมือถือใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นในตลาดส่วนใหญ่

ในปี 2573 ผู้ให้บริการจะนำเสนอแพลตฟอร์มเทคโนโลยี 5G ที่รองรับการสร้างรายได้สะสมจากผู้บริโภคในอุตสาหกรรมไอซีที คิดเป็นมูลค่าเกือบ 31 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในปี 2573 ผู้ให้บริการยังจะมีรายได้สะสมจากที่ผู้บริโภคเปิดใช้งาน 5G เพิ่มขึ้นเป็น 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สำหรับในภาคองค์กร 5G ช่วยสร้างมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญกับ Private 5G Network และ Wireless Wide Area Networks ที่สามารถนำมาปรับใช้กับภาคองค์กรและภาคอุตสาหกรรมได้ โดย 5G ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ก้าวข้ามขีดจำกัดที่มีในปัจจุบันและเปิดโอกาสการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้เป็นไปได้ และยังก่อให้เกิดวิธีการทำงานใหม่ ๆ กระบวนการคิดและแก้ไขปัญหาความท้าทายทางธุรกิจแบบเดิม

ประโยชน์และคุณค่าของเครือข่าย 5G สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ เช่น:

  • ความสามารถในการทำงานใด ๆ จากระยะไกล ไม่ว่ากระบวนการดังกล่าวจะมีความสำคัญหรือวิกฤตระดับไหน
  • การควบคุมทุกกระบวนการทางธุรกิจแบบเรียลไทม์ได้ (Real-Time Control)
  • การปฏิบัติงานแบบอัตโนมัติ
  • การใช้ทรัพยากรการประมวลผลอย่างเหมาะสม เรียกใช้เฉพาะแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้อง
  • มีระดับความปลอดภัยที่สูงขึ้นโดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพโดยรวม

อีริคสันเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ระดับโลก ปัจจุบัน บริษัทฯ  เปิดให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้วจำนวน 143 เครือข่าย ใน 62 ประเทศ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Ericsson เปิดตัวโซลูชันเครือข่ายใหม่ในงาน MWC 2023 มุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) แสดงวิสัยทัศน์ความเป็นผู้นำสนับสนุนผู้ให้บริการสื่อสาร เดินหน้าไปสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ด้วยการเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ RAN และ Transport ที่ได้รับการพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการสร้างรายได้ของผู้ให้บริการสื่อสารและเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ณ งาน Mobile World Congress (MWC) 2023 ที่จะจัดขึ้นที่เมืองบาเซโลน่า ประเทศสเปน

โซลูชันใหม่ของอีริคสันมากกว่า 10 โซลูชัน จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน รวมถึงจำนวนสถานีฐาน พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและเพิ่มศักยภาพเครือข่าย ด้วย New Remote Radios ใหม่ที่มีศักยภาพครบวงจร สำหรับการขยายประสิทธิภาพเครือข่าย 4G และ 5G ที่นำโดยคลื่นวิทยุแบบ ย่านความถี่ 4485 หรือ Triple-Band Radio 4485 for FDD (Frequency-Division Duplexing สำหรับใช้รับ-ส่งสัญญาณข้อมูล Downlink และ Uplink ในความถี่ต่างกัน) ซึ่งมีน้ำหนักเบาขึ้นกว่า 53% และใช้พลังงานน้อยกว่า 22% เทียบกับผลิตภัณฑ์ที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวระบบวิทยุสื่อสารแบบดูอัลแบนด์และซิงเกิลแบนด์ใหม่

อีริคสันยังเปิดตัวระบบคลื่นวิทยุ Massive MIMO แบบไวด์แบนด์รุ่นล่าสุด Ultra-wideband AIR 6476 ซึ่งเป็นรายแรกในอุตสาหกรรม บนคลื่นความถี่ 600MHz ช่วงช่องสัญญาณที่ใช้งานได้ต่อเนื่องกัน (Instantaneous Bandwidth) ซึ่งให้ความจุเพิ่มเป็น 2 เท่าโดยไม่ต้องติดตั้งเสาอากาศเพิ่ม มอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นแก่ผู้ใช้

