Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Crypto Tourism ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทย ก้าวสำคัญสู่นวัตกรรมการเงิน

ผู้เขียน: นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล, CFA,

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH)

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในประเทศไทยที่ดึงดูดความสนใจจากสื่อมวลชนทั่วโลก นั่นคือการเปิดตัวโครงการ TouristDigiPay ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และธนาคารแห่งประเทศไทย โครงการนำร่องนี้ช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสกุลเงินบาทเพื่อใช้จ่ายภายในประเทศได้ นอกจากจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการท่องเที่ยวไทยแล้ว โครงการนี้ยังมีศักยภาพในการผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศ และนำไทยเข้าใกล้เป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลระดับภูมิภาคมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า TouristDigiPay ไม่ใช่ระบบการชำระเงินด้วยคริปโตโดยตรงที่ทั้งลูกค้าและร้านค้าจะทำธุรกรรมกันด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล แต่เป็นกลไกที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทเพื่อชำระเงินผ่านระบบ PromptPay QR ซึ่งใช้งานได้อย่างแพร่หลาย ตั้งแต่ร้านอาหารริมทางไปจนถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำ โครงการนำร่องนี้นำเสนอแนวทางให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้สินทรัพย์ดิจิทัลของตนด้วยวิธีการที่สะดวกและราบรื่น โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินที่แข็งแกร่งของประเทศไทย

การผสานการชำระเงินด้วยคริปโตเข้ากับการท่องเที่ยว

จากรายงานของ Grand View Research ระบุว่า การชำระเงินด้วยคริปโตทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตไปถึง 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033 รายงานนี้ยังชี้ว่าการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการชำระเงินด้วยคริปโตไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของนวัตกรรมการเงิน แต่ยังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของระบบการเงินโลกในอนาคต

สำหรับประเทศไทย การท่องเที่ยวถือเป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างยาวนาน ในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 ภาคการท่องเที่ยวมีสัดส่วนเกือบ 20% ของ GDP ไทย อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ประเด็นด้านความปลอดภัย และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ การนำทางเลือกการชำระเงินที่ขับเคลื่อนด้วยคริปโตเข้ามาใช้จึงถือเป็นโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะไม่เพียงแต่มอบทางเลือกการชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว และไร้เงินสดให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ที่เน้นการใช้งานในรูปแบบดิจิทัล (Digital Nomads) และผู้ถือครองคริปโตทั่วโลกที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังช่วยเสริมสร้างเสน่ห์ของการท่องเที่ยวไทยให้โดดเด่นยิ่งขึ้น

อันที่จริง ประเทศไทยไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางนี้เพียงลำพัง เมื่อต้นปีที่ผ่านมาภูฏานได้กลายเป็นประเทศแรกที่เปิดตัวระบบชำระเงินเพื่อการท่องเที่ยวด้วยคริปโตในระดับประเทศที่นำโดยรัฐบาล ช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถทำธุรกรรมด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างราบรื่นตลอดการเดินทาง นอกจากนี้การชำระเงินด้วยคริปโตยังถูกนำไปใช้ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น และมีอีกหลายประเทศที่กำลังทดลองนวัตกรรมนี้ ด้วยระบบนิเวศการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งและโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มั่นคงของไทย ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะนำนโยบายเชิงนวัตกรรมนี้ไปสู่การใช้งานคริปโตในวงกว้างและนำไปปฏิบัติได้จริง หากมีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ควบคู่ไปกับการสนับสนุนจากภาครัฐที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล การนำระบบชำระเงินด้วยคริปโตมาปรับใช้จะเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในการฟื้นฟูการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็เป็นการวางรากฐานให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการเงิน

