Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ บทความ เทคโนโลยี

“ความน่าเชื่อถือ” และ “ความปลอดภัย” สองปัจจัยสำคัญกำหนดอนาคต Generative AI”

บทความโดย เอวิวา ลิทาน รองประธานฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ 

ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วแบบหายใจรดต้นคอของนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์เอไอแบบรู้สร้าง หรือ Generative AI ทำให้เกิดความวิตกด้านความปลอดภัยและความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นตามมา มีนักกฎหมายบางรายเสนอกฎระเบียบและข้อบังคับใหม่เพื่อกำกับดูแลเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ต่าง ๆ และยังมีผู้นำธุรกิจและเทคโนโลยีบางคนออกมาแนะนำให้ระงับการฝึกระบบเอไอเป็นการชั่วคราวเพื่อเป็นการประเมินด้านความปลอดภัยของตน

Generative AI อยู่รอบตัวเรา 

ความเป็นจริงที่ว่าการพัฒนา Generative AI ไม่หยุดอยู่เท่านี้ องค์กรจำเป็นต้องดำเนินการตั้งแต่ตอนนี้เพื่อกำหนดกลยุทธ์ภาพรวมสำหรับจัดการด้านความน่าเชื่อถือ ความเสี่ยง และการรักษาความปลอดภัยของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (หรือ AI TRiSM) ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อเรียนรู้และเข้าใจเครื่องมือ AI TRiSM สำหรับใช้จัดการข้อมูลและกระบวนการระหว่างผู้ใช้และบริษัทที่เป็นเจ้าของโมเดลพื้นฐานของ Generative AI

เวลานี้ยังไม่มีเครื่องมือสำเร็จรูปใดในตลาดที่รับรองความเป็นส่วนตัวแก่ผู้ใช้อย่างเป็นระบบหรือสามารถกรองเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อนำโมเดลเหล่านี้มาใช้งาน ตัวอย่างเช่น การกรองข้อมูลที่ไม่ถูกต้องออกจากข้อเท็จจริง รูปภาพที่ไม่มีอยู่จริง เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์หรือข้อมูลที่เป็นความลับ

นักพัฒนา AI ต้องทำงานร่วมกับผู้กำหนดนโยบายเป็นกรณีเร่งด่วน รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลที่เกิดขึ้นมาใหม่ เพื่อกำหนดนโยบายและวางแนวทางปฏิบัติสำหรับการกำกับดูแลและการจัดการความเสี่ยงของเอไอ

ความเสี่ยงสำคัญที่กระทบองค์กร

Generative AI ก่อให้เกิดความเสี่ยงใหม่ ๆ หลายประการ ประการแรกคือ “ล่อลวงด้วยภาพลวงตา (Hallucinations)” และการปลอมแปลง อาทิ ข้อมูลที่ผิดแปลกไปจากข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นปัญหายอดนิยมที่สุดซึ่งเกิดขึ้นแล้วกับโซลูชัน Chatbot ของ Generative AI กรณีข้อมูลการฝึกอบรม กรณีการตอบสนองที่มีอคติ ไม่อยู่ในหลักสมมุติฐานหรือมีความไม่ถูกต้อง กรณีเหล่านี้ตรวจจับได้ยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโซลูชันนั้นมีความน่าเชื่อถือและมีผู้ใช้จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ

ความเสี่ยงต่อมา คือ Deepfakes เมื่อ Generative AI ถูกนำไปใช้สร้างเนื้อหาที่มีเจตนามุ่งร้าย ซึ่งล้วนเป็นความเสี่ยงสำคัญ เช่น รูปภาพปลอม วิดีโอปลอม รวมถึงการบันทึกเสียงปลอม ที่มักถูกใช้เพื่อโจมตีเหล่าคนดังและนักการเมือง เพื่อนำไปสร้างและเผยแพร่ข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด หรือแม้กระทั่งใช้สร้างบัญชีปลอมหรือเข้าไปยึดและเจาะบัญชีที่ถูกต้องตามกฎหมายที่มีอยู่เดิมตัวอย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ คือ กรณีภาพพระสันตปาปาฟรานซิสที่สวมแจ็กเก็ตแฟชั่นสีขาวที่สร้างขึ้นโดย AI และกลายเป็นไวรัลบนโซเชียลมีเดีย แม้จะดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่ก็ทำให้เรามองเห็นอนาคตของ Deepfakes ในการปลอมแปลงคนมีชื่อเสียง ลอกเลียนแบบ ล่อลวง และความเสี่ยงทางการเมืองต่อทั้งตัวบุคคล องค์กร และภาครัฐบาล

ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Data privacy) ก็น่ากังวลใจไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะเมื่อองค์กรให้สิทธิ์พนักงานสามารถเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและเป็นกรรมสิทธิ์ขององค์กรได้อย่างง่ายดายเมื่อใช้โซลูชัน Generative AI Chatbot โดยแอปพลิเคชันเหล่านี้อาจจัดเก็บข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามา หรือแม้แต่ข้อมูลที่ใช้ป้อนเพื่อฝึกอบรมโมเดลเอไออื่น ๆ โดยข้อมูลดังกล่าวอาจตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดีกรณีที่เกิดการละเมิดความปลอดภัย

ต่อมาคือ ปัญหาด้านลิขสิทธิ์ (Copyright Issues) แชทบอท Generative AI ได้รับการฝึกอบรมด้านข้อมูลอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก ซึ่งอาจรวมถึงเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ โดยอาจมีผลลัพธ์บางอย่างละเมิดการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญา (IP) หากไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มาหรือมีความโปร่งใสเกี่ยวกับวิธีสร้างผลลัพธ์ ดังนั้นวิธีเดียวที่จะลดความเสี่ยงนี้คือให้ผู้ใช้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา

สุดท้าย คือ ข้อกังวลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Concerns) นอกเหนือจากการล่อลวงทางวิศวกรรมทางสังคมขั้นสูงและภัยคุกคามแบบฟิชชิงแล้ว ผู้โจมตีสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้สร้างโค้ดอันตราย (Malicious Code) ได้ง่ายขึ้น

ผู้ขายที่นำเสนอโมเดลพื้นฐาน Generative AI ต้องให้ความมั่นใจกับลูกค้าว่าได้มีการฝึกฝนและทดสอบโมเดลดังกล่าวนี้เพื่อปฏิเสธคำขอด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตามผู้ขายจะไม่ได้ให้เครื่องมือตรวจสอบการควบคุมความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพทั้งหมดแก่องค์กร โดยพวกเขายังให้ความสำคัญกับแนวทางป้องกันแบบ “ทีมผู้บุกรุกสีแดง หรือ Red Teaming ที่เป็นแนวทางการทดสอบระบบโดยแสร้งเป็นผู้บุกรุกทางดิจิทัลหรือทางกายภาพ เป็นอย่างมาก ซึ่งการใช้แนวทางนี้คือต้องการให้องค์กรมั่นใจเต็มที่กับความสามารถต่าง ๆ ที่ผู้ขายนำเสนอสำหรับจัดการตามเป้าหมายด้านความปลอดภัย

รับมือและจัดการความเสี่ยงจาก AI 

มีแนวทางทั่วไปที่เราสามารถดึงศักยภาพของ ChatGPT และแอปพลิเคชันที่คล้ายกันมาใช้อยู่สองแบบ ได้แก่ Out-Of-The-Box Model ที่ใช้ประโยชน์จากบริการที่มีอยู่เดิม โดยไม่ปรับแต่งค่าใด ๆ เพิ่มเติม และแนวทางที่สองคือ Prompt Engineering ที่ใช้เครื่องมือสร้าง ปรับแต่ง และประเมินข้อมูลอินพุตและเอาต์พุต

สำหรับการใช้ Out-Of-The-Box Model องค์กรต้องตรวจสอบข้อมูลเอาต์พุตของโมเดลทั้งหมดด้วยตนเอง เพื่อตรวจหาผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้อง ข้อมูลที่ผิดหรือคลาดเคลื่อนไม่เป็นกลาง โดยกำหนดกรอบการกำกับดูแลและการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อเปิดใช้โซลูชันจำพวกนี้ในองค์กร พร้อมวางนโยบายที่ชัดเจน ห้ามพนักงานถามคำถามที่เปิดเผยข้อมูลองค์กรหรือข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อน

