Categories
รีวิว

ประแจ (WRENCH)

ในการผลิตประแจที่มีคุณภาพ ส่วนใหญ่จะทำมาจากเหล็กกล้าและขึ้นรูปด้วยวิธีการตีขึ้นรูป แต่ประแจที่นำมาใช้งานที่ดีที่สุดนั้น จะทำมาจากเหล็กกล้าผสมโครเมียมและวานาเนียมและจะขึ้นรูปด้วยวิธีการตีขึ้นรูปเช่นเดียวกับแบบแรก คราวนี้เรามาทำความรู้จักประแจชนิดต่างๆ กันเลยครับ

Categories
รีวิว

Plastwood วัสดุสำหรับงานต้นแบบ

พลาสวูดคืออะไร? พลาสวูดคือ​แผ่นชีท​ชนิด​แข็งที่​ผลิตขึ้น​จาก PVC (Poly Vinyl Chloride) โดย​มี​วัตถุ​ประสงค์​เพื่อ​นำมา​ทดแทน​การ​ใช้​ไม้​ธรรมชาติ แผ่นพ​ลาส​วูดมี​ผู้ผลิต​หลาย​ราย ​แต่โดย​ปกติ​จะ​มี​ขนาด​ความ​กว้าง​มาตรฐาน​ที่ 120 เซนติเมตร

Categories
รีวิว

ผ้านำไฟฟ้า

ผ้านำไฟฟ้า ผ้านำไฟฟ้ามีชื่อภาษาอังกฤษว่า Conductive Fabric อีกหนึ่งอุปกรณ์ E-Textile ที่มีอยู่และใช้งานได้จริง ทอขึ้นจากใยสังเคราะห์ที่มีส่วนผสมของวัสดุนำไฟฟ้า ใช้ตัดเย็บได้จริง ซักล้างทำความสะอาดได้ (ไม่ควรใช้แปรงขัด) ขนาดที่มีจำหน่ายคือ 12 x 13 นิ้ว มีค่าความต้านทานไฟฟ้าต่ำกว่า 0.02Ω ต่อตารางนิ้ว

Categories
รีวิว

เส้นด้ายนำไฟฟ้า

การพัฒนาสิ่งทออิเล็กทรอนิกส์เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2004 และมีการนำตัวอย่างของวัสดุที่ได้รับการพัฒนาขึ้น ไปทดลองใช้ในการผลิตเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์สิ่งทออย่างจริงจัง จำนวนตัวเลขของอุตสาหกรรมนี้มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการเข้ามาสู่ครัวเรือนของสิ่งทออิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางงานฝีมืองาน เย็บ ปัก ถัก ร้อย ที่ทำให้งานอดิเรกของคุณแม่บ้านได้มีโอกาสมาพบงานประดิษฐ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ ของคุณพ่อบ้าน เท่านั้นยังไม่พอ มีแนวโน้มที่จะมีการนำศาสตร์ทั้งสองด้านนี้ ที่เคยอยู่กันคนละด้าน มาผนวกเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดคำศัพท์ใหม่ ที่สามารถแสดงถึงตัวตนของการผสมผสานนี้คือ Fashioning Technology

Categories
รีวิว

หมึกนำไฟฟ้า

หมึกนำไฟฟ้า เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยมในอุตสาหกรรม อิเล็กทรอนิกส์อย่างกว้างขวาง เช่น อุปกรณ์พกพาขนาดเล็ก, RFID, เซลรับแสงอาทิตย์ ฯลฯ

Categories
รีวิว

กาว ชนิดต่างๆ

เมื่อมีการแตกหักของสิ่งของต่างๆ หรือว่าเราต้องการที่จะเชื่อมต่อวัสดุ 2 อย่างเข้าด้วยกัน เรามักจะใช้สารเคมีชนิดหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยประสานสิ่งต่างๆ เหล่านั้นให้ยึดติดกันด้วยดี โดยสารเคมีที่ช่วยในการประสานนี้เรามักจะเรียกมันว่า “กาว” นั่นเอง

Categories
รีวิว

วัสดุสำหรับงานเรซิ่น

มาทำความรู้จักกับวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในงานเรซิ่นกันสักนิดครับ โดยส่วนตัวไม่ค่อยได้ทำงานที่ใช้เรซิ่นจึงไม่มีรูปอุปกรณ์เหล่านี้มาให้ดู แต่ด้วยความละเอียดของเนื้อหาสาระ ก็พอจะนึกภาพออก