ขับเคลื่อนนวัตกรรมการเงินคริปโตในประเทศไทย

ในระดับโลก การเติบโตอย่างต่อเนื่องของสเตเบิลคอยน์ (Stablecoin) กำลังกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญต่อการยอมรับการชำระเงินด้วยคริปโตในวงกว้าง จากข้อมูลของ McKinsey มูลค่ารวมของสเตเบิลคอยน์หมุนเวียนในระบบสูงถึง 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว และคาดว่าจะเติบโตถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2028 ในขณะที่ Visa และ Mastercard ก็กำลังเริ่มโครงการต่างๆเพื่อรองรับการชำระเงินและชำระบัญชีด้วยสเตเบิลคอยน์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงทิศทางที่ชัดเจนว่าสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมกำลังหันมาเปิดรับประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล

แม้ว่าโครงการนำร่องนี้จะยังไม่เปิดโอกาสให้ธุรกิจและชุมชนในท้องถิ่นสามารถรับสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยตรง แต่โครงการนี้ก็ได้สร้างโอกาสอันดีในการให้ความรู้แก่สาธารณชน ช่วยสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพื้นฐานของเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องว่าคริปโตไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อการลงทุน แต่เป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

โครงการนำร่องเพื่อการชำระเงินด้วยคริปโต รวมถึงโครงการริเริ่มอื่น ๆ ของหน่วยงานภาครัฐ ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการส่งเสริมนวัตกรรมผ่านนโยบายที่สนับสนุน และผมเชื่อว่าโครงการระดับชาตินี้จะเป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงระบบการเงินดั้งเดิมของไทยเข้ากับโลกใหม่ของสินทรัพย์ดิจิทัล

ก้าวต่อไปในอนาคต

เมื่อมองไปข้างหน้า โครงการ TouristDigiPay ของประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตไปไกลกว่าแค่โครงการระดับประเทศ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโครงการนี้ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม โครงการนี้ถือเป็นต้นแบบให้กับทั่วโลกในการผสานการชำระเงินด้วยคริปโตเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินของประเทศ ด้วยแนวคิดที่สร้างสรรค์และมองการณ์ไกล พร้อมด้วยกฎระเบียบที่ชาญฉลาดและปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ภาครัฐและเอกชนจะสามารถทำงานร่วมกันเพื่อเร่งการพัฒนาทางเทคโนโลยี และสร้างผลกระทบที่มีความหมายต่อผู้คนได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ด้วยศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโต

ในฐานะผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของไทย BINANCE TH by Gulf Binanceพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ และมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการเงินดิจิทัล โดยยึดมั่นในหลักการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ความเป็นเลิศทางเทคโนโลยี และวิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่ออนาคตทางการเงินที่ทั่วถึงสำหรับทุกคน

###

เกี่ยวกับผู้เขียน

นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล,CFA

เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH)

ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มบริษัท ไบแนนซ์ (Binance Group) และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) โดยเขาเป็นผู้นำในการผลักดันให้เกิดการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยให้กว้างขวางขึ้น ด้วยการส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ คุณนิรันดร์มีเป้าหมายในการขยายระบบนิเวศของบล็อกเชนและเพิ่มการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานในประเทศ ก่อนหน้านี้คุณนิรันดร์เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Binance

ก่อนที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมบล็อกเชน คุณนิรันดร์เคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ TrueMoney ประเทศไทย ผู้ให้บริการ e-wallet ชั้นนำของประเทศ ซึ่งเขาได้แสดงภาวะผู้นำในการผลักดันให้บริษัทเติบโตจนกลายเป็นแอปพลิเคชันทางการเงินชั้นนำที่มีผู้ใช้งานกว่า 12 ล้านคน นอกจากนี้คุณนิรันดร์ยังเคยสั่งสมประสบการณ์จากบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการอย่าง McKinsey & Company และ UBS ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

คุณนิรันดร์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ (MBA) จากสถาบัน INSEAD และปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

BINANCE TH ร่วมกับ GULF จับมือ ม.ธรรมศาสตร์ ลงนาม MoU พัฒนา “บุคลากรสินทรัพย์ดิจิทัล”