นอกจากนี้ซอฟต์แวร์ยังได้รับความสนใจในงานนี้ด้วยคุณสมบัติใหม่ ๆ ที่โดดเด่น เช่น การตรวจจับสัญญาณรบกวนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Massive MIMO ช่วงย่านความถี่ระดับกลาง โดยลดการรบกวนสัญญาณระหว่างเซลล์พร้อมเพิ่มความจุเครือข่ายสูงสุดถึง 40% 

โซลูชันใหม่จะจัดแสดงที่บูธของอีริคสันที่งาน MWC Barcelona 2023, Hall 2 ที่ Fira Gran Via ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ถึง 2 มีนาคม พอร์ตโฟลิโอเพิ่มเติมต่าง ๆ จะเริ่มวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในปีนี้และไตรมาสที่ 1 ปี ค.ศ.2024 

สำหรับในประเทศไทย อีริคสันจะทำการตลาดโซลูชั่น Massive MIMO, AIR 6419 B41 และ Radio 4490 B1/B3 เพื่อส่งมอบประสิทธิภาพเครือข่ายขั้นสูงสุดสำหรับทั้งผู้บริโภคและองค์กรธุรกิจ

มร. อิกอร์ มอเรล ประธาน บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “เรากำลังขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายในประเทศไทยด้วยโซลูชันประสิทธิภาพสูงผนวกกับความแข็งแกร่งของเครือข่าย 5ทั่วโลก เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าสำหรับผู้บริโภค และเป็นแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดสำหรับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในกลุ่มองค์กรธุรกิจ เพื่อทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบดิจิทัลของพวกเขาเป็นไปได้ในต้นทุนที่แข่งขันได้”

เมื่อเร็ว ๆ นี้อีริคสันได้ทดสอบผลิตภัณฑ์ Massive MIMO รุ่นล่าสุด รวมถึงโซลูชัน AIR 6419 B41 บนคลื่นความถี่ 2600MHz และผลที่ได้แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ให้ประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยม โดยมีความต้องการการบำรุงรักษาน้อยลงเนื่องจากระบบระบายความร้อนแบบพาสซี 

ทั้งนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการทดสอบผลิตภัณฑ์ Radio 4490 B1/B3 บนย่านความถี่ดูอัลแบนด์ 2100MHz และ 1800MHz ซึ่งโซลูชั่นนี้เป็นระบบคลื่นวิทยุหลักสำหรับใช้งานในเขตเมืองที่มีความหนาแน่นสูง ซึ่งใช้พลังงานน้อยลง 25% และมีน้ำหนักลดลง 25% เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์รุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ Radio 4490 ยังต้องการการบำรุงรักษาน้อยกว่าด้วยระบบระบายความร้อนแบบพาสซีฟ ซึ่งคาดว่าการทดสอบจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

รายงาน Ericsson Mobility ฉบับพิเศษ Business Review edition เผย 5G ขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้

ผลวิจัยล่าสุดจากทีม Ericsson (NASDAQ: ERIC) Mobility Report เผยหลักฐานสนับสนุนสำคัญแก่ผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSPs) ทั่วโลก ซึ่งชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ของการนำ 5G มาปรับใช้และการเติบโตของรายได้

การเติบโตของรายได้เป็นความท้าทายของผู้ให้บริการทั่วโลกที่มักส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนด้านเครือข่าย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจของพวกเขาหรือเรียกว่า ‘การสร้างรายได้ (Monetization)’ ในอุตสาหกรรม

รายงาน Ericsson Mobility ฉบับพิเศษที่เรียกว่า Business Review edition นำเสนอโอกาสต่าง ๆ สำหรับการสร้างรายได้จากบริการ 5G

โดยรายงานนี้เน้นย้ำถึงแนวโน้มการเติบโตของรายได้แง่บวกตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 2020 ในตลาด 5G ชั้นนำ 20 แห่ง* คิดเป็น 85% ของยอดผู้ใช้บริการ 5G ทั้งหมดทั่วโลก และสัมพันธ์กับยอดผู้ใช้บริการ 5G ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นในตลาดเหล่านี้

รายงานฉบับนี้พบว่า:

  • โมเดลการกำหนดราคาตามกลุ่มลูกค้า (Tiered Pricing) เป็นกุญแจสำคัญของผู้ให้บริการที่สามารถตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลของแต่ละลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันรายได้ให้เติบโตต่อเนื่องระยะยาว
  • ในตลาด 5G ชั้นนำ 20 แห่ง พบว่ามีประสิทธิภาพเครือข่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลัง 5G เปิดให้บริการ
  • เส้นกราฟรายได้จากบริการเครือข่ายไร้สายจะพุ่งขึ้นอีกครั้งในตลาด 5G ชั้นนำเหล่านี้ หลังจากช่วงเติบโตช้าหรือไม่มีการเติบโต ซึ่งสัมพันธ์กับยอดการขยายตัวของผู้ใช้บริการ 5G

เฟรดริก เจดลิง รองประธานผู้บริหารและหัวหน้าเครือข่ายของอีริคสันกล่าวว่า “การรับมือกับความท้าทายของลูกค้าคือหัวใจสำคัญของความมุ่งมั่นพยายามในด้านการวิจัยและพัฒนาในทุก ๆ ผลิตภัณฑ์ของอีริคสัน โดยความเชื่อมโยงระหว่างการนำเครือข่าย 5G มาปรับใช้และการเติบโตของรายได้ในตลาด 5G ชั้นนำ 20 อันดับแรก ตอกย้ำให้เราเห็นว่าเครือข่าย 5G ไม่เพียงแต่เป็น Game Changer เท่านั้น แต่ยังให้ประโยชน์แก่ผู้นำไปใช้ระยะแรกอีกด้วย แม้ว่า 5G จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่มีการเติบโตรวดเร็วจากกรณีการใช้งานที่ได้รับการยืนยันแล้ว และยังมีแผนการสร้างกรณีการใช้งานทั้งในระยะกลางและระยะยาวที่ชัดเจน”

ตามที่คาดไว้ บริการ Enhanced Mobile Broadband (eMBB) จะเป็นการใช้งานหลักของเครือข่าย 5G ในช่วงแรก โดยได้รับแรงหนุนมาจากความต้องการเพิ่มความครอบคลุมสัญญาณทางด้านภูมิศาสตร์และมอบข้อเสนอที่แตกต่าง ปัจจุบันมียอดผู้ใช้งาน 5G มากกว่าหนึ่งพันล้านรายอยู่บนเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์ที่เปิดให้บริการอยู่230 เครือข่ายทั่วโลก โดยบริการ 5G eMBB มอบโอกาสในการสร้างรายได้ที่รวดเร็วที่สุดสำหรับ 5G เนื่องจากเป็นบริการส่วนขยายจากธุรกิจที่มีอยู่เดิมของผู้ให้บริการ อาศัยโมเดลธุรกิจและใช้กระบวนการแบบเดียวกัน แม้แต่ในตลาด 5G ชั้นนำ 20 อันดับแรก ก็ยังมีผู้บริโภคประมาณ 80% ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนไปใช้ 5G นับว่าเป็นตัวชี้ชัดสำคัญถึงศักยภาพในการเติบโตของรายได้

ตามที่ระบุไว้ในรายงาน Ericsson Mobility ฉบับเดือนพฤศจิกายนปีก่อนว่าบริการ Fixed Wireless Access (FWA) จะมีกรณีการใช้งาน 5G ในช่วงแรกขนาดใหญ่ที่สุดเป็นลำดับสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคต่าง ๆ ที่ยังไม่มีตลาดบรอดแบนด์และผู้บริโภคยังเข้าไม่ถึงบริการดังกล่าว สำหรับบริการ FWA นั้นมีศักยภาพการเติบโตของรายได้ที่น่าสนใจสำหรับ CSPs เนื่องจากใช้ศักยภาพของบรอดแบนด์มือถือเป็นส่วนใหญ่ โดยคาดว่าจะมีการเชื่อมต่อ FWA สูงถึง 300 ล้านครั้งภายในหกปี

นอกเหนือจากผู้บริโภคที่ใช้บริการ 5G แล้ว ยังมีโอกาสการเติบโตเพิ่มขึ้นจากการนำเครือข่าย 5G ไปใช้ในระดับองค์กรและภาครัฐทั่วโลก

5G ช่วยทำให้เกิดคุณค่าสำคัญสำหรับองค์กร ด้วยเครือข่าย 5G แบบส่วนตัวและเครือข่ายไร้สายที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างที่นำมาใช้ในองค์กรและในภาคอุตสาหกรรม