Categories
รีวิว

สวิตช์ปรอทตรวจจับความเอียง

ป​รอท เป็น​โลหะหนัก มี​ลักษณะ​คล้าย​ตะกั่ว​แต่​เป็น​ของเหลว​และ​สามารถ​นำ​ไฟฟ้า​ได้ดี จึง​สามารถ​นำมาใช้​เป็น​ตัวเชื่อม​ระหว่าง​ขั้ว​ไฟฟ้า​ได้ ทำเป็น​สวิตช์ที่​มี​การ​ปิด​วงจร​คือ​การนำ​ไฟฟ้า​เมื่อป​รอท​ไหล​มายัง​ ขั้ว​ไฟฟ้า​ทั้งสอง​ด้าน

Categories
รีวิว

เลื่อยไฟฟ้า

เราลองมาทำความรู้จักกับเลื่อยอีกรูปแบบหนึ่งที่อาศัยพลังงานอย่างอื่นเข้ามาช่วยในการผ่อนแรงในขณะที่เรากำลังเลื่อยชิ้นงาน ทำให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วในการทำงานมากยิ่งขึ้น สิ่งที่เรากำลังจะกล่าวถึงนี้ นั้นก็คือ “เลื่อยไฟฟ้า (POWER SAW)” นั่นเอง

แต่สิ่งที่ช่วยให้เลื่อยไฟฟ้าสามารถทำงานได้อย่างเต็มความสามารถของมันนั้นคือ “มอเตอร์ไฟฟ้า(ELECTRIC MOTOR)” ถ้า ปราศจากเจ้าสิ่งนี้แล้วเลื่อยไฟฟ้าก็จะเหมือนเลื่อยมือธรรมดาเท่านั้นเอง ก่อนที่จะอธิบายถึงเลื่อยไฟฟ้า เราจะมากล่าวถึงการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าเสียก่อน เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

มอเตอร์ไฟฟ้า (ELECTRIC MOTOR)
มอเตอร์ไฟฟ้ามีอยู่หลายประเภทด้วยกัน แต่ที่กล่าวถึงในที่นี้จะกล่าวถึงมอเตอร์ไฟฟ้าแบบสองขั้ว (TWO-POLE DC ELECTRIC MOTOR) ซึ่งจะมีส่วนประกอบหลัก ๆ อยู่ด้วยกัน 6 ส่วน คือ แกนอาร์เมเจอร์หรือโรเตอร์ (Amature or rotor), คอมมิวเตเตอร์(Commutator), แปลงถ่าน (Brushes), แกนหมุน (Axle), สนามแม่เหล็ก (Field magnet) และแหล่งจ่ายไฟ (DC power supply)

การทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าจะเริ่มจาก ตัวมอเตอร์จะอาศัยสนามแม่เหล็กเป็นตัวช่วยในการหมุนของแกนมอเตอร์ โดยถ้าคุณเคยนำแท่งแม่เหล็ก 2 แท่ง มาชนกันโดยนำปลายของแม่เหล็กทั้งสองซึ่งมีขั้วที่เหมือนกัน ก็จะทำให้แม่เหล็กทั้งสองผลักกัน แต่ถ้านำปลายของแม่เหล็กทั้งสองซึ่งมีขั้วที่ต่างกัน ก็จะทำให้แม่เหล็กทั้งสองดูดกัน ภายในการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า ก็เช่นเดียวกัน แรงแม่เหล็กที่ถูกสร้างขึ้นโดยขดลวดก็จะทำให้มอเตอร์หมุนไปได้

เมื่อรู้จักการทำงานของมอเตอร์กันมาบ้างแล้ว มาคราวนี้เราก็มาทำความรู้จักกับเลื่อยไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ กันเลยดีกว่าครับ

เลื่อยฉลุไฟฟ้า (Jig Saw or Saber Saw)