กรุงเทพฯ ประเทศไทย [24 กุมภาพันธ์ 2568] – BINANCE TH by Gulf BINANCE ผู้นำแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการกำกับดูแลภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนาและเติมทักษะให้กับบุคลากรรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย 

ข้อมูลจาก ก.ล.ต. เผยมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ณ เดือน มกราคม 2568 มีมูลค่ากว่า 9.95 หมื่นล้านบาท  โดยมีบัญชีนักลงทุนมากกว่า 2.45 ล้านราย สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่ที่มีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งในด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังอยู่ในวงจำกัด  สอดคล้องกับข้อมูลของกระทรวงแรงงาน ที่ระบุว่า ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยต้องการกําลังแรงงานด้านดิจิทัลมากกว่า 140,000 คน อาทิ วิศวกรซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์ข้อมูล นักพัฒนาเอไอ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน ผู้พัฒนาโปรแกรมเซมิคอนดัคเตอร์ ไมโครชิป ออโตเมชั่น นักการตลาดดิจิทัล

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า 

“กัลฟ์ให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่เพียงภาคการเงินเท่านั้น เรามองเห็นโอกาสในการประยุกต์ใช้บล็อกเชนในธุรกิจที่หลากหลาย เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน และการทำธุรกรรมซื้อขายไฟฟ้า แต่การที่จะขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจริง เราจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่พร้อม ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในครั้งนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ ที่จะเข้าใจทั้งด้านพลังงานและเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานของไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น นอกจากนี้ การมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านคริปโทเคอร์เรนซี จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีบล็อกเชนในภูมิภาค และดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้อีกด้วย”

นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด กล่าวว่า “การเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยกำลังขยายตัวขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2024 มูลค่าการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มของเราเติบโตขึ้นกว่า 300% และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ จากการยอมรับของนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการอนุมัติ Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ดังนั้นเราจึงต้องเร่งพัฒนาบุคลากรด้านบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลให้ทันต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม ผ่านการพัฒนาหลักสูตร e-Learning และ Blended Learning  ที่ครอบคลุมทั้งด้านทฤษฎีและการประยุกต์ใช้จริง โดยจะเน้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชน สินทรัพย์ดิจิทัล การเงินดิจิทัล และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นักศึกษาไทยมีความรู้ทัดเทียมในระดับสากล และพร้อมเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบการเงินดิจิทัลของประเทศในอนาคตอันใกล้”

ศาสตราจารย์ ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มุ่งมั่นในการผลิตบัณฑิตที่มีความพร้อมรับมือกับความท้าทายในศตวรรษที่ 21  มธ.พร้อมปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเราตั้งเป้าผลิตบัณฑิตด้านนี้กว่า 8,000 คนต่อปี และความร่วมมือกับผู้นำทั้งในอุตสาหกรรมพลังงานและสินทรัพย์ดิจิทัลครั้งนี้ จะช่วยยกระดับการเรียนการสอนให้มีความทันสมัย ผ่านการผสมผสานองค์ความรู้จากในและนอกห้องเรียน รวมถึงประสบการณ์จริงจากภาคธุรกิจ ช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด และนำมาต่อยอดได้ นอกจากนั้นนักศึกษาและบุคลากรไทยที่เข้าร่วมโครงการนี้จะได้รับประโยชน์มากมาย เช่น โอกาสในการฝึกงานกับบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โอกาสในการทำงานในตำแหน่งที่กำลังเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน และโอกาสในการสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ”

Changpeng Zhao (CZ) อดีต CEO ของ Binance กล่าวว่า “เราเชื่อว่าการศึกษาเป็นรากฐานของนวัตกรรมและการเข้าถึงทางการเงิน ความร่วมมือของเรากับ Gulf Thailand และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อให้ความรู้แก่นักศึกษา 1,000 คนเกี่ยวกับบล็อกเชนและคริปโตถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพให้กับคนรุ่นต่อไปของประเทศไทยด้วยความรู้และทักษะที่จำเป็นในการเติบโตในเศรษฐกิจดิจิทัล