การอัปเกรดเครือข่าย 4G ที่มีอยู่เดิมให้เป็นเครือข่าย 5G ที่มีศักยภาพมากกว่าถึง 10 เท่า และลดปริมาณการใช้พลังงานได้มากกว่า 30% ช่วยเพิ่มรายได้พร้อมลดต้นทุนและยังสอดรับกับความยั่งยืน

“การเติบโตของรายได้และความยั่งยืนเป็นหัวข้อสนทนาประจำระหว่างเรากับลูกค้า โดยรายงาน Ericsson Mobility ฉบับพิเศษนี้ เราได้สำรวจวิธีที่ผู้ให้บริการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย 5G และเห็นสัญญาณเริ่มต้นของการเติบโตของรายได้ในตลาด 5G ชั้นนำ จากการขยายความครอบคลุมของสัญญาณที่กว้างขวางและการมอบข้อเสนอด้านบริการที่แตกต่าง โดยยังมีด้านที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือสามารถสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุนและช่วยจัดการกับการเติบโตด้านข้อมูลที่มีผลต่อการขับเคลื่อนรายได้ในอนาคต ตอกย้ำให้เห็นว่าเครือข่าย 5G เป็นตัวเร่งการเติบโตที่ตลาดรอคอย” เฟรดริก เจดลิง กล่าวเพิ่มเติม

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ Ericsson Mobility Report Business Review Edition report

*หมายเหตุ: ตลาด 5G 20 อันดับแรกตามรายงาน ได้แก่ ออสเตรเลีย บาห์เรน จีน เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฮ่องกง ไอร์แลนด์ ญี่ปุ่น คูเวต โมนาโก นอร์เวย์ กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ สวิตเซอร์แลนด์ ไต้หวัน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ซึ่งทั้งหมดได้รับคัดเลือกตามฐานผู้ใช้บริการ 5G ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยคิดเป็น 85% ของผู้ใช้ 5G ทั้งหมดทั่วโลก ที่แต่ละตลาดมีสัดส่วนการเติบโต 5G มากกว่า 15%


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ บทความ บทความพิเศษ

อีริคสันเปิด 10 เทรนด์ผู้บริโภคมาแรง: ชีวิตในอนาคตท่ามกลางผลกระทบจากสภาพอากาศ (Life in a Climate-Impacted Future)

ประมาณ 99% ของกลุ่มผู้นำกระแสด้านเทคโนโลยีทั่วโลกกว่า 15,000 ราย ที่ให้ข้อมูลกับอีริคสัน (NASDAQ: ERIC) กล่าวว่า ภายในปี ค.ศ.2030 การใช้อินเทอร์เน็ตและโซลูชั่นการเชื่อมต่อจะเป็นแบบเชิงรุก ที่แต่ละคนจะรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อนที่เจาะจงมากขึ้น โดยสถิตินี้อยู่ในผลการวิจัยประจำปีล่าสุด 10 Hot Consumer Trends จาก Ericsson ConsumerLab ซึ่งในปีนี้ให้ชื่อเรียกว่า Life in a Climate-Impacted Future (ชีวิตในโลกอนาคตที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ)

รายงานที่เผยแพร่ในเดือนมกราคมปีนี้ เป็นฉบับที่ 12 ที่ให้ภาพรวมของข้อกังวล ความคาดหวังของผู้บริโภค ตลอดจนความคิดเห็นในการใช้เทคโนโลยีส่วนบุคคลสำหรับรับมือกับปัญหาด้านสภาพอากาศในปี ค.ศ.2030

83% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มสูงขึ้นอีก 1.5 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้น (สูงกว่าระดับก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม) ซึ่งเกินขีดจำกัดตามข้อตกลงระหว่างประเทศ อันทำให้เกิดสภาวะอากาศแบบสุดขั้วและมีแนวโน้มสร้างผลกระทบเชิงลบ

55% ของผู้ใช้ในกลุ่ม Early Adopters ในเขตเมืองใหญ่ เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่งผลเสียต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา และเตรียมมุ่งไปใช้โซลูชั่นการเชื่อมต่อต่าง ๆ เป็นมาตรการรับมือ