เลื่อยไฟฟ้าชนิดนี้เป็นเลื่อยไฟฟ้าที่เราพบเห็นได้ ง่ายที่สุด และถือได้ว่เป็นเลื่อยที่ถูกนำมาใช้งานตามบ้านมากที่สุดด้วย จนเรียกเลื่อยชนิดนี้อีกชื่อหนึ่งว่า “เลื่อยเอนกประสงค์” อันเนื่องมาจากใช้งานง่ายและมีความคล่องตัวในการใช้งานรวมไปถึงการพกพาที่ สะดวกด้วย ลักษณะของเลื่อยชนิดนี้จะมีลักษณะคล้ายเตารีด โดยที่ด้ามถือจะมีลักษณะเป็นห่วง ทำให้ในขณะใช้งานเราจึงสามารถถือเลื่อยชนิดนี้ ด้วยมือเพียงข้างเดียวได้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็คอยประคองให้ตัวเลื่อยเคลื่อนที่ไปตามแนวที่เราต้อง การตัด ภายในของเลื่อยชนิดนี้จะประกอบไปด้วยชุดมอเตอร์และชุดฟันเฟืองที่ทำหน้าที่ ในการขยับใบเลื่อยให้ขึ้นและลงเป็นแนวตรงคล้ายกับจักรเย็บผ้า ที่บริเวณฐานของเลื่อยบางรุ่นยังสามารถปรับให้เลื่อยเอียงได้ถึง 45 องศา เพื่อทำการตัดไม้ในมุมเอียงได้ด้วย

ในการเลือกใช้ใบเลื่อยนั้น จะต้องเลือกให้ถูกต้องกับชนิดของงาน เพื่อให้งานที่ออกมานั้นมีความสวยงามและถูกต้อง โดยใบเลื่อยที่ใช้ในการตัดไม้จะมีจำนวนฟันประมาณ 3-14 ฟัน ต่อนิ้ว ถ้าจำนวนฟันมีความถี่มากจะทำให้เวลา ในการเลื่อยช้า แต่ชิ้นงานที่ได้จะมีความเรียบ ฟันเลื่อยแบบนี้จะเหมาะกับไม้เนื้อแข็ง ในขณะที่ฟันหยาบ จะใช้เวลาในการเลื่อยนั้นเร็ว แต่ชิ้นงานที่ได้จะมีผิวที่ไม่ค่อยเรียบ ฟันเลื่อยแบบนี้จะเหมาะกับไม้เนื้อแข็ง ส่วนใบเลื่อยตัดเหล็กจะมีจำนวนฟันประมาณ 14-32 ฟันต่อนิ้ว โดยในการตัดโลหะนั้นจะต้องให้ฟันเลื่อยอย่างน้อย 2 ซี่ สัมผัสกับความหนาของขอบชิ้นงานทุกครั้ง มิฉะนั้นอาจจะทำให้รอยตัดที่ออกมานั้นหยาบและใบอาจจะหักในขณะที่ทำการเลื่อย ได้ นอกจากใบเลื่อยทั้งสองที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีใบเลื่อยอีกหลายแบบ เช่น ใบเลื่อยชุบคาร์ไบด์ เหมาะสำหรับงานตัดชิ้นงานที่เป็นคอนกรีต กระเบื้องเซรามิก เหล็ก ไฟเบอร์กลาส และวัสดุอื่นๆ เป็นต้น

เลื่อยวงเดือน (Circular Saw)


เลื่อยชนิดนี้เป็นเลื่อยที่ใช้กับชิ้นงานที่มีขนาด ค่อนข้างจะใหญ่ และมีกำลังในการตัดชิ้นงานสูง โดยส่วนใหญ่แล้วเลื่อยวงเดือนจะมีกำลังงานตั้งแต่ 500-1,500 วัตต์ เพื่อให้เหมาะกับงานที่จะใช้ ขนาดของตัวเลื่อยจะกำหนดจากขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของใบเลื่อย ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 3 3/8-16 5 /16 นิ้ว รุ่นที่นิยมใช้มากที่สุดจะเป็นรุ่นขนาด 7 ¼ นิ้ว ซึ่งมีความคล่องตัวในการใช้งานมากที่สุด ลักษณะภายนอกของตัวเลื่อยจะประกอบไปด้วย