องค์กรควรตรวจสอบการใช้งาน ChatGPT และโซลูชันที่คล้ายคลึงกันที่ไม่ได้รับอนุญาตด้วยการควบคุมความปลอดภัยและแดชบอร์ดที่มีอยู่สำหรับตรวจจับการละเมิดนโยบายการใช้งาน เช่น ไฟร์วอลล์ที่สามารถบล็อกการเข้าถึงของผู้ใช้ในองค์กร ข้อมูลความปลอดภัยและระบบการจัดการเหตุการณ์ที่สามารถตรวจสอบบันทึกการละเมิด และเว็บเกตเวย์ที่มีความปลอดภัยที่สามารถปิดกั้นการเรียกใช้ API ที่ไม่ได้รับอนุญาตได้

สำหรับการใช้ Prompt Engineering มีมาตรการลดความเสี่ยงทั้งหมดพร้อมใช้อยู่แล้ว ซึ่งองค์กรควรดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อปกป้องข้อมูลภายในและข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ที่ใช้สื่อสารกับเอไอในโครงสร้างพื้นฐานของบุคคลที่สาม โดยการสร้างและจัดเก็บข้อความการสื่อสารทางวิศวกรรมกับเอไอให้เป็นสินทรัพย์ถาวร

และสินทรัพย์เหล่านี้ยังสามารถแสดงการสื่อสารกับเอไออย่างมีนัยสำคัญและผ่านการตรวจสอบแล้วว่าสามารถนำมาใช้ได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ยังใช้เป็นคลังข้อมูลการสื่อสารกับเอไอที่ได้รับการปรับแต่งและพัฒนาขั้นสูงที่สามารถนำมาใช้ซ้ำ แชร์ หรือจำหน่ายต่อได้

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
บทความ เทคโนโลยี

การตัดสินใจอย่างชาญฉลาด นำพาศักยภาพมาสู่อุตสาหกรรม CPG แห่งอนาคต

โดย เคาสทูปห์ โจชิ

คลื่นลูกใหม่อย่างดิจิทัลนำมาซึ่งโอกาสที่ยิ่งใหญ่มหาศาล และปูทางเพื่อรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การมาถึงของระบบออโตเมชั่น และ IIoT ยังเร่งการเติบโตและเร่งการพัฒนาในอุตสาหกรรมต่างๆ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองความต้องการที่เกิดขึ้นในโลกใหม่

การทำให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องอาศัยการประสานงานหลายด้าน เช่น การบริหารจัดการและการดำเนินงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบเชิงรุกพร้อมดำเนินการได้อย่างทันท่วงที ตัวอย่าง เช่น เมื่อสินทรัพย์ของอาคารอยู่ในสภาพที่เหมาะสมและดำเนินการได้ตามที่ควรเป็น ก็จะสร้างสภาวะที่เหมาะสมที่สุดให้กับผู้อาศัยในอาคาร พร้อมกับสร้างความพึงพอใจมากขึ้นในภาพรวมของตัวอาคาร ในทำนองเดียวกัน อุตสาหกรรม CPG (Consumer Packaged Goods) หรือสินค้าอุปโภคบริโภค ก็สามารถมั่นใจในเรื่องของความต่อเนื่องและประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากขุมพลังของ IoT และการเชื่อมต่อกับระบบอัตโนมัติในการดำเนินงานต่างๆ

เครื่องมือ Advisor เปี่ยมด้วยขุมพลังจาก Machine Learning และ IoT ช่วยตอบโจทย์ความท้าทายในอุตสาหกรรม CPG อีกทั้งสามารถเรียนรู้การทำงานจากกระบวนการที่แตกต่าง พร้อมวิเคราะห์ความหลากหลายของอุปกรณ์และสินทรัพย์ เพื่อให้ประโยชน์และการทำงานที่เหมาะสม รวมถึงการติดตามงานทั่วไป จึงช่วยให้มั่นใจได้ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จะรองรับความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น ให้ผลลัพธ์ต่อเนื่องได้เต็มประสิทธิภาพโดยที่ไม่สะดุด

นอกจากนี้ เทคโนโลยียังให้ผลกระทบตามมาอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวิเคราะห์ ช่วยให้อุปกรณ์พร้อมใช้งานตลอดเวลา รวมถึงช่วยในการตรวจสอบสถานะ บำรุงรักษาได้โดยที่ไม่ต้องสัมผัส และที่สำคัญกว่านั้น คือช่วยบรรเทาภัยพิบัติ ทำให้มั่นใจเรื่องความปลอดภัยและการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ

ให้ภาพรวมเรื่องของพลังงานและความยั่งยืนได้ดีขึ้น ด้วยการใช้แพลตฟอร์มเดียวบนคลาวด์ในการรวบรวมข้อมูลทั่วองค์กรมาไว้ด้วยกัน เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลทั้งหมดได้อย่างสะดวกจากแหล่งเดียวโดยปราศจากความยุ่งยาก ไม่ว่าจะเป็นตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน ข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวก และข้อมูลด้านซัพพลาย ทำให้คุณสามารถนำระบบวิเคราะห์มาช่วยปรับปรุงการทำงานร่วมกัน เหล่านี้ส่งผลถึงการได้มาซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่จำเป็นต่อการตัดสินใจเรื่องสำคัญ อีกทั้งยังช่วยให้จัดลำดับความสำคัญของโครงการ เพื่อปรับปรุงเรื่องของประสิทธิภาพและความยั่งยืนได้อย่างต่อเนื่อง

ทุกสิ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการใช้ AVEVA และซอฟต์แวร์อุตสาหกรรมจากชไนเดอร์ อิเล็คทริค ปรับปรุงการดำเนินการ ทั้งยังได้รับผลตอบแทนการลงทุนสูงสุด และเพิ่มผลกำไรด้วยข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้จริง ช่วยให้ตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างชาญฉลาดและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านอาหารและเครื่องดื่มสำหรับอุตสาหกรรม CPG ในอนาคต

คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว และกำลังพลิกโฉมอุตสาหกรรม CPG ให้เชื่อมต่อการทำงานได้มากขึ้น พร้อมรองรับการทำงานได้ตลอดเวลา ครอบคลุมทุกแง่มุมของการดำเนินงานในเชิงรุกอีกทั้งให้ความยั่งยืน ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนควรใช้ประโยชน์จากโอกาสอันกว้างใหญ่ไพศาลจากการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานสู่ดิจิทัล เพื่อสร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพและให้ความยั่งยืน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ บทความ เทคโนโลยี

“เปิดเหตุผลที่ ChatGPT สั่นสะเทือนโลก AI” โดย เบิร์น เอลเลียต รองประธานฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ อิงค์

โดย เบิร์น เอลเลียต รองประธานฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ อิงค์

ไม่นานมานี้ OpenAI บริษัทวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เปิดตัว ChatGPT แพลตฟอร์มสนทนา AI รูปแบบใหม่อย่างเป็นทางการ จากข้อมูลของบริษัทฯ ระบุว่ารูปแบบการสนทนาที่จัดทำโดยแพลตฟอร์มนี้ทำให้ ChatGPT สามารถ “ตอบคำถามได้ครอบคลุม ยอมรับข้อผิดพลาด พร้อมนำเสนอข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อปรับเปลี่ยนข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และปฏิเสธคำร้องขอที่ไม่สมเหตุสมผล”

นับตั้งแต่ ChatGPT เปิดให้บริการ บนโลกโซเชียลมีเดียก็มีการถกเถียงกันถึงความเป็นไปได้ในการนำนวัตกรรมนี้มาปรับใช้รวมถึงอันตรายที่อาจตามมา เนื่องจากความสามารถในการวิเคราะห์หาข้อผิดพลาดของโค้ด (Debug Code) ไปจนถึงศักยภาพในการเขียนเรียงความสำหรับนักศึกษา

เพราะอะไร ChatGPT ถึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก?