ข้อกังวลหลัก ๆ ของผู้บริโภค ได้แก่ ค่าครองชีพ การเข้าถึงแหล่งพลังงานและทรัพยากร รวมถึงความต้องการการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ในเวลาที่เกิดความปั่นป่วนและสภาพอากาศแปรปรวน โดย 59% ของผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่า ในช่วงทศวรรษ 2030 นวัตกรรมและเทคโนโลยีจะมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อรับมือกับความท้าทายในชีวิตประจำวันที่มาจากผลการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

ผู้ใช้ AR VR และผู้ช่วยดิจิทัล (Digital Assistances) กลุ่มผู้นำกระแสกว่า 15,000 รายใน 30 เมืองทั่วโลก ได้รับการสอบถามเพื่อประเมินถึงแนวคิดของบริการดิจิทัล 120 รายการ ครอบคลุม 15 ด้าน ตั้งแต่ความพยายามปรับตัวในการใช้ชีวิตประจำวันที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ ไปจนถึงวิธีการรับมือกับเหตุการณ์สภาพอากาศอันเลวร้าย

ผู้เชี่ยวชาญของ Ericsson ConsumerLab ได้รวบรวมข้อมูลและสรุปเป็น 10 เทรนด์มาแรงของผู้บริโภค

แม็กนัส โฟรไดห์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยของอีริคสัน กล่าวว่า “ผู้บริโภคระบุชัดเจนว่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้และมีความยืดหยุ่นมีความสำคัญสูงสุดต่อการใช้ชีวิตประจำวันของพวกเขา และพวกเขากำลังมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากคาดหวังว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรงและมีผลกระทบเชิงลบจะกลายเป็นเรื่องปกติยิ่งขึ้น ผู้บริโภคไม่คาดหวังว่าการเชื่อมต่อที่จำเป็นนั้นจะต้องเกิดขึ้นในระดับโลก แต่อย่างน้อยก็ขอให้เกิดขึ้นโดยเร็ว”

ผู้ใช้กลุ่มผู้นำกระแสส่วนใหญ่ไม่เพียงแต่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเกิดขึ้น แต่ยังมั่นใจว่ามันจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาในช่วงทศวรรษ 2030 มากกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ แม้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าความสนใจด้านเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตส่วนตัวจะเป็นตัวขับเคลื่อนการเลือกใช้บริการใด ๆ เป็นอันดับต้น ๆ อย่างที่เราทราบในปัจจุบันว่าพฤติกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ นั้น

มีความเป็นไปได้ที่อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิ วิธีหรือรูปแบบการทำงานของเรา ระยะเวลาการทำงานและสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน

ตัวอย่างเช่น เวลาการทำงานที่ไม่อิงตาม ‘หน้าปัดนาฬิกา’ แบบเดิม เข้างาน 9 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น และงานประจำที่ต้องทำทุกวัน ซึ่งอาจเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญก่อให้เกิดเทรนด์ใหม่ของการทำงานที่ไม่เร่งรีบ หรือ No-Rush Mobility สังคมการทำงานที่ถูกกำหนดจากการใช้พลังงานสูงสุดหรือต่ำสุดแทนเวลาตามเข็มนาฬิกาอาจกลายเป็นเรื่องปกติทั่วไป

ผู้ตอบแบบสอบถามยังคาดหวังว่าบทบาทของ AI จะขยายไปสู่พฤติกรรมของผู้บริโภค ดังที่ระบุไว้ในเทรนด์ Less Is More Digital เช่น เพื่อช่วยลดผลกระทบจากการบริโภควัสดุแก่ผู้ซื้อ โดยใช้ทางเลือกดิจิทัลแทนผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้

ผู้ร่วมเขียนรายงาน ซาราห์ ธอร์สัน หัวหน้าฝ่ายพัฒนาแนวคิดของ Ericsson ConsumerLab พูดถึงเทรนด์ Smart Water โดยระบุว่า “การใช้น้ำอาจเปลี่ยนไปอย่างมากเช่นกัน หากการปันส่วนแพร่หลายมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ประมาณหกสิบสี่เปอร์เซ็นต์ของผู้นำกระแส (Early Adopters) คาดว่าในทศวรรษ 2030 การจัดสรรการใช้น้ำรายเดือนให้แก่ประชาชนทั้งหมดจะใช้กฎกติกาดิจิทัล”