ใบเลื่อย (Blade) จะ มีอยู่หลายแบบหลายชนิดด้วยกัน ขึ้นอยู่กับงานที่จะนำไปใช้งาน เช่น ใบเลื่อยผสม จะใช้สำหรับตัดไม้ทางขวางหรือตามเสี้ยนไม้ ใบเลื่อยชนิดนี้จะมีฟันเลื่อยขนาดใหญ่ทำให้ตัดไม่ได้อย่างรวดเร็ว แต่ขอบจะมีลักษณะหยาบ,ใบ เลื่อยตัด จะใช้สำหรับตัดขวางแนวเสี้ยนไม้ ลักษณะของฟันเลื่อยจะเป็นซี่ละเอียดสลับกับฟันลบมุมคม ทำให้ตัดได้นุ่มนวล เหมาะที่จะนำไปตัดไม้อัดและไม้บาง, ใบเลื่อยไส จะใช้สำหรับตัดขวางและตัดมุมเอียง,ใบ เลื่อยซอย ออกแบบมาสำหรับตัดตามเสี้ยนไม้ได้อย่างรวดเร็ว มีร่องฟันเลื่อยที่ลึก จึงทำให้คายเศษชิ้นไม้หรือขี้เลื่อยได้ดี เป็นต้น ในการติดตั้งใบเลื่อยจะต้องให้คมของใบเลื่อยหงายขึ้นทุกครั้ง

ฝาครอบกันใบเลื่อย (Blade Guard) จะติดตั้งอยู่ 2 ส่วน คือ ส่วนบนและส่วนล่าง มีไว้เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในขณะกำลังเลื่อยชิ้นงานอยู่ โดยจะป้องกันอันตรายจากใบเลื่อยเองและเศษขี้เลื่อยที่อาจจะกระเด็นไปถูกผู้ ปฏิบัติงาน

คันยกครอบกันใบเลื่อยด้านล่าง ใช้ในการโยกให้ฝาครอบกันใบเลื่อยด้านล่าง เลื่อนออกมาจากใบเลื่อยเพื่อให้สะดวกในการถอดเปลี่ยนใบเลื่อย

ฐานเครื่อง จะมีลักษณะเป็นโลหะชิ้นเดียวกันทั้งแผ่น ใช้ในการรองเลื่อยวงเดือนให้วางอยู่บนชิ้นงานที่เราทำการตัดได้อย่างมั่นคงตัวล็อกฐาน (Tilt Adjustment) ใช้ในการปรับฐานเครื่องกับตัวเลื่อยให้ทำมุมกับชิ้นงาน โดยสามารถปรับได้สูงสุด 45 องศา กับตัวชิ้นงาน

ด้ามจับและไกสวิตซ์ (Handle and Power Switch) ลักษณะ ของด้ามจับจะมีรูปร่างที่สามารถให้มือสอดเข้าไปจับตัวด้ามจับได้ถนัด และบริเวณด้านในของด้ามจับจะมีไกสวิตซ์ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเปิดและปิดการทำ งานของเลื่อย โดยถ้าต้องการให้เลื่อยทำงานก็ให้กดสวิตซ์ลง แต่ถ้าต้องการหยุดการทำงานก็ให้ปล่อยไกสวิตซ์ ในเลื่อยบางรุ่นจะมีปุ่มกดเพิ่มขึ้นมาทางด้านข้างของไกสวิตซ์เมื่อทำการกด ปุ่มนี้แล้วไกสวิตซ์ก็จะถูกกดค้างไว้โดยที่เราไม่ต้องทำการกดไกสวิตซ์เลย

แท่นเลื่อยวงเดือน (Table Saw)

เป็นเลื่อยที่ได้รับความนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายตาม โรงเลื่อยต่าง ๆ เพราะเนื่องมาจากสามารถตัดแผ่นไม้ที่มีขนาดใหญ่ ๆ ได้อย่างสบาย และนอกจากนั้นยังสามารถที่จะตัดไม้ให้มีลักษณะต่าง ๆกัน ได้อย่างมากมาย เช่น การเซาะร่อง,การตัดทำเดือย,การบากชิ้นงาน,การตัดเฉียง เป็นต้น ลักษณะของเลื่อยชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นแท่นตัดผิวเรียบ