ประเทศไทยมีระบบนิเวศบล็อกเชนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และการเสริมสร้างความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีคริปโตให้กับเยาวชนจะช่วยขับเคลื่อนการยอมรับอย่างรับผิดชอบ การเป็นผู้ประกอบการ และการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ความคิดริเริ่มนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนกลุ่มผู้มีความสามารถในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างอุตสาหกรรมคริปโตระดับโลกด้วยการส่งเสริมชุมชนผู้นำ นักพัฒนา และนักประดิษฐ์ในอนาคตที่มีข้อมูลครบถ้วน

เรารู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมมือในความพยายามเชิงกลยุทธ์นี้และยังคงมุ่งมั่นที่จะทำให้การศึกษาเกี่ยวกับบล็อกเชนเข้าถึงได้สำหรับทุกคน เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของ Web3″

ความร่วมมือครั้งนี้มีระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่การลงนาม โดยทั้งสามองค์กรจะร่วมกันพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของนักศึกษาและบุคลากรให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการมุ่งผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง Digital Asset Hub แห่งอาเซียน ซึ่งคาดว่าภูมิภาคนี้จะมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1.3 แสนล้านบาท ภายในปี 2025

คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาข้อมูลและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

เกี่ยวกับไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์

ไบแนนซ์ คือแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลโดยได้รับใบอนุญาตภายใต้ชื่อบริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด (บริษัทในเครือของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไบแนนซ์ แคปปิตอล แมเนจเมนท์ จำกัด (บริษัทในเครือของกลุ่ม BINANCE) 


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Binance TH เตือนภัยคนไทย เฝ้าระวังแก๊งมิจฉาชีพหลอกลงทุนคริปโต พร้อมแนะเกราะป้องกันไม่ตกเป็นเหยื่อ

ท่ามกลางตลาดคริปโทเคอร์เรนซีและสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาบิตคอยน์มีมูลค่าสูงถึง 105,208 USD (ณ วันที่ 16 ธ.ค.) เป็นที่เรียบร้อย จึงเป็นจังหวะที่นักลงทุนหน้าใหม่เริ่มตบเท้าเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสของเหล่ามิจฉาชีพที่จะใช้สถานการณ์เชิงบวกนี้มาหลอกลวงเช่นกัน 

ตัวเลขแนวโน้มสำคัญในวงการ “คริปโต” และ “SCAM” จากสหรัฐฯ สะท้อนความเสี่ยงตลาดไทย

  • มูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงคริปโตอาจสูงถึง 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 
  • ความเสียหายเฉลี่ยต่อเหยื่อในสหรัฐฯ สามารถสูงถึง 39,000 ดอลลาร์สหรัฐ
  • หากจำแนกมูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงประเภทต่าง ๆ สามารถแบ่งเป็น วิธีการแอบอ้างตัวตน คาดว่าจะสร้างมูลค่าค่าความเสียหายอยู่ที่ 154 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, วิธีการ romance scam คาดว่าจะสร้างมูลค่าความเสียหายประมาณ 167 ล้านดอลลาร์, และวิธีการหลอกลงทุน คาดว่าจะสร้างความเสียหายสูงสุดถึง 888 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2025

(source: VPNRanks, Oct 2024)

ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในประเทศไทยเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะใน Cycle นี้ที่จะเพิ่มจำนวนนักลงทุนหน้าใหม่ในตลาด โดยตั้งแต่ต้นปีมีจำนวนบัญชีเปิดใหม่มากถึง 120,000 บัญชี (Statista, Jan 2024) และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Binance TH by Gulf Binance) แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลโดยได้รับใบอนุญาตภายใต้ชื่อบริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด เล็งเห็นถึงความเสี่ยงจากเหล่ามิจฉาชีพที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์จากนักลงทุน จึงขอหยิบยกรูปแบบกลโกงเพื่อป้องกันให้ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพและสามารถลงทุนได้อย่างปลอดภัย 