ChatGPT เป็นปรากฎการณ์ Perfect Storm ที่เป็นการรวมกันของปัญญาประดิษฐ์ (AI) สองเรื่องใหญ่ ๆ ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน นั่นคือแชทบอท และ GPT3  ที่นำเสนอวิธีการสื่อสารโต้ตอบพร้อมสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ เสมือนการพูดคุยกับมนุษย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องสำคัญในช่วงห้าปีที่ผ่านมา

แชทบอทสร้างปฏิสัมพันธ์การสนทนาแบบ ‘ชาญฉลาด’ ขณะที่ GPT3 สร้างเอาต์พุทที่ดู ‘เข้าใจ’ คำถาม เนื้อหา และบริบทของการสนทนา ซึ่งเมื่อสองสิ่งนี้รวมกันได้สร้างผลกระทบใหญ่จนเกิดคำถามว่า ‘เรากำลังสนทนากับมนุษย์หรือคอมพิวเตอร์กันแน่หรือว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่เหมือนกับมนุษย์’ ซึ่งการโต้ตอบบางครั้งสร้างความขบขัน บ้างนำเสนอข้อมูลลึกซึ้งและบางทีก็เต็มไปด้วยสาระความรู้

แต่น่าเสียดายที่บางครั้ง ChatGPT ยังนำเสนอเนื้อหาได้ไม่ถูกต้องและไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเข้าใจหรือสติปัญญาของมนุษย์ ปัญหาอาจอยู่ที่คำว่า ‘เข้าใจ’ และ ‘ความฉลาด’ ซึ่งขึ้นอยู่กับการป้อนข้อมูลของมนุษย์ที่อาจมีความหมายคลุมเครือไม่ชัดเจน ดังนั้นเมื่อนำไปใช้กับอัลกอริธึม อาจส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างรุนแรง

ในมุมที่มีประโยชน์กว่าคือการได้เห็นว่าแชทบอทและโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) เช่น GPT ได้กลายเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าสำหรับการทำงานเฉพาะอย่างให้สำเร็จลุล่วงได้ ที่ไม่ใช่เพื่อความบันเทิง โดยความสำเร็จจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ในแอปพลิเคชันที่เหมาะสมและมอบประโยชน์ต่อองค์กรอย่างแท้จริง

รูปแบบการใช้ ChatGPT ในองค์กร

สำหรับการใช้งานเทคโนโลยีแชทบอทหรือผู้ช่วยการสนทนาในเชิงธุรกิจระดับสูงนั้น จะใช้เพื่อจัดเตรียมรูปแบบการโต้ตอบด้วยการเรียบเรียงเนื้อหาจากแหล่งข้อมูล โดยแชทบอทจะมีรูปแบบการใช้งานมากมายอยู่ในระบบของตัวเองอยู่แล้ว ตั้งแต่การให้บริการลูกค้าไปจนถึงการช่วยเหลือทีมงานเทคนิคระบุปัญหาต่าง ๆ

สำหรับการใช้งาน ChatGPT ระดับสูงขึ้นไปอีก จะใช้เป็นแชทบอทที่มีความเฉพาะสำหรับ (แชท) โต้ตอบหรือ ‘สนทนา’ กับแหล่งข้อมูลของ GPT ในกรณีนี้แหล่งข้อมูล GPT จะได้รับการทดสอบโดเมนเฉพาะโดย OpenAI ซึ่งข้อมูลการทดสอบที่ใช้ในแบบจำลองนี้จะกำหนดวิธีการตอบคำถาม

อย่างไรก็ตามความสามารถของ GPT สำหรับสร้างฐานข้อมูลยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าข้อมูลที่ได้นั้นเป็นเท็จ นั่นหมายความว่าข้อมูลสามารถใช้ได้กับบางสถานการณ์ที่ข้อผิดพลาดสามารถยอมรับหรือแก้ไขให้ถูกต้องได้

มีรูปแบบการใช้งานโมเดลพื้นฐานมากมาย เช่น GPT ในโดเมนต่าง ๆ ประกอบด้วย Computer Vision, Software Engineering และงานวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Research and Development) เช่น มีการใช้แบบจำลองพื้นฐานสร้างรูปภาพขึ้นจากข้อความ และตรวจสอบโค้ดจากภาษาธรรมชาติ (Natural Language)  รวมถึงการทำ Smart Contracts  หรือแม้แต่ในด้านการดูแลสุขภาพ (Healthcare) เช่น การสร้างยารักษาโรคใหม่ ๆ และการถอดรหัสลำดับจีโนมเพื่อจำแนกโรค

ข้อกังวลด้านจริยธรรม

โมเดลแบบจำลองพื้นฐาน AI เช่น GPT แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้าน AI จากประโยชน์เฉพาะตัวที่มอบให้ อาทิ การช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาสร้างโมเดลแบบจำลองเฉพาะโดเมน

อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงและข้อกังวลด้านจริยธรรม ซึ่งประกอบด้วย

Complexity: โมเดลจำลองขนาดใหญ่ต้องใช้พารามิเตอร์นับพันล้านหรืออาจมากถึงล้านล้าน โดยโมเดลจำลองเหล่านี้มีขนาดใหญ่เกินไปที่องค์กรจะนำมาทดสอบใช้งาน เนื่องจากต้องใช้ทรัพยากรการประมวลผลที่จำเป็นจำนวนมาก อาจทำให้มีราคาแพงและไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

Concentration of power: โมเดลจำลองเหล่านี้ส่วนใหญ่สร้างขึ้นโดยบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุด ด้วยการลงทุนกับการวิจัยและพัฒนาจำนวนมหาศาล และมีความสามารถด้าน AI เป็นสำคัญ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจในหน่วยงานขนาดใหญ่ไม่กี่แห่ง อาจสร้างความไม่สมดุลในอนาคต

Potential misuse: โมเดลจำลองพื้นฐานช่วยลดต้นทุนในการสร้างเนื้อหา ซึ่งหมายความว่าการสร้าง Deepfake ที่ใกล้เคียงกับต้นฉบับจะง่ายขึ้น รวมถึงทุก ๆ อย่าง ตั้งแต่การเลียนแบบเสียงและวิดีโอไปจนถึงผลงานศิลปะปลอม ตลอดจนการโจมตีแบบกำหนดเป้าหมาย ซึ่งข้อกังวลด้านจริยธรรมร้ายแรงที่เกี่ยวข้องอาจทำให้เสียชื่อเสียงหรือสร้างความขัดแย้งทางการเมืองได้

Black-box nature: โมเดลจำลองเหล่านี้ยังต้องการการทดสอบอย่างถี่ถ้วนและสามารถมอบผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจ เนื่องจากการทดสอบในลักษณะกล่องดำ (Black-box nature) ที่ไม่คำนึงถึงคำสั่งภายในซอฟต์แวร์ และคลุมเครือว่าฐานข้อมูลที่ตอบสนองนั้นเท็จจริงเพียงใด อาจนำเสนอผลลัพธ์ที่เอนเอียงได้จากข้อมูลที่กำหนดไว้ โดยกระบวนการทำให้ข้อมูลตรงกันของแบบจำลองดังกล่าวสามารถนำไปสู่ความล้มเหลวได้ หากคลาดเคลื่อนเพียงจุดเดียว 

Intellectual property: โมเดลแบบจำลองถูกทดสอบกับคลังข้อมูลของชิ้นงานที่สร้างขึ้น และยังไม่ชัดเจนว่าจะมีกฎหมายบังคับอย่างไรสำหรับการนำเนื้อหานี้กลับมาใช้ใหม่ และหากเนื้อหานั้นมาจากทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น

 แนวทางการใช้โมเดลพื้นฐานเอไออย่างมีจริยธรรม

เริ่มต้นจากการใช้งานการประมวลผลภาษาตามธรรมชาติ (Natural Language Processing – NLP) เช่น การจัดหมวดหมู่ การสรุป และการสร้างข้อความในสถานการณ์ที่ไม่ได้เจอตัวลูกค้า และเลือกงานที่มีความเฉพาะ โดยโมเดลจำลองที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้วจะสามารถลดต้นทุนการปรับแต่งและการทดสอบที่มีราคาแพง หรือใช้ในกรณีที่ต้องการตรวจสอบผลลัพธ์โดยมนุษย์