ด้านล่างติดตั้งมอเตอร์พร้อมใบเลื่อยวงเดือน บริเวณปลายของใบเลื่อยจะโผล่ขึ้นมาจากแท่นตัดโดยที่จะมีฝาครอบกันใบเลื่อย คอยป้องกันไม่ให้เศษขี้เลื่อยกระเด็นเข้าตาเราได้ ที่ปลายของใบเลื่อยที่โผล่พ้นมากหรือน้อยก็ได้ขึ้นอยู่กับความหนาของไม้ นอกจากนั้นใบเลื่อยยังสามารถปรับมุมเอียงได้สูงสุด 45 องศา ลักษณะของใบเลื่อยจะใช้เช่นเดียวกับเลื่อยวงเดือน ที่บริเวณแท่นตัดจะมีคานบังคับไม้สำหรับยึดไม้ เพื่อป้อนไม้ให้เป็นแนวเส้นตรง

ข้อควรระวัง : เนื่อง มาจากเลื่อยวงเดือนมีความสามารถในการตัดชิ้นงานที่สูง จึงควรใช้ความระมัดระวังและรอบคอบในการใช้งานทุกครั้ง เช่น เมื่อต้องการจะเปลี่ยนใบเลื่อยจะต้องทำการปิดสวิตซ์และถอดปลั๊กไฟก่อนทุก ครั้ง,สวมแง่นนิรภัยป้องกันดวงตาและหน้ากากกันฝุ่น พร้อมกับใส่ที่อุดหู ในขณะปฏิบัติงาน เพื่อป้องกันเศษขี้เลื่อยและเสียงของตัวเลื่อย, เป็นต้น

เลื่อยตัดปรับมุม (Miter Saw)

เลื่อยชนิดนี้เป็นเลื่อยที่สามารถทำการปรับมุมได้ตั้งแต่ 45-90 องศา ได้คงที่ตลอดเวลา โดยที่ไม่ต้องทำการปรับตั้งมุมบ่อย ๆ จึงทำให้นิยมนำไปใช้ในการตัดไม้เพื่อทำวงกรอบ,คิ้ว บัวหรือกรอบรูป เป็นต้น ในจำนวนมากๆ ทำให้ประหยัดเวลาในการเลื่อยไม้ แต่เลื่อยชนิดนี้ไม่เหมาะที่จะนำไปเลื่อยวัสดุที่เป็นเหล็ก ลักษณะของเลื่อยโดยทั่วไปจะเหมือนกับเลื่อยวงเดือนแต่เลื่อยตัดปรับมุมจะมี ฐานโลหะและมีแท่นปรับมุมเพิ่มขึ้นมา ในการปรับมุมตัดให้ทำการหมุนแท่นตัดไปตามองศาที่ต้องการแล้วทำการล็อคแท่น ตัดให้แน่น เลื่อยตัดปรับมุมที่ขายอยู่ในท้องตลาดจะมีอยู่ด้วยกันหลายขนาด แต่ที่นิยมใช้กันจะเป็นขนาด 10 นิ้ว ใบเลื่อยที่ใช้โดยส่วนใหญ่จะเป็นใบเลื่อยแบบผสม อันเนื่องมาจากรอยตัดที่ได้จะเรียบพอสมควร แต่ถ้าเราต้องการงานตัดที่มีความเรียบเป็นพิเศษควรใช้ใบเลื่อยไสหรือชนิด ปลายคาร์ไบ

เลื่อยชักใบ (Reciprocating Saw)

เลื่อยชักใบเป็นเลื่อยที่ถือได้ว่ามีความคล่องตัวใน การใช้งานมากที่สุด ลักษณะของเลื่อยจะมีลักษณะคล้ายกับสว่านมือ การทำงานของใบเลื่อยจะขยับขึ้นลงตามแนวตรงเหมือนกับในเลื่อยฉลุไฟฟ้าจึงถือ ได้ว่าเลื่อยชนิดนี้เป็นเลื่อยเอนกประสงค์อีกชนิดหนึ่งที่สามารถนำไปใช้งาน ตามสถานที่ต่าง ๆได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว รวมทั้งยังสามารถที่จะนำไปตัดวัสดุได้แทบจะทุกชนิดเลยทีเดียว (ขึ้นอยู่กับใบเลื่อย) ตัว เลื่อยถูกออกแบบมาสำหรับการผ่าไม้แปรรูปและใช้ในงานก่อสร้าง เช่น ตัดช่องเปิดเพื่อติดตั้งประตู หน้าต่าง ช่องแอร์ หรืองานประปา เป็นต้น