3 วิธีการหลอกลวง

  • เสนอบริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง ระวังการติดต่อจากบุคคลที่เสนอตัวเป็น “คนกลาง” ในการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล หรืออาจ แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมักเสนอผลตอบแทนสูงเกินจริง สุดท้ายจะหลอกลวงให้โอนเงินไปให้โดยไม่ได้รับสินทรัพย์จริง
  • หลอกรักผ่านแอปหาคู่ มิจฉาชีพจะสร้างโปรไฟล์ที่น่าสนใจเพื่อให้หลงเชื่อ จากนั้นจะชักชวนให้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล พึงระวังคนที่เพิ่งรู้จักในแอปหาคู่มาชวนลงทุนคริปโตที่จะหลอกให้รักแล้วหลอกให้สูญเงินในที่สุด
  • แอปปลอม ระวังแอปพลิเคชันปลอมที่เลียนแบบแอปพลิเคชันของบริษัทซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ก่อนดาวน์โหลดแอปใด ๆ ให้ตรวจสอบที่มาของแอปให้ดี 

DYOR กุญแจสำคัญสู่การลงทุนสกุลเงินดิจิทัล

การลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโทเคอร์เรนซี กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับหลายคน แต่ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนไปกับเหรียญใดเหรียญหนึ่ง การศึกษาข้อมูลด้วยตนเอง (DYOR) นั้นสำคัญมาก

ทำไมต้อง DYOR (Do Your Own Research)? เพราะในโลกของคริปโตเต็มไปด้วยข้อมูลมากมาย บางส่วนเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง แต่บางส่วนก็อาจเป็นเพียงการโพรโมตหรือข่าวปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกล่อให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาด หากไม่ทำการศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ อาจนำไปสู่การสูญเสียเงินลงทุนได้ และสิ่งที่นักลงทุนทั้งเก่าและใหม่ต้องตระหนักไว้เสมอคือ “อย่าไว้ใจใครง่าย ๆ! ต้องหมั่นศึกษาข้อมูลก่อนลงทุนในโลกคริปโต

หากพลาดท่าตกเป็นเหยื่อ

  • แจ้งความทันที รวบรวมหลักฐานทั้งหมด เช่น หลักฐานการโอนเงิน ข้อความสนทนา และแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ หรือแจ้งความออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือติดต่อกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้ที่สายด่วน 1441 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
  • แจ้งผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ที่โดนแอบอ้างชื่อให้ทราบ เพื่อดำเนินการตามมาตรการ และป้องกันไม่ให้ผู้อื่นตกเป็นเหยื่อรายต่อไป
  • ระวังการโดนหลอกซ้ำจากบริการติดตามทวงคืนเงิน มิจฉาชีพมักใช้โอกาสนี้หลอกลวงซ้ำซ้อนในช่วงเวลาที่เหยื่อขาดสติจากการสูญเงินก้อนแรก ดังนั้นต้องระมัดระวังบริการที่อ้างว่าสามารถช่วยติดตามเงินคืน เพราะอาจเป็นการหลอกลวงซ้ำสองได้

Binance TH ปกป้องคุณอย่างไร?

Binance TH ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ใช้อย่างสูงสุด ช่วงครึ่งแรกของปี 2024 Binance สามารถป้องกันความเสียหายจากการถูกหลอกลวงได้กว่า 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Binance ในการปกป้องผู้ใช้งานจากภัยมิจฉาชีพ และหนึ่งในวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการให้ความรู้เรื่องภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่ในโลกคริปโตอยู่เสมอ เพราะภัยคุกคามเหล่านี้มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา การที่ลูกค้าตระหนักถึงวิธีการหลอกลวงต่าง ๆ จะช่วยให้สามารถป้องกันตัวเองและสินทรัพย์ดิจิทัลได้ และยังเป็นการช่วยปกป้องชุมชนคริปโตโดยรวมอีกด้วย โดยระบบป้องกันภัยไซเบอร์แบบมัลติเลเยอร์ของ Binance คอยดูแลผู้ใช้ตั้งแต่การแจ้งเตือนภัยเล็กน้อยไปจนถึงการช่วยเหลือฉุกเฉินในสถานการณ์เสี่ยง ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อปกป้องผู้ใช้จากภัยคุกคามทางไซเบอร์และการหลอกลวงทางการเงิน โดยมีกลยุทธ์หลักดังนี้