ใช้สร้างเอกสารเชิงกลยุทธ์ที่สรุปประโยชน์ ความเสี่ยง โอกาส และแผนงานการปรับใช้โมเดลจำลองพื้นฐาน AI เช่น GPT ซึ่งจะช่วยพิจารณาว่าได้ประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงหรือไม่ กรณีที่นำมาใช้งานเฉพาะ

ใช้ APIs บนคลาวด์สำหรับสร้างรูปแบบจำลองและเลือกแบบจำลองที่มีขนาดเล็กที่สุด เพื่อให้มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพตรงตามความต้องการเพื่อลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน ลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนรวมสำหรับการเป็นเจ้าของ

จัดลำดับความสำคัญของผู้จำหน่ายที่ส่งเสริมการปรับใช้โมเดลอย่างมีความรับผิดชอบโดยการเผยแพร่แนวทางการใช้งาน การบังคับใช้ รวมถึงบันทึกช่องโหว่และจุดอ่อนที่ทราบ พร้อมเปิดเผยพฤติกรรมที่เป็นอันตรายและสถานการณ์การใช้งานในทางที่ผิดแบบเชิงรุก

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ เทคโนโลยี

การ์ทเนอร์เผยเทคโนโลยีความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมจะเริ่มนำมาใช้แพร่หลายภายในปี 2568

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 5 พฤษภาคม 2565 – การ์ทเนอร์ เผย 3 เทคโนโลยีเกิดใหม่ด้านความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ Cloud Sustainability, Carbon Footprint Measurement และ Advanced Grid Management Software จะถูกนำมาใช้ขับเคลื่อนองค์กรอย่างแพร่หลายภายในหนึ่งถึงสามปีจากนี้

แอนเน็ต ซิมแมร์มันน์ รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมไม่ควรต้องเป็นความรับผิดชอบของอุตสาหกรรมเพียงไม่กี่แห่ง ถ้าเรื่องสภาวะภูมิอากาศเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการปกป้องคุ้มครองแล้ว เรื่องของธุรกิจที่ยั่งยืนต้องมีความสำคัญระดับโลก การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Net-Zero Economy) จะสร้างปรากฎการณ์อย่างยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมหรือการปฏิวัติทางดิจิทัล ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยี รูปแบบธุรกิจ กลยุทธ์และกระบวนการใหม่”

เส้นทางสู่อนาคตของ Net-Zero จะสร้างโอกาสใหม่ ๆ แก่ผู้ให้บริการทางด้านเทคโนโลยีที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีรองรับการสร้างธุรกิจยั่งยืน การ์ทเนอร์ได้ระบุ 3 เทคโนโลยีเกิดใหม่ 3 ประการ ที่จะสร้างผลกระทบโดยตรงต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่:

ความยั่งยืนของคลาวด์ (Cloud Sustainability)

Cloud Sustainability คือ แนวทางการใช้บริการคลาวด์เพื่อให้เกิดประโยชน์ด้านความยั่งยืนภายในระบบเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งประกอบด้วยการดำเนินการที่ยั่งยืนและการส่งมอบบริการคลาวด์โดยผู้ให้บริการ ตลอดจนการบริโภคและการใช้บริการคลาวด์อย่างยั่งยืน

“บริการคลาวด์สาธารณะนำเสนอศักยภาพด้านความยั่งยืนที่ยอดเยี่ยมด้วยความสามารถในการรวมศูนย์การดำเนินงานด้านไอทีโดยเป็นการดำเนินการที่ปรับได้โดยอาศัยโมเดลบริการที่ใช้ร่วมกัน ส่งผลให้ประสิทธิภาพของการประมวลผลสูงขึ้น โดยผู้ให้บริการคลาวด์สาธารณะยังมีความสามารถเฉพาะในการลงทุนเพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านความยั่งยืน อาทิ ย้ายที่ตั้งคลาวด์ดาต้าเซ็นเตอร์ให้อยู่ใกล้แหล่งพลังงานหมุนเวียน” ซิมแมร์มันน์กล่าวเพิ่มเติมว่า

ในอีกสามปีข้างหน้า ผู้ให้บริการระบบคลาวด์จะอยู่ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นกับการจัดหากลยุทธ์ด้านสภาวะอากาศที่โปร่งใสพร้อมกับแผนงานที่ชัดเจน โดยการ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2568 การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากบริการคลาวด์แบบไฮเปอร์สเกลจะเป็นเกณฑ์หนึ่งในสามอันดับแรกในการตัดสินใจซื้อระบบคลาวด์

การประเมินด้านรอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint Measurement)

รอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint) คือ ปริมาณการปล่อยมลพิษที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ สำหรับรอยเท้าคาร์บอนของผลิตภัณฑ์หรือบริการทางเทคโนโลยีจะครอบคลุมขอบเขตการปล่อยมลพิษสามประการ ได้แก่:

  • ขอบเขตที่ 1: การปล่อยโดยตรงจากเจ้าของหรือที่มาที่ได้อยู่ในการควบคุม
  • ขอบเขตที่ 2: การปล่อยทางอ้อมที่เกิดจากกระบวนการผลิตพลังงานที่ซื้อมา
  • ขอบเขตที่ 3: การปล่อยทางอ้อมอื่น ๆ ทั้งหมด (ที่ไม่รวมอยู่ในขอบเขตที่ 2) เกิดขึ้นในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของหน่วยงานที่จัดทำรายงาน รวมถึงการปล่อยจากต้นน้ำและปลายน้ำ

ซึ่งการปล่อยมลพิษในขอบเขตที่ 3 เป็นการวัดผลที่ท้าทายที่สุด แต่ในบางองค์กรการปล่อยก๊าซฯ นั้นคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 95% ของปริมาณการปลดปล่อยทั้งหมด การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าจะเห็นการนำเทคโนโลยีการวัดค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ไปใช้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการปล่อยมลพิษทั้ง 3 ประเภทและจัดทำรายงานความโปร่งใสเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการเติบโตของเครื่องมือวัดผลเหล่านี้ได้รับแรงสนับสนุนมาจากการเพิ่มจำนวนของเซ็นเซอร์ตรวจจับด้านสิ่งแวดล้อมที่เปิดใช้งานเทคโนโลยี IoT ทั้งปริมาณ คุณภาพ และเวลาในการรวบรวมข้อมูลที่ใช้น้อยลง

“ท้ายที่สุด ทุกองค์กรจะต้องลงทุนในเครื่องมือวัดผลคาร์บอน รวมถึงซอฟต์แวร์โซลูชันที่ทำให้การวัดคาร์บอนที่โปร่งใสและคำแนะนำในเชิงปฏิบัติที่กำลังถูกนำไปใช้เพิ่มขึ้น โดยการ์ทเนอร์คาดว่าการเติบโตจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับความสามารถในการรวมระบบที่จะมีความคืบหน้ามากขึ้น” ซิมแมร์มันน์กล่าวเพิ่มเติม

ซอฟต์แวร์การจัดการกริดขั้นสูง (Advanced Grid Management Software)

Advanced Grid Management Software ประกอบด้วย ระบบวัดค่าและควบคุมเครื่องจักร (Supervisory Control and Data Acquisition (SCADA) ระบบการจัดการพลังงานจากสาธารณูปโภค และความสามารถใหม่ในการปฏิบัติงานแบบเรียลไทม์ ซึ่งได้รับมาจากโมเดลการเรียนรู้ทางกายภาพและเครื่องจักร ซึ่งซอฟต์แวร์นี้ถูกนำมาใช้โดยผู้ปฏิบัติงานระบบไฟฟ้าสำหรับตรวจสอบและควบคุมแหล่งพลังงานทั่วทั้งโครงข่ายไฟฟ้า เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบและชะลอการลงทุนขององค์กร

การ์ทเนอร์ คาดว่าปัจจุบันมีองค์กรประมาณ 5-20% ลงทุนซอฟต์แวร์การจัดการกริดขั้นสูง และจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหนึ่งถึงสามปีข้างหน้า โดยภายในปี 2569 การ์ทเนอร์คาดกว่า 60% ของโครงการลงทุนจากบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดจะมุ่งเน้นด้านพลังงานหมุนเวียนความเสี่ยงต่ำ

“ความท้าทายหลักของผู้ให้บริการโครงข่ายกริดคือการจัดการความแปรปรวนของกระแสไฟฟ้าและความผันแปรของโปรไฟล์พลังงาน ซึ่งซอฟต์แวร์การจัดการกริดขั้นสูงจะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน เปลี่ยนบริษัทสาธารณูปโภคไฟฟ้าแบบเดิมให้กลายเป็นผู้จัดการโครงข่ายที่มีประสิทธิภาพที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างความไม่เสถียรที่เกิดจากการเพิ่มปริมาณพลังงานหมุนเวียนที่ไม่ต่อเนื่อง” ซิมแมร์มันน์กล่าวเพิ่มเติม

ลูกค้าของ Gartner สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ใน “Emerging Technologies and Trends Impact Radar: Environmental Sustainability.” เรียนรู้เกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญสูงสุดของจัดการผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีใน 2022 Leadership Vision for Technology Product Managers ebook.

Gartner Tech Growth & Innovation

นักวิเคราะห์การ์ทเนอร์จะนำเสนอบทวิเคราะห์เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางในการเร่งการเติบโตของผู้ให้บริการเทคโนโลยี การขับเคลื่อนนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่งาน Gartner Tech Growth & Innovation Conference 2022 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 12-13 กรกฎาคม แบบออนไลน์ ติดตามข่าวสารและอัปเดตเนื้อหาจากการประชุมได้ทาง Twitter โดยติดแฮชแท็ก #GartnerTGI

เกี่ยวกับ Gartner for High Tech

Gartner for High Tech นำเสนอแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดตามขอบเขตความผิดชอบให้แก่ผู้นำเทคโนโลยีและทีมงานไอที รวมถึงข้อมูลเชิงลึกในอุตสาหกรรม มุมมองกลยุทธ์แนวโน้มเกิดใหม่และการเปลี่ยนแปลงในตลาด เพื่อให้สามารถจัดลำดับความสำคัญของภารกิจและสร้างความสำเร็จให้แก่องค์กรในอนาคต อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.gartner.com/en/industries/high-tech หรือติดตามข่าวสารและการอัปเดตจาก Gartner for High Tech ได้ที่ Twitter และ LinkedIn

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Gartner for High Tech Leaders คลิกที่ Twitter และ LinkedIn. หรือคลิกติดตามข่าวสารและข้อมูลเชิงลึกอื่น ๆ ได้ที่ IT Newsroom

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ บทความ เทคโนโลยี

เปิด 5 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ของปี 2565

เปิด 5 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ของปี 2565

ชี้ “ซอฟต์แวร์” เป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตด้านผลกำไรให้กับผู้ผลิตรถยนต์

โดย เปโดร ปาเชโก ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยอาวุโสของการ์ทเนอร์

ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเครื่องยนต์ โดยให้ผู้อื่นเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์แทน ขณะที่เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นตัวสร้างความแตกต่างในรถยนต์ และซอฟต์แวร์จะกลายปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตหลักของกำไรให้กับผู้ผลิต โดยผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จะแปลงสภาพเป็นบริษัทเทคโนโลยีหรือบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ในที่สุด

การ์ทเนอร์ เปิด 5 แนวโน้มเทคโนโลยีสำคัญในปี 2565 ที่ผู้บริหารด้านไอทีควรพิจารณาเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนผ่านของซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และด้านดิจิทัลที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์

5 แนวโน้มเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ประจำปี 2565

แนวโน้มที่ 1: ผู้ผลิตรถยนต์จะทบทวนแนวทางการจัดหาชิ้นส่วน (Hardware) 

ผู้ผลิตรถยนต์กำลังพิจารณากลยุทธ์จัดเก็บสินค้าคงคลังระยะยาวที่ยึดตามหลักการจัดการสินค้าคงคลังแบบทันเวลาพอดีหรือ Just-In-Time (JIT) ซึ่งส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน (OEM) รวมถึงซัพพลายเออร์ระดับ Tier 1 ไม่มีสินค้าสำรองในช่วงภาวะการขาดแคลนชิปต่าง ๆ ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องทบทวนว่าจะจัดการกับผู้ผลิตชิปอย่างไร รวมถึงการพิจารณาพัฒนาชิปของตนเอง

การ์ทเนอร์คาดว่าในปี พ.ศ. 2568 ครึ่งนึง (50%) ของ 10 บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถยนต์ชั้นนำ จะผลิตชิปของตนเอง และสร้างกลยุทธ์รวมถึงความสัมพันธ์ระยะยาวร่วมกับผู้ผลิตชิปต่าง ๆ โดยตรง พร้อมยกเลิกระบบการผลิตแบบทันเวลาพอดี (JIT)

แนวโน้มที่ 2: บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จะมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศยานยนต์

ในปี พ.ศ.2565 นี้จะเห็นบริษัทดิจิทัลยักษ์ใหญ่ อาทิ Amazon Web Services (AWS), Google, Alibaba หรือ Tencent ขยายธุรกิจในด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์อย่างต่อเนื่อง บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้กำลังนำรถยนต์เข้าไปอยู่ในระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตนเองมากขึ้น ซึ่งในที่สุดก็จะเปิดเป็นบริการเชื่อมต่อเทคโนโลยีเข้ากับรถยนต์ในรูปแบบใหม่ ๆ

การ์ทเนอร์คาดว่า ในปี พ.ศ.2571 70% ของยานพาหนะที่ขายออกไปจะใช้ระบบปฏิบัติการ Android ในรถยนต์ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่วันนี้มีไม่ถึง 1%

เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ด้วยตนเองเป็นเรื่องยาก บริษัทรถยนต์จึงร่วมมือกับบริษัทดิจิทัลรายใหญ่เพื่อเปลี่ยนซอฟต์แวร์ให้กลายเป็นช่องทางสร้างรายได้หลัก หรือสร้างทรัพยากรภายในองค์กรจำนวนมากให้บรรลุเป้าหมายองค์กรได้ด้วยตนเอง

แนวโน้มที่ 3: โมเดลข้อมูลและความร่วมมือแบบเปิด (Open Data and Open-Source Collaboration) สร้างความสำเร็จต่อเนื่อง

เมื่อปีก่อนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งได้สร้างระบบปฏิบัติการแบบโอเพนซอร์สและแพลตฟอร์มรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) แบบเปิด ซึ่งแนวทางนี้ได้กระตุ้นให้เกิดรูปแบบความร่วมมือใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่มมากขึ้นในปีนี้

นอกจากนี้ บริษัทด้านยานยนต์ยังหันมาให้ความสำคัญกับข้อมูลในลักษณะเดียวกันกับที่โลกเทคโนโลยีมองมากยิ่งขึ้น “เป้าหมายของบริษัทไม่ใช่เพื่อขายข้อมูล แต่เพื่อนำข้อมูลมาสร้างหรือบูรณาการระบบนิเวศที่จะช่วยให้เข้าถึงข้อมูลหลากหลายยิ่งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาฟีเจอร์หรือบริการดิจิทัลที่น่าสนใจยิ่งขึ้น

แนวโน้มที่ 4: ผู้ผลิตรถยนต์เพิ่มระบบอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ Over-The-Air (OTA) เป็นช่องทางสร้างรายได้หลักบนดิจิทัล

ปีที่แล้วมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดซอฟต์แวร์สำหรับยานยนต์แบบ Over-The-Air (OTA) เมื่อผู้ผลิตหลายรายเริ่มเสนอการอัปเดตซอฟต์แวร์ในรูปแบบดังกล่าว

ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ได้อัปเดตฮาร์ดแวร์ของรถยนต์เพื่อเปิดรับการอัปเดตซอฟต์แวร์ ปัจจุบันพวกเขากำลังเริ่มเปลี่ยนไปใช้รูปแบบรายได้ที่อ้างอิงจากบริการมากกว่าการยอดขายสินค้า

นักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์คาดว่าภายในปี พ.ศ. 2566 ครึ่งหนึ่ง (50%) ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำ 10 อันดับแรกจะนำเสนอความสามารถในการปลดล็อคและอัปเกรดผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่สามารถซื้อได้หลังการจำหน่ายรถยนต์

แนวโน้มที่ 5: ยานยนต์ไร้คนขับ กับกฎระเบียบเพิ่มเติมและอุปสรรคเชิงพาณิชย์ที่ยังไม่หายไปไหน

แม้ว่าเทคโนโลยีการตรวจจับ (Sensing Technology) จะพัฒนาดีขึ้น แต่อัลกอริธึมของการรับรู้ก็มีความซับซ้อนยิ่งขึ้นตลอดจนกฎระเบียบและมาตรฐานการพัฒนาด้านต่าง ๆ ก็คืบหน้าไปเช่นกัน โดยที่ผู้พัฒนายานยนต์ไร้คนขับยังคงเผชิญความท้าทายในการขยายขอบเขตการดำเนินงานไปยังเมืองหรือพื้นที่ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

ผู้ผลิตรถยนต์ได้เริ่มเปิดตัวรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติในระดับ 3 และกำลังดำเนินการติดตั้งใช้งานรถบรรทุกไร้คนขับในระดับ 4 รวมถึง ระบบการให้บริการรถรับส่งแบบ Taxi (หรือ Robotaxis) สำหรับใช้ในเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตามการทดสอบด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพของเทคโนโลยีอัตโนมัตินั้นยังคงต้องใช้เวลาและรูปแบบการจำลองการขับให้มีความครอบคลุมรวมถึงการทดสอบในท้องถนนจริง ๆ นั่นทำให้การผลิตเชิงพานิชย์เป็นไปได้ช้าและมีค่าใช้จ่ายสูง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นต่าง ๆ อาทิ การรับผิดในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ กฎหมายที่เกี่ยวข้องและข้อพิจารณาทางสังคม เช่น วิธีการสื่อสารโต้ตอบระหว่างรถที่ขับเคลื่อนโดยมนุษย์และรถที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่กำลังเพิ่มความท้าทายให้สูงขึ้น

ต้นทุนด้านการวิจัยและพัฒนาที่สูงมากในระบบ Robotaxis หรือระบบอัตโนมัติระดับ 4 ในรถบรรทุกขนาดใหญ่ นอกจากเป็นสิ่งที่ขัดขวางความเร็วของการนำระบบอัตโนมัติมาปรับใช้ให้มีความแพร่หลายแล้ว ยังรวมถึงการส่งมอบผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) อีกด้วย ซึ่งมันดูย้อนแย้งกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากข้อดีหลักอย่างหนึ่งของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติก็คือการลดต้นทุนด้านการดำเนินงานของภาคการขนส่ง

นักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ คาดว่าภายในปี พ.ศ. 2573 ทั่วโลกจะมีจำนวนรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเชิงพาณิชย์ (Robotaxis) ระดับ 4 เปิดให้บริการสูงกว่ารถแท็กซี่ในปัจจุบันถึง 4 เท่า

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความการ์ทเนอร์ที่ Digital Transformation Insights in Manufacturing หรือลูกค้าการ์ทเนอร์สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่รายงาน “Top 5 Automotive Technology Trends for 2022.”

เกี่ยวกับ Gartner for Information Technology Executives 

Gartner for Information Technology Executives นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ได้จริงแก่ผู้บริหารและผู้นำด้านไอที สำหรับช่วยให้พวกเขาสามารถใช้ขับเคลื่อนองค์กรก้าวข้ามการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ ชมข้อมูลเพิ่มเติมคลิก www.gartner.com/en/information-technology

ติดตามข่าวสารและข้อมูลล่าสุดจาก Gartner for IT Executives ได้ที่ Twitter และ LinkedIn. หรือเยี่ยมชมที่ IT Newsroom

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ บทความ เทคโนโลยี

Dassault Systemes เผย 5 แนวโน้มเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมการผลิต ประจำปี 2565 พร้อม Insight ทำไมอนาคต Manufacturing ต้องพึ่งคลาวด์?

เมื่อเกิดการระบาดใหญ่ของโควิด-19 อย่างกะทันหัน ส่งผลให้ปริมาณโควตาสินค้าเกิดความไม่เสถียรและการหยุดชะงักที่คาดไม่ถึง ซึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยในโลกของการผลิต กล่าวได้ว่า Long Covid ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสุขภาพเรื้อรังเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาวนับจากนี้ ในอุตสาหกรรมการผลิตและซัพพลายเชนเอง ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงเป็นกลุ่มแรกๆ จึงจำเป็นต้องปรับตัวและยอมรับการเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน ขณะที่ต้องรับมือความท้าทายที่สูงขึ้นไปพร้อมกัน เมื่อมองถึงปัจจัยดังกล่าว การปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “ความยั่งยืน วิวัฒนาการ ความยืดหยุ่น การเปลี่ยนแปลง” จะกลายเป็น 4 เสาหลักที่อุตสาหกรรมการผลิตและซัพพลายเชนทั่วโลกต้องตระหนักถึงเสมอนับจากนี้ เพราะจะช่วยให้ธุรกิจการผลิตมีความคล่องตัว อย่างไรก็ดี สิ่งนี้ได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่ยังถือว่าเชื่องช้า

เทคโนโลยีดิจิทัลถูกรวมเข้ากับธุรกิจเกือบทุกด้านในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับภาคการผลิตก็ไม่มีข้อยกเว้น เราจะเห็นได้จากแวดวงอุตสาหกรรมการผลิตและโรงงานที่ได้ปรับตัวสู่รูปแบบสมาร์ทมากยิ่งขึ้น ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากการเปลี่ยนแปลงแนวทางที่ธุรกิจใช้ เพื่อมอบประสบการณ์และคุณค่าให้กับลูกค้า แต่จะมีอะไรบ้างที่ผู้ผลิตจำเป็นต้องทราบ เพื่อที่จะนำหน้าคู่แข่ง?

ดิสรัปชั่นยังไม่หยุดและจะส่งผลต่ออุตสาหกรรม Manufacturing ไปอีกเกือบ 10 ปี

Deloitte ระบุ ปัจจัยที่เกิดจากการดิสรัปชั่นที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และจะพลิกศักยภาพอุตสาหกรรมการผลิตภายในปี 2573 โดยปัจจัยทั้ง 5 ประการมีดังนี้

  • รูปแบบเศรษฐกิจ
  • พลวัตทางการค้า
  • การแปลงเป็นดิจิทัล
  • ตำแหน่งงานในอนาคตที่เน้นผู้มีทักษะเฉพาะ / Talent
  • การผลักดันอุตสาหกรรมสู่ยุคของ Electrification / พลังงานไฟฟ้า

อย่างไรก็ดีในปี 2565 เราจะได้เห็นภาคอุตสาหกรรมการผลิตปรับใช้เทคโนโลยีสำคัญ ๆ มากมาย ซึ่งหากนำไปใช้อย่างถูกต้อง จะสามารถผลักดันนวัตกรรมและช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ และนี่คือบทสรุปสั้น ๆ เกี่ยวกับ 5 แนวโน้มเทคโนโลยีในภาคการผลิตที่สำคัญ ที่น่าจับตามองในปี 2565 พร้อมแนวทางการเลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจ

แนวโน้มที่#1 เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ขั้นสูง (Advanced Analytics)