ดร.ไมเคิล บียอร์น หัวหน้าฝ่าย Research Agenda ของ Ericsson Consumer และ IndustryLab และผู้ขับเคลื่อนรายงาน 10 Hot Consumer Trends ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในปี ค.ศ. 2011 กล่าวว่า ผู้บริโภคยังเล็งเห็นถึงความเสี่ยงจากการใช้โซลูชั่นที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อสภาพอากาศแบบผิด ๆ

“กระแส Climate Cheaters เน้นให้เห็นถึงการรับรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎด้วยกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ ที่อาจจะฝืนความรู้สึกแต่เป็นความจริงอย่างมากที่อาจมีการโกงเพื่อเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อสภาพอากาศ เช่น การจ่ายบิลหรือการบันทึกข้อมูล เมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผู้ตอบแบบสำรวจประมาณ 72% คาดว่าจะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเลี่ยงข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวในระยะสั้น ประเด็นนี้เป็นการเตือนจริงจังเกี่ยวกับความสำคัญของการมุ่งเน้นไปที่ความน่าเชื่อถือของบริการอย่างต่อเนื่อง” 

THE TRENDS

  1. Cost Cutters
    บริการดิจิทัลจะช่วยให้ผู้บริโภคควบคุมค่าอาหาร พลังงาน และค่าเดินทางในสถานการณ์สภาพอากาศที่ไม่แน่นอน มากกว่า60%ของกลุ่มผู้นำกระแสในเขตเมืองแสดงความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นในอนาคต
  2. Unbroken Connections
    การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้และมีความยืดหยุ่นจะมีความสำคัญมากขึ้นหากและเมื่อมีเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงเพิ่มขึ้น โดย80%ของกลุ่มผู้นำกระแสในเขตเมืองเชื่อว่าหากเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติจะมีตัวระบุตำแหน่งสัญญาณอัจฉริยะที่แสดงพื้นที่ครอบคลุมอย่างเหมาะสมในทศวรรษ 2030
  3. No-RushMobility
    ตารางเวลาที่เคร่งครัดอาจกลายเป็นเรื่องของเมื่อวานนี้ เมื่อความหมายของความยืดหยุ่นเปลี่ยนไปอันเนื่องมาจากกฎระเบียบด้านสภาพอากาศและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ประมาณ 68% ของผู้ตอบแบบสำรวจจะวางแผนกิจกรรมโดยใช้ตัวกำหนดตารางเวลาที่เพิ่มประสิทธิภาพตามต้นทุนด้านพลังงาน ไม่ใช่ประสิทธิภาพด้านเวลา
  4. S(AI)fekeepers
    คาดว่าAI จะเป็นขุมพลังสำคัญให้กับบริการที่คอยปกป้องผู้บริโภคในช่วงที่สภาพอากาศแปรปรวนและคาดการณ์ไม่ได้เพิ่มขึ้น โดยเกือบครึ่งหนึ่งของกลุ่มผู้นำกระแสในเขตเมืองกล่าวว่า พวกเขาจะใช้ระบบเตือนภัยสภาพอากาศส่วนบุคคลเพื่อความปลอดภัยของตนเอง
  5. New WorkingClimate
    ข้อจำกัดด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลที่เร่งตัวขึ้นจะกำหนดรูปแบบกิจวัตรการทำงานในอนาคต เจ็ดในสิบคนคาดว่าผู้ช่วย AI ของบริษัทจะวางแผนการเดินทาง กำหนดภาระงาน และทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
  6. Smart Water
    เนื่องจากน้ำจืดในทศวรรษ 2030 อาจเป็นของหายากขึ้น ผู้บริโภคจึงคาดหวังบริการน้ำที่มีความอัจฉริยะเพื่อเก็บและนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ เกือบครึ่งหนึ่งของกลุ่มผู้นำกระแสในเมืองกล่าวว่าจะใช้เครื่องดักจับน้ำอัจฉริยะบนหลังคา ระเบียง และหน้าต่างที่เมื่อฝนตกก็เปิดเพื่อเก็บกักและทำความสะอาดน้ำฝน
  7. The Enerconomy
    บริการแบ่งปันพลังงานแบบดิจิทัลอาจช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่สูงขึ้นในทศวรรษ 2030 พลังงานอาจกลายเป็นสกุลเงินได้ เนื่องจาก 65% ของกลุ่มผู้นำกระแสในเมืองคาดว่าผู้บริโภคจะสามารถชำระค่าสินค้าและบริการเป็นหน่วยกิโลวัตต์/ชั่วโมง โดยใช้แอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
  8. Less is moredigital
    การเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลอาจกลายเป็นเครื่องหมายแสดงสถานะ เนื่องจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่เป็นวัตถุมากเกินความจำเป็น อาจทำให้ต้องเผชิญกับราคาแพงและถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม พฤติกรรมลดการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่เป็นวัตถุจะเร่งขยายตัวขึ้น เนื่องจากหนึ่งในสามของกลุ่มผู้นำกระแสในเมืองเชื่อว่าโดยส่วนตัวแล้วพวกเขาจะใช้แอปช็อปปิ้งที่แนะนำทางเลือกดิจิทัลแทนผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้
  9. Natureverse
    การสัมผัสธรรมชาติในเมืองโดยไม่ต้องเดินทางอาจเป็นเรื่องปกติในยุค 2030 เมื่อต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่องและข้อจำกัดด้านการเดินทางที่อาจเกิดขึ้น สี่ในสิบของกลุ่มผู้นำกระแสในเมืองต้องการใช้บริการการเดินทางเสมือนจริงที่ช่วยให้พวกเขาได้สัมผัสกับเขตอนุรักษ์ธรรมชาติและเส้นทางบนภูเขาแบบเรียลไทม์ ประหนึ่งว่าพวกเขาได้อยู่ตรงนั้นเอง
  10. ClimateCheaters
    ผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าผู้บริโภคจะหาทางหลีกเลี่ยงความเข้มงวดของข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากราคาที่สูงขึ้นและการปันส่วนพลังงานและน้ำ กว่าครึ่งของกลุ่มผู้นำกระแสในเมืองคาดว่าแอปแฮ็คออนไลน์จะช่วยให้พวกเขาลักน้ำประปาหรือไฟฟ้าของเพื่อนบ้านมาใช้แบบผิดกฎหมาย