  1. ระบบแจ้งเตือนภัยส่วนบุคคล ผู้ใช้จะได้รับการแจ้งเตือนทันทีผ่านแอปพลิเคชันเมื่อระบบตรวจพบพฤติกรรมที่น่าสงสัย เช่น การโอนเงินไปยังกระเป๋าเงินที่ไม่น่าเชื่อถือ
  2. แบบสอบถามประเมินความเสี่ยง Binance จะส่งแบบสอบถามไปยังผู้ใช้ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถระบุภัยคุกคามและป้องกันตัวเอง
  3. ฐานข้อมูลที่อยู่กระเป๋าเงินที่เป็นอันตราย: Binance ร่วมมือกับบริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ชั้นนำ เพื่อระบุและเตือนผู้ใช้เกี่ยวกับการโอนเงินไปยังที่อยู่กระเป๋าเงินที่ไม่ปลอดภัย
  4. การแช่แข็งการโอนเงินที่ผิดปกติ: Binance สามารถแช่แข็งการโอนเงินที่น่าสงสัย เช่น การโอนเงินไปยังการหลอกลวงประเภทแผนชวนลงทุน (Ponzi schemes)
  5. พักการถอนเงินกรณีฉุกเฉิน: กรณีที่พบพฤติกรรมการทำธุรกรรมที่ผิดปกติหรือมีความเสี่ยงสูง เช่น การทำธุรกรรมจำนวนมากในเวลาอันสั้น Binance อาจจำเป็นต้องระงับการถอนเงินชั่วคราว เป็นระยะเวลาสูงสุด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการตัดสินใจที่ผิดพลาด
  6. ความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย: Binance ร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก เพื่อติดตามและจับกุมกลุ่มอาชญากรไซเบอร์
  7. ติดต่อ Chat Support เมื่อพบปัญหาหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้งานแอปพลิเคชัน Binance ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการยืนยันตัวตนไม่ผ่าน การทำธุรกรรมต่าง ๆ หรือคำถามเกี่ยวกับเหรียญ หรือเรื่องอื่น ๆ ทีมงาน Binance TH by Gulf Binance พร้อมให้ความช่วยเหลือ สามารถติดต่อเราได้ที่ https://www.binance.th/en/chat หรือหากต้องการหาคำตอบด้วยตนเอง สามารถอ่าน FAQ ได้ที่ https://www.binance.th/en/faq

Binance ใช้เทคโนโลยี AI และ Machine Learning ที่ทันสมัยในการตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงอย่างต่อเนื่อง ระบบสามารถวิเคราะห์ธุรกรรมได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ช่วยปกป้องสินทรัพย์ของผู้ใช้จากการถูกโจรกรรมได้ทันท่วงที แม้ว่ารูปแบบการหลอกลวงจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ Binance ก็ยังคงพัฒนาระบบป้องกันอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่าแพลตฟอร์มของเรามีความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งเทคโนโลยีและนโยบายความปลอดภัยระดับโลกทั้งหมดนี้ นำใช้ใน Binance TH เช่นเดียวกัน

มุ่งมั่นสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ

Binance TH จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกระดานเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลกสำหรับคนไทย โดยเฉพาะการมีใบอนุญาตที่ได้รับจากทาง ก.ล.ต. ทั้ง 2 แบบ ไม่ว่าจะเป็น Digital Asset Exchange และ Digital Asset Broker อีกนัยหนึ่งคือความรับผิดชอบต่อผู้ใช้งานไทย โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสามารถเชื่อมการทำงานร่วมกับธนาคารไทยได้ ขณะเดียวกันผู้ใช้งานจะสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีพื้นฐานแบบเดียวกับของ Binance