ความเร็วในการเคลื่อนที่ของใบเลื่อยในบางรุ่นไม่สามารปรับความเร็วได้จะมีเพียงความเร็วในระดับเดียว คือประมาณ 2,000รอบต่อนาที ในบางรุ่นสามารถปรับได้ถึง 2 ระดับ และในบางรุ่นก็สามารถที่จะปรับได้หลายระดับเลยทีเดียว โดยความเร็วในการเคลื่อนที่ของใบเลื่อยนี้จะต้องสัมพันธ์กับการตัดวัสดุด้วย นั่นก็คือ เมื่อต้องการตัดเหล็กจะต้องใช้ความเร็วที่ต่ำ แต่ถ้าต้องการตัดวัสดุจำพวกพลาสติกควรจะใช้ความเร็วปานกลาง และถ้าต้องการตัดวัสดุจำพวกไม้หรือไม้อัด ควรจะใช้ความเร็วที่สูง ใบเลื่อยที่ใช้นั้น จะมีความยาวตั้งแต่ 2 ½ – 12 นิ้ว ลักษณะของฟันเลื่อยจะมีลักษณะเหมือนกับใบเลื่อยฉลุ ลักษณะในการจับเลื่อย ให้ใช้มือข้างหนึ่งจับที่บริเวณด้ามจับ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งให้จับที่คอจับให้มั่นคง แล้วจึงทำการกดไกสวิตซ์เพื่อทำการเลื่อยชิ้นงาน

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเลื่อยไฟฟ้าชนิดต่าง ๆที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ยังมีอีกหลายชนิดที่เรายังไม่ได้แนะนำ เช่นเลื่อยสายพานใช้ในการเลื่อยไม้ พลาสติก อะลูมิเนียม และแผ่นโลหะ เป็นต้น นอกจากนั้นใบเลื่อยบางชนิดที่กล่าวมานี้นอกจากจะใช้ไฟบ้านเป็นตัวจ่าย พลังงานแล้ว ยังมีแบบที่ใช้แบตเตอรี่อีกด้วย ซึ่งทำให้เกิดความสะดวกในการใช้งานยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับในการใช้งานในเลื่อยชนิดต่าง ๆ จะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลัง และควรจะเก็บให้พ้นจากมือเด็กด้วยนะครับ

Categories
รีวิว

มิเตอร์

“ถ้าพูดถึงมิเตอร์แล้วนักประดิษฐ์บางท่านอาจจะนึกไปถึงมิเตอร์วัดไฟตามบ้าน ที่แขวนอยู่ตามเสาไฟฟ้ายิ่งมันหมุนเร็วเท่าไร พอบิลค่าไฟมาทีไรก็จะเป็นลมทุกทีไป ส่วนนักประดิษฐ์ที่ต้องมีการคลุกคลี เกี่ยวกับทางด้านไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์แล้วจะรู้จัก และคุ้นเคย

กับการใช้งานมิเตอร์ชนิดต่างๆ เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

ดังนั้นในบทความนี้จึงจะมา และนำให้นักประดิษฐ์แต่ละท่านได้รู้จักกับมิเตอร์ชนิดต่างๆ รวมทั้งได้รู้จักวิธีการใช้งาน เพื่อที่ว่าจะได้นำมันไปใช้งาน ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสิ่งประดิษฐ์ที่ท่านประดิษฐ์อยู่ คราวนี้เราก็มาทำความรู้จักกับมิเตอร์ชนิดต่าง ๆ กันเลย”

โวลต์มิเตอร์ (Voltmeter)