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ 10 Hot Consumer Trends: Life in a Climate-Impacted Future report

กระบวนการจัดทำรายงาน

ข้อมูลเชิงลึกของรายงานอ้างอิงจากกิจกรรมการวิจัยทั่วโลกของ Ericsson ConsumerLab ซึ่งครอบคลุมมากกว่าหนึ่งในสี่ของศตวรรษ โดยใช้ข้อมูลจากแบบสำรวจออนไลน์ที่จัดทำขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2565 จากกลุ่มผู้นำกระแสที่ใช้ AR, VR และ Digital Assistant ใน 30 เมืองใหญ่ ได้แก่: กรุงเทพฯ เบอร์ลิน บรัสเซลส์ ไคโร ดัลลัสฟอร์ตเวิร์ธ เดลี จาการ์ตา โจฮันเนสเบิร์ก กัวลาลัมเปอร์ ลิสบอน ลอนดอน มาดริด เม็กซิโกซิตี้ ไมอามี มิลาน มิวนิก นิวยอร์ก ออสโล โรม ซานฟรานซิสโก เซา เปาโล เซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ สตอกโฮล์ม ซิดนีย์ ไทเป โตเกียว โตรอนโต แวนคูเวอร์ และซูริค

Related links:
Ericsson: 10 Hot Consumer Trends 2030 – The Hybrid Mall
Ericsson: 10 Hot Consumer Trends 2030 – The Everyspace Plaza
Ericsson: 10 Hot Consumer Trends 2030 – Connected Intelligent Machines
Ericsson: 10 Hot Consumer Trends 2030 – The Internet of Senses

เกี่ยวกับอีริคสัน

อีริคสัน สนับสนุนผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในการสร้างมูลค่าสูงสุดจากการเชื่อมต่อ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทครอบคลุมเครือข่าย (Networks)  ซอฟต์แวร์และบริการคลาวด์ (Cloud Software and Services) เทคโนโลยีและโซลูชั่นเครือข่ายไร้สายระดับองค์กร (Enterprise Wireless Solutions and Technologies) และธุรกิจใหม่ ๆ (New Businesses) และมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือลูกค้าให้มุ่งสู่ระบบดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพ และมองหารายได้รูปแบบใหม่ การลงทุนเพื่อพัฒนานวัตกรรมของอีริคสันได้มอบประโยชน์จากระบบโทรศัพท์และเครือข่ายเคลื่อนที่ให้แก่ผู้คนหลายพันล้านคนทั่วโลก อีริคสันจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ในกรุงสต็อกโฮล์ม และใน NASDAQ นครนิวยอร์ค ติดตามข้อมูลข่าวสารของอีริคสันได้ที่ www.ericsson.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีริคสันขยายความร่วมมือการเป็นพันธมิตรด้านการปฏิบัติการกับเทเลนอร์