คำเตือน : คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

เกี่ยวกับไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ 
ไบแนนซ์ คือแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลโดยได้รับใบอนุญาตภายใต้ชื่อบริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด (บริษัทในเครือของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไบแนนซ์ แคปปิตอล แมเนจเมนท์ จำกัด (บริษัทในเครือของกลุ่ม Binance) 

 


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เข้าใจความปลอดภัยของคริปโตเคอร์เรนซี: ทำไมการตรวจสอบย้อนกลับจึงสำคัญสำหรับทุกคน

โดย ดร.กร พูนศิริวงศ์

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และผู้อำนวยการโครงการ Binance TH Academy บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด

“คริปโตฯ เอาไว้ฟอกเงิน” “เงินดิจิทัลติดตามไม่ได้” เป็นคำพูดที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ในสังคมไทย แต่ความจริงแล้วเป็นอย่างไร? ในฐานะผู้ที่ทำงานทั้งด้านการศึกษาและกลยุทธ์ในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรงในประเทศไทย ผมพบเจอความเชื่อผิด ๆ นี้อยู่บ่อยครั้ง ตรงกันข้าม ธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซีไม่เพียงสามารถติดตามได้ แต่ยังมีความโปร่งใสมากกว่าระบบการเงินแบบดั้งเดิมเสียอีก

ทำความเข้าใจง่าย ๆ เรื่องการตรวจสอบในบล็อกเชน

ลองเปรียบเทียบง่าย ๆ นะครับ ถ้าเราจ่ายเงินสดซื้อของในตลาด เราจะติดตามเงินนั้นได้ยากมาก แต่การใช้คริปโตฯ เหมือนกับการโอนเงินผ่านพร้อมเพย์ที่มีการเก็บประวัติทุกรายการ แต่เพิ่มความพิเศษตรงที่ทุกคนสามารถตรวจสอบได้ เหมือนกับมีสำเนาสมุดบัญชีที่โปร่งใสและแก้ไขไม่ได้ ที่ Binance TH ระบบนี้ช่วยป้องกันการทุจริตได้ดีกว่าระบบเดิม ๆ เสียอีก เทคโนโลยีบล็อกเชนจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น

ความปลอดภัยในบริบทประเทศไทยที่เห็นชัดเจน

ความโปร่งใสของบล็อกเชนตอบโจทย์อีกหนึ่งความกังวลที่พบบ่อย นั่นคือเรื่องความปลอดภัย ทุกธุรกรรมบนเครือข่ายคริปโตเคอร์เรนซี เหรียญยอดนิยมอย่าง Bitcoin และ Ethereum ถูกบันทึกถาวร สามารถตรวจสอบได้โดยสาธารณะ และไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้ กลไกนี้สร้างความสามารถในการติดตามบน Chain ที่ไม่มีวันถูกทำลาย ซึ่งเหนือชั้นกว่าระบบการเงินทั่วไป

รายงานอาชญากรรมคริปโตล่าสุดจาก Chainalysis (2024) เผยว่าธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซีที่ผิดกฎหมายมีเพียง 0.24% ของปริมาณธุรกรรมคริปโตทั้งหมด การวิเคราะห์บล็อกเชนสมัยใหม่สามารถติดตามรูปแบบการทำธุรกรรมได้อย่างแม่นยำ ทำให้คริปโตเคอร์เรนซีกลายเป็นตัวเลือกที่ไม่เข้าท่าสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการตรวจจับ

ประเทศไทยกับการพัฒนาไปข้างหน้า

ประเทศไทยถือว่าเป็นผู้นำในภูมิภาคเรื่องการกำกับดูแลคริปโตฯ ก.ล.ต. ของเราออกกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ทำให้ผู้ลงทุนไทยได้รับการคุ้มครองที่ดี เทียบเท่าการลงทุนในตลาดหุ้น จากรายงานการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลล่าสุดของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยว่าปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดคริปโตฯ ไทยมีมูลค่าการซื้อขายกว่า 100,000 ล้านบาท โดยทุกธุรกรรมต้องผ่านการตรวจสอบตัวตน (KYC) เหมือนกับการเปิดบัญชีธนาคาร ทำให้ปลอดภัยกว่าการซื้อขายในตลาดต่างประเทศที่ไม่มีใบอนุญาต ทำให้สามารถติดตามธุรกรรมได้ 100%

แนวทางและข้อกำหนดในการขอใบอนุญาตที่ชัดเจนของ ก.ล.ต. ไทย ส่งผลให้ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนบนกระดานเทรดในประเทศต้องรักษามาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง ทั้งนี้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รายงานว่าปีที่ผ่านมา สามารถติดตามธุรกรรมต้องสงสัยได้ถึง 95% นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าระบบคริปโตฯ ไม่ได้เอื้อต่อการทำผิดกฎหมายอย่างที่หลายคนเข้าใจ

มองไปข้างหน้า

เทคโนโลยีบล็อกเชนกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว รายงานสินทรัพย์ดิจิทัลปี 2567 ของ World Economic Forum คาดว่าภายในปี 2569 ประสิทธิภาพการตรวจจับธุรกรรมผิดปกติจะพัฒนาขึ้นอีก 300% เมื่อเครื่องมือเหล่านี้พัฒนาขึ้น เราเห็นการเพิ่มขีดความสามารถในการจดจำรูปแบบ การติดตามแบบเรียลไทม์ และโมเดลการประเมินความเสี่ยงขั้นสูง 

การศึกษาคือกุญแจสำคัญของคนไทย

จากการสำรวจล่าสุดของสมาคมฟินเทคประเทศไทย พบว่า 73% ของนักลงทุนคริปโตชาวไทยระบุว่า ความปลอดภัยและความสามารถในการติดตามตรวจสอบเป็นปัจจัยสำคัญอันดับหนึ่งในการเลือกแพลตฟอร์มการซื้อขาย สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นในผู้ใช้งานในตลาดของเรา ที่ Binance TH Academy เราจึงเน้นการให้ความรู้แบบเข้าใจง่าย ใช้ตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนไทย

สรุป

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนมุมมองเรื่องคริปโตฯ จากความกลัวและความไม่เข้าใจ มาสู่การเรียนรู้และใช้ประโยชน์อย่างถูกต้อง ด้วยกฎระเบียบที่รัดกุมและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ประเทศไทยมีโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลของภูมิภาค

สำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้เพิ่มเติม Binance TH Academy มีคอร์สออนไลน์ฟรี ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับคนไทย เน้นการประยุกต์ใช้จริงและการลงทุนอย่างปลอดภัย ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นจนถึงระดับมืออาชีพ

ดร.กร พูนศิริวงศ์ ผู้นำด้านกลยุทธ์และการศึกษาของ Gulf Binance โดยนำประสบการณ์ขั้นสูงด้านความปลอดภัยของสินทรัพย์ดิจิทัลและการพัฒนาตลาดมาสู่ระบบนิเวศคริปโตเคอร์เรนซีของประเทศไทยผ่าน Binance TH Academy ดร.กร มุ่งทำงานเพื่อยกระดับความเข้าใจในเทคโนโลยีบล็อกเชนและส่งเสริมแนวทางการซื้อขายที่ปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ

เกี่ยวกับบริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด

ไบแนนซ์ คือแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลโดยได้รับใบอนุญาตภายใต้ชื่อบริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด (บริษัทในเครือของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไบแนนซ์ แคปปิตอล แมเนจเมนท์ จำกัด (บริษัทในเครือของกลุ่ม Binance) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม เว็บไซต์ https://www.binance.th/th


Exit mobile version