มิเตอร์ชนิดนี้จะมีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันโดยแบ่งตามลักษณะที่นำไปใช้ ได้แก่โวลต์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง (DC Voltmeter) ใช้สำหรับวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current) โดยส่วนใหญ่แล้ว ย่านการวัดของมิเตอร์ จะสามารถวัดได้ตั้งแต่เป็นมิลลิโวลต์ (mV) ไปจนถึงหลายหมื่นโวลต์ และโวลต์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Voltmeter) ใช้สำหรับวัดกระแสไฟฟ้าสลับ (Alternating Current) ย่านการวัดของมิเตอร์จะเหมือนกับโวลต์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง การใช้งานของมิเตอร์ทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีลักษณะที่คล้ายกัน นั่นก็คือ เวลาที่นำโวลต์มิเตอร์ไปวัดแรงดันไฟฟ้า (Voltage) ให้ นำหัววัด ไปวัดคร่อม ตรงจุดที่เราต้องการวัด ข้อควรระวังในการใช้โวลต์มิเตอร์กระแสตรงจะอยู่ที่รเจะต้องระมัดระวังเรื่อง ของขั้วไฟฟ้า และควรจะทำการปรับย่านวัดให้สูงไว้ก่อนแล้วจึงค่อยปรับลดลงมา ให้อ่านง่ายขึ้น เพราะมิฉะนั้นอาจจะทำให้ตัวมิเตอร์เกิดความเสียหายได้

แอมมิเตอร์ (Ammeter)

แอมป์มิเตอร์ชนิดนี้จะมีอยู่ 2 ชนิด อันได้แก่แอมป์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง (DC Amp meter) ใช้สำหรับวัดกระแสไฟฟ้ากระแสตรง (DCAmpere) โดยส่วนใหญ่ย่านการวัดของมิเตอร์ชนิดนี้ จะสามารถวัดได้ตั้งแต่ เป็นไมโครแอมป์ ไปจนถึงหลายร้อยแอมป์ และแอมป์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Amp meter) ใช้สำหรับวัดกระแสไฟฟ้ากระแสสลับ (DCAmpere) ย่านการวัดจะเหมือนกับแอมป์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง ลักษณะการใช้งานของแอมป์มิเตอร์ ก็คือเวลานำแอมป์มิเตอร์ไปวัดกระแสไฟฟ้า (Ampere) ไป ต่ออนุกรม กับจุดที่เราต้องการวัด ข้อควรระวังในการใช้แอมป์มิเตอร์ กระแสตรงจะต้องคำนึงถึงขั้วไฟฟ้า และควรจะทำการปรับย่านวัดให้สูงไว้ก่อนแล้วจึงปรับลดลงมาให้อ่านง่ายขึ้น เพราะมิฉะนั้นจะทำให้มิเตอร์ เกิดความเสียหายอันเกิดจากการกลับขั้วได้

วัตต์มิเตอร์ (Wattmeter)

วัตต์มิเตอร์มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน โดยส่วนใหญ่แล้วเราจะพบเห็นได้ง่ายตามเสาไฟฟ้าและติดอยู่ที่หน้าบ้านของเรา เอง เราจะเรียกวัตต์มิเตอร์ชนิดนี้ว่า “กิโลวัตต์-เอาร์มิเตอร์” (Kilowatt-Hour Meter) มิเตอร์ ชนิดนี้โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีทั้งแบบ เป็นจานหมุนซึ่งใช้งานตามบ้านทั่วๆ ไป และอีกแบบหนึ่ง จะเป็นลักษณะของตัวเลขดิจิตอลซึ่งใช้ตามโรงงานอุตสาหกรรมหรือตามสถานที่ที่ มีการใช้ปริมาณสูง ๆ มิเตอร์ชนิดนี้จะใช้สำหรับวัดปริมาณกำลังไฟฟ้า (Watt) โดยจะสามารถใช้วัดได้ทั้งไฟฟ้ากระแสตรงและไฟฟ้ากระแสสลับ

โอห์มมิเตอร์ (Ohmmeter)

มิเตอร์ชนิดนี้มีไว้สำหรับวัดค่าความต้านทาน ของวัสดุที่มีความต้านทานอยู่ภายใน เช่น ตัวต้านทาน (Resistor) เป็น ต้น โดยภายในของโอห์มมิเตอร์จะมีแบตเตอรี่ เพื่อให้ตัวมิเตอร์สามารถอ่านค่าความต้านทาน ได้โดยตรงโดยไม่ต้องอาศัยแหล่งจ่ายไฟจากภายนอกเลย ก่อนที่จะนำโอห์มมิเตอร์ไปวัดความต้านทานนั้น จะต้องทำการปรับตั้งค่าความต้านทานที่ใช้ควบคุมโอห์มมิเตอร์จนกระทั่งเข็ม หรือตัวเลขชี้ที่ศูนย์โอห์ม(Adjust Zero Ohm) การ ปรับตั้งค่าก็เพียงแต่นำสายวัดของโอห์มมิเตอร์ก็คือในขณะทำงานทำการวัดค่า ความต้านทานจะต้องไม่มีแหล่งจ่ายไฟจากภายนอกเพราะจะทำให้เข็มหรือตัวเลข ดิจิตอลเกิดการเสียหาย