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC)  ประกาศวันนี้ว่า บริษัทฯ ได้ขยายกรอบความตกลงว่าด้วยการปฏิบัติการด้านบริการและซอฟต์แวร์ (Global Framework Agreement for Operational Services and Software) ร่วมกับเทเลนอร์ จนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ.2567

จากข้อตกลงฉบับแรกที่ลงนามไว้ในปี พ.ศ.2560 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง Common Delivery Center (CDC) สำหรับบริการหลากหลาย อาทิ การปฏิบัติการเครือข่าย (รวมถึงการเพิ่มศักยภาพระบบอัตโนมัติของศูนย์ปฏิบัติการเครือข่าย) การออกแบบเครือข่าย การวางแผนและการเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย การดำเนินงานขั้นต้นและการปฏิบัติการภาคสนามอัจฉริยะ การจัดการโครงการและการนำเครือข่ายมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพแก่บริการต่าง ๆ นอกจากนี้อีริคสันจะส่งมอบ Cognitive Software สำหรับการวางแผนและปรับแต่งเครือข่าย ตามที่ระบุไว้ในการขยายความร่วมมือ ซึ่งกรอบข้อตกลงดังกล่าวนี้ครอบคลุมความร่วมมือระหว่างอีริคสันและเทเลนอร์ในมาเลเซีย (Digi)และไทย (dtac)

ที่ผ่านมาเทเลนอร์และอีริคสันได้รับรางวัลร่วมกันด้านความสำเร็จของการดำเนินงาน CDC ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม

ริต้า มอบเคล หัวหน้ากลุ่มลูกค้าระดับโลก (GCU Telenor) ของอีริคสัน กล่าวว่า “อีริคสันช่วยสร้างความแตกต่างอย่างยั่งยืนให้กับเทเลนอร์และยังส่งต่อไปยังลูกค้าของเทเลนอร์ ด้วยประสิทธิภาพที่พัฒนาเพิ่มขึ้นในหลากมิติ เปลี่ยนการปฏิบัติงานที่เน้นเครือข่ายเป็นสำคัญไปสู่การเน้นประสบการณ์ผู้ใช้เป็นหลัก ด้วยการใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ขณะที่ยังมุ่งมั่นพัฒนาและใช้ประโยชน์จากความสามารถของแพลตฟอร์ม Ericsson Operations Engine อย่างต่อเนื่อง เพื่อความเป็นเลิศในการให้บริการต่อไป”

Ericsson Operations Engine เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้เทคโนโลยีเอไอมาขับเคลื่อนข้อมูลให้กับบริการจัดการข้อมูล ซึ่งทำให้เทเลนอร์สามารถรองรับการเชื่อมต่อในอนาคตได้ พร้อมช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากประสิทธิภาพของเครือข่ายที่มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้ ตลอดจนมอบประสบการณ์การใช้งานเครือข่ายแก่ผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น

ปราดีป คอตนาลา หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการเครือข่ายและบริการจัดการข้อมูลประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนียและอินเดียของอีริคสัน กล่าวว่า “ชุดโซลูชั่น Cognitive Software ชั้นนำในอุตสาหกรรมของ Ericsson นำเสนอการบูรณาการด้านการออกแบบเครือข่ายและเพิ่มประสิทธิภาพให้โดเมนด้วยเทคโนโลยีเอไอระดับสูง ซึ่งสามารถปลดปล่อยศักยภาพเครือข่ายยุคหน้าได้อย่างแท้จริง”

เทเลนอร์และอีริคสันกำลังทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาบริการต่าง ๆ ที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง อาทิ เครือข่ายส่วนตัว (Private Network) และบริการบนคลาวด์ (Cloud Based Services) ที่สามารถใช้ประโยชน์ด้านประสบการณ์และความสามารถที่พัฒนาเพิ่มขึ้นจาก Common Delivery Center


Exit mobile version