มัลติมิเตอร์ (Multimeter)

มัลติมิเตอร์ถือได้ว่าเป็นที่นิยมกันอย่างมากเพราะภายในตัวมิเตอร์ได้ทำ การรวมเอามิเตอร์แบบต่างๆ มารวมไว้ในตัวเดียวกัน เช่น โวลต์มิเตอร์,แอมมิเตอร์ และโอห์มมิเตอร์ เป็นต้น ทำให้เกิดความสะดวก ในการใช้งานจริงตามพื้นที่ต่างๆ ลกษณะการใช้งาน ก็เพียงแต่ทำการปรับย่านวัดให้ตรงกับสิ่งสิ่งที่เราต้องการจะวัด แล้วจึงจะทำการวัดตามแบบของมิเตอร์ชนิดนั้นๆ ต่อไป

เทอร์โมมิเตอร์ (Thermometer)

เมื่อกล่าวถึงเทอร์โมมิเตอร์แล้ว ทุกท่านก็จงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี ในนามของ “ปรอทวัดไข้” เพราะเคยได้สัมผัสกันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็เคยใช้ทั้งนั้น แต่จริง ๆแล้วเทอร์โมมิเตอร์นั้นถือได้ว่ามีบทบาทเป็นอย่างมากสำหรับทุกวงการเลยที เดียว ไม่ว่าจะเป็นวงการแพทย์, เกษตรกรรม, อุตสาหกรรม และไม่เว้นแม้แต่ในชีวิตประจำวันของเรา ๆ ท่านๆก็ล้วนแต่ต้องพึ่งเจ้าเทอร์โมมิเตอร์ด้วยกันทั้งนั้น เทอร์โมมิเตอร์มีอยู่หลายแบบด้วยกัน ได้แก่ แบบเข็ม, แบบใช้สารปรอท และแบบเป็นตัวเลข ดิจิตอล เป็นต้น

ออสซิสโลสโคป (Oscilloscope)

ออสซิสโลสโคป ถือได้ว่าเป็นมิเตอร์อีกชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกันกับมิเตอร์แบบอื่น ๆ แต่ลักษณะภายนอกของออสซิสโลสโคป จะมีลักษณะเหมือนกับหน้าจอของเครื่องรับโทรทัศน์ขนาดเล็ก พร้อมกับมีปุ่มต่างๆ ไว้สำหรับปรับตั้งค่าให้เหมาะสมกับงานที่ต้องการวัด โดยส่วนใหญ่ออสซิสโลสโคป จะถูกนำมาใช้งานที่เกี่ยวข้องกับ ทางด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นจำนวนมาก เพราะตัวเครื่องจะแสดงลักษณะเป็นคลื่นทางไฟฟ้า ทำให้บรรดาช่างและวิศวกรสามารถที่จะวิเคราะห์รูปคลื่น เพื่อนำไปออกแบบวงจร หรือวิเคราะห์ อาการเสียของอุปกรณ์ไฟฟ้าได้

นี่เป็นเพียงตัวอย่างของมิเตอร์ชนิดต่าง ๆ ที่เราได้แนะนำให้ได้รู้จักกัน แต่ความเป็นจริงแล้ว ยังมีมิเตอร์อีกหลายชนิด เช่น มิเตอร์วัดค่าคาปาซิสแตนซ์, มิเตอร์ วัดค่า อินดักแตนซ์ เป็นต้น สำหรับท่านที่ต้องการนำมิเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานนั้น จะต้องทำการศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของมิเตอร์แต่ละตัวเสียก่อน เพื่อที่จะได้ประหยัดทั้งเงินและเวลาในการปฏิบัติงานจริง แล้วในตอนหน้าเราค่อยมาติดตามถึง เครื่องมือชิ้นต่อไปกันครับ สำหรับในตอนนี้เนื้อที่หมด หรือเนื้อหาหมดล่ะจ๊ะ อิอิ สวัสดีครับ

Exit mobile version