การใช้เทคโนโลยี AI ของอุตสาหกรรมการผลิตจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในงานควบคุมคุณภาพ เนื่องจาก AI สามารถตรวจสอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงกระบวนการการผลิตและการประกอบชิ้นส่วนได้อย่างละเอียดและตรงตามคุณภาพที่ถูกกำหนดไว้ จากชิ้นส่วนที่ผลิตทั้งหมด จะมีชิ้นตัวอย่างที่จะถูกสุ่มเลือกมาใช้เพื่อหาข้อบกพร่องและการเปลี่ยนแปลงของสภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ ในขั้นตอนนี้เราอาจพบข้อบกพร่องที่ไม่มีใครสังเกตเห็นได้ เนื่องจากไม่ได้มีการตรวจสอบชิ้นส่วนที่ผลิตทั้งหมด ดังนั้นการใช้เทคโนโลยี AI จะช่วยให้การตรวจสอบชิ้นส่วนที่ผลิตทั้งหมด (หรือส่วนใหญ่) ในอัตราการตรวจสอบที่สูงมาก ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างมาก และลดโอกาสการเกิดข้อบกพร่อง โดยการตรวจสอบคุณภาพของชิ้นส่วนและการตรวจสอบสภาพของเครื่องจักร กระบวนการ และระบบสามารถทำได้โดยอัตโนมัติ นั่นทำให้ระบบควบคุมคุณภาพการผลิตแบบอัจฉริยะเป็นส่วนสำคัญของการผลิตแห่งอนาคต ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เกิดจริงในวันนี้และวันหน้า

เนื่องจากความต้องการในด้านการปรับแต่งสินค้าและผลิตภัณฑ์ให้มีความเฉพาะตัวทั้งในด้าน Customization และ Personalization ที่มากขึ้น AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญสำหรับผู้ผลิตในการใช้ระบบ Pull System ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ข้อมูลของผู้บริโภคเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการมากขึ้น และเทคโนโลยี AI จะถูกนำไปใช้ในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความเฉพาะให้กับผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่เลือกที่จะแบ่งปันการตั้งค่าที่มีความเฉพาะของพวกเขา

เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และ Industrial Internet of Things (IIoT) ในอุตสาหกรรมการผลิตกำลังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโรงงานผู้ผลิต โดยเฉพาะในด้านการตรวจสอบการปฏิบัติงานของกระบวนการผลิตแบบเรียลไทม์ การคาดการณ์ในด้านการบำรุงรักษา การจัดการวัสดุ การจัดการระบบห่วงโซ่อุปทาน สินค้าคงคลัง และการประกอบชิ้นส่วน เป็นต้น จำนวนข้อมูลที่สร้างขึ้นจากระบบ IoT และ IIoT นั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากมีการนำระบบนี้ไปใช้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และมีการฝังเซ็นเซอร์จำนวนมากขึ้นในห่วงโซ่การผลิตทั้งหมด เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ที่ได้มาจากการตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์ และเพื่อใช้ในการตัดสินใจรวมถึงปรับปรุงคุณภาพการผลิตแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ การนำ AI, Edge Computing และ Cloud Computing มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างมาก เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจความต้องการและสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ โดยใช้แบบจำลองการคาดการณ์จึงกลายเป็นสิ่งที่ต้องทำ สำหรับผู้ผลิตที่มีความพร้อมจะใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ขั้นสูงมากขึ้นในอนาคต ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้แนวทางการพัฒนาอย่างต่อเนื่องที่ออกแบบมาอย่างดี

เทรนด์ #2 – ระบบอัตโนมัติที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิม

บางบริษัท ไม่ได้มองว่าระบบอัตโนมัตินั้นเป็นทางเลือกในการผลิตสินค้า เนื่องจากมีงบประมาณไม่เพียงพอในการลงทุนที่จะนำโซลูชันที่จำเป็นมาปรับใช้งาน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้ต้นทุนของระบบอัตโนมัติลดลง ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถนำเทคโนโลยีและโซลูชันมาใช้สร้างความได้เปรียบได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพทั้งด้านความแม่นยำ ความสามารถในการผลิตซ้ำ ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และการเพิ่มผลผลิต นอกจากนี้ ระบบอัตโนมัติยังขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี IoT, IIoT, Data Analytics และ AI มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ผู้ผลิตเริ่มหันมาให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งความสำเร็จของบริษัทที่ใช้ระบบอัตโนมัติยังเป็นตัวกระตุ้นให้บริษัทอื่น ๆ หันมาลงทุนในระบบอัตโนมัติเช่นกัน ผู้ผลิตจำเป็นต้องใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจมากขึ้น และจัดลำดับความสำคัญว่าจะใช้ระบบอัตโนมัติในกระบวนการใด เพื่อสร้างมูลค่าในการผลิต แม้ว่าในปี 2565 จะมีบริษัทจำนวนมากเข้าใจว่าระบบอัตโนมัติเป็นสิ่งสำคัญในการแข่งขัน แต่สิ่งสำคัญ คือ ไม่ใช่ทุกงานที่จะสามารถใช้ระบบอัตโนมัติได้

เทรนด์ #3 – หุ่นยนต์

ในอุตสาหกรรมการผลิตมีการนำหุ่นยนต์มาใช้งานเพิ่มมากขึ้นมาหลายทศวรรษ โดยนำมาใช้เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและความแม่นยำในการผลิตที่มีกระบวนทำซ้ำ ๆ และไม่ต้องพึ่งพาแรงงานมนุษย์ และแนวโน้มนี้จะยังคงมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผู้ผลิตจะนำหุ่นยนต์ใหม่ ๆ มาใช้มากขึ้น อาทิ หุ่นยนต์ร่วมปฏิบัติงาน (Cobots) และยานยนต์นำทางอัตโนมัติ (AGV) หรือหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMR) เพื่อเพิ่มความคล่องตัว ความยืดหยุ่น และมีคุณภาพพร้อมในตัวหุ่นยนต์เอง ซึ่งหุ่นยนต์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำงานร่วมกับมนุษย์เท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้คนมุ่งความสนใจไปที่งานสร้างสรรค์มากขึ้นเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ดังนั้นหุ่นยนต์อัจฉริยะจะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตมากขึ้น ซึ่งเป็นเทรนด์ที่น่าจับตามอง นอกจากนี้ การใช้หุ่นยนต์มากขึ้นจะเพิ่มโอกาสในการทำงานแบบรีโมท ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะดำเนินต่อไปในปี 2565

เทรนด์ #4 – อาศัยห่วงโซ่อุปทานที่มาจากพื้นที่ใกล้เคียง

โลกเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)ในปี 2563 และ 2564 โดยผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทานจะยังคงสร้างความยุ่งยากในอุตสาหกรรมการผลิตต่อไป และผู้ผลิตมักจะใช้ห่วงโซ่อุปทานท้องถิ่นเพื่อจัดการกับความท้าทายดังกล่าว แม้อาจทำให้ต้นทุนของผลิตภัณฑ์สูงขึ้น แต่ก็สามารถมองได้ว่าเป็นโอกาสในการเพิ่มความคล่องตัว สร้างความยืดหยุ่น และคุณภาพที่จะส่งผลให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจเพิ่มขึ้น ดังนั้นการรุกตลาดจึงเป็นแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปในปี 2565 โดยเป็นส่วนหนึ่งของนำกลยุทธ์ระดับโลกมาปรับใช้ในระดับท้องถิ่น แนวโน้มนี้จะช่วยเร่งแนวคิดของการผลิตแบบกระจายศูนย์หรือการผลิตในท้องถิ่นซึ่งเป็นแนวทางที่ยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางเพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ ระบบห่วงโซ่อุปทานและการจัดส่งแบบกระจายศูนย์ใกล้แหล่งผลิตจะส่งผลให้เกิดการกำจัดการพึ่งพาแหล่งผลิตที่เดียว เพิ่มความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน บริษัทผู้ผลิตจะทบทวนรูปแบบธุรกิจและกลยุทธ์ที่ใช้อยู่ พร้อมมองหาโซลูชันใหม่เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ทั้งในด้านต้นทุน คุณภาพ และระยะเวลาการส่งมอบ การทำให้กระบวนการของห่วงโซ่อุปทานให้เป็นอัตโนมัติ ต้องใช้พลังของพันธมิตรและการทำงานร่วมกัน ผ่านการใช้ระบบ omnichannel เพื่อรับรู้ถึงการจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพและการขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีดิจิทัลหลากหลาย เพื่อให้เข้าใจมองเห็นได้ชัดเจน มีความความยืดหยุ่น และปรับเปลี่ยนได้อย่างเหมาะสม ล้วนเป็นโซลูชันที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตควรคำนึงถึงในปี 2565

เทรนด์ #5 – การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) เป็นเรื่องการปรับปรุงระบบดั้งเดิมให้มีความทันสมัย ​​รวมถึงการดัดแปลงอุปกรณ์รุ่นเก่า และการใช้ประโยชน์จากพลังของเซนเซอร์ขั้นสูง จากเทคโนโลยีเสมือนจริงทั้ง VR และ AR และเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อปรับปรุงคุณภาพ ประสิทธิภาพ และผลลัพธ์ ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างมูลค่ามากขึ้น และแข่งขันได้

นอกจากเทคโนโลยีที่มีความสำคัญดังกล่าวแล้ว ฝาแฝดเสมือน (Virtual Twin) สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์คือหนึ่งในเทคโนโลยีที่ควรจับตามอง เช่นเดียวกับการนำมาใช้ปฏิบัติงานในโรงงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถนำมาใช้ได้ในทุกระดับ ตั้งแต่เพิ่มการมองเห็นแบบเรียลไทม์และบรรลุประสิทธิภาพสูงสุดและการเพิ่มประสิทธิภาพ โดยการใช้ IoT, IIoT, การวิเคราะห์ข้อมูล, AI และ Virtual Twin นั้น จำเป็นต้องใช้เซนเซอร์ในการตรวจจับและตรวจสอบสภาพแวดล้อม ชิ้นส่วน เครื่องจักร ระบบ เปนต้น ซึ่งต้องมีเครื่องมือและเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับแสดงข้อมูลที่บันทึกโดยเซนเซอร์หลากหลายเช่นเดียวกันกับใช้แสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการตัดสินใจที่ดียิ่งขึ้นด้วยการดูข้อมูลแบบเรียลไทม์ การแสดงข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมการวิเคราะห์ข้อมูล จึงเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจะมีผู้ผลิตจำนวนมากหันมาลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลในปีนี้ ขณะที่ผู้ผลิตจำนวนมากมองว่าการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลจะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และเห็นด้วยกับการก้าวไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ โดยไม่มีใครสามารถหลีกหนีการเปลี่ยนแปลงนี้ได้

คลาวด์กับอนาคตอุตสาหกรรรมการผลิต

อนาคตของการผลิตและ Industry 4.0 ได้ถูกเร่งความเร็วชนิดที่ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว หากย้อนกลับไปช่วงก่อนการระบาดของ Covid-19 องค์กรและผู้ผลิตหลายรายได้สร้างการเติบโต พร้อมทั้งเห็นความรุดหน้าทางเทคโนโลยีและด้านสังคม ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ Deloitte ที่วิเคราะห์ถึงความท้าทายที่ว่า หากผู้ผลิตไม่ยอมรับแนวทางดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน เราอาจได้เห็นโรงงานอุตสาหกรรมในปัจจุบันถึง 35 เปอร์เซ็นต์ต้องเลิกกิจการหรือเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญภายใน 10 ปีข้างหน้า ด้านผลสำรวจผู้บริหารระดับ C-level พบว่า การแข่งขันกับบริษัทดิจิทัลที่เกิดใหม่ถือเป็นความเสี่ยงสูงสุด การลงทุนด้านดิจิทัลในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะทำให้องค์กรที่ปรับตัวสู่องค์กรดิจิทัลก้าวนำคู่แข่งในตลาดร่วมแบบทิ้งห่าง ซึ่งสะท้อนให้อุตสาหกรรมการผลิตและดิจิทัลได้ตระหนักถึงความเร็วในการพัฒนาและยอมรับการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งปริมาณข้อมูลที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในอนาคตอันใกล้ และสิ่งต่อไปที่พวกเขาต้องมองหาคือ ระบบการจัดการที่ครอบคลุมและยืดหยุ่น

ในอนาคต เทคโนโลยีคลาวด์จะยังคงพัฒนาต่อไป ซึ่งจะสร้างประโยชน์มากมายในการเข้าถึงข้อมูลและการใช้ข้อมูลเพื่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และประโยชน์ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในขณะที่เทคโนโลยีพัฒนาขึ้น ผู้นำด้านการผลิตที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในขณะที่ยังคงความยืดหยุ่นไว้ได้ ในปี 2573 จะพบว่ามีผู้ให้บริการคลาวด์เกิดขึ้นอีกมากมาย ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่แน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงเชิงกระบวนการหลักและการดำเนินการหลักให้เป็นดิจิทัลไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นแนวทางที่ผู้ผลิตต้องพร้อมปรับใช้

เพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีขั้นสูงในการสร้างความได้เปรียบ ปรับใช้ตามแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคงความสามารถในการแข่งขันไว้ ปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ผลิตในการสร้างวัฒนธรรมการพัฒนาบุคลากรและใช้แนวทางที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง เนื่องจากบทบาทการทำงานของคนเป็นปัจจัยสำคัญในทุกด้าน นอกจากโซลูชันทางด้านเทคนิคเพื่อสร้างรูปแบบการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในการผลิต เทคโนโลยีที่ดีควรสนับสนุนการทำงานของผู้คนและยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตรอบด้านให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในแง่ของความคิดสร้างสรรค์และการสร้างสรรค์นวัตกรรม


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ บทความพิเศษ เทคโนโลยี

กองทรัสต์ระดับโลกอย่าง Digital Realty ติดตามความคืบหน้าด้านความยั่งยืนกันอย่างไร

อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ กลายเป็นภาคที่ต้องตอบสนองต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้ว อุตสาหกรรมนี้ใช้พลังงานมากมายในการขับเคลื่อนสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งระบบระบายความร้อน และเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ของลูกค้า ซึ่งในหลายกรณี ต้องใช้น้ำจำนวนมากในการทำให้ระบบเย็นลง อย่างไรก็ตามหนึ่งในลูกค้าของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือ Digital Realty ได้นำร่องสู่ความยั่งยืนมากขึ้น และมีการนำข้อมูลมาใช้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แท้จริง

Digital Realty คือกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (real estate investment trust) REIT ที่เป็นทั้งเจ้าของ และมีการควบกิจการ รวมถึงพัฒนา และดำเนินการแพลตฟอร์มศูนย์ข้อมูลระดับโลก นอกจากนี้ ยังเป็นผู้นำอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ที่ให้ประสิทธิภาพความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งยืนยันด้วยการเป็นบริษัทดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกที่ได้รับรางวัล ENERGY STAR Partner of the Year และเป็นรางวัลที่ได้รับติดกันสองปีซ้อน อีกทั้งทรัพยากรที่เกี่ยวข้องของ Digital Realty ทั้งสามสิบเอ็ดแห่ง ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 70 ของกำลังการผลิตของ Digital Reality ที่ครอบคลุมในสหรัฐอเมริกา ยังได้รับการรับรองจาก ENERGY STAR เช่นกัน

การกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืน

เนื่องจาก Digital Realty เป็นผู้ให้บริการระดับโลกด้านโซลูชันของโคโลเคชั่นดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงการเชื่อมต่อระหว่างระบบคลาวด์รายใหญ่ที่สุด ความมุ่งมั่นในการกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนสำหรับแพลตฟอร์มศูนย์ข้อมูลระดับโลกชั้นนำ (PlatformDIGITAL®) จึงไม่ใช่งานเล็กๆ ในปี 2563 Digital Realty มุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซในขอบเขต 1 และ 2 (ทางตรงและทางอ้อม) ลงถึง 68 เปอร์เซ็นต์ในศูนย์ข้อมูลกว่า 290 แห่งที่ดำเนินงานใน 24 ประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับแผนงานในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้อยู่ที่ 1.5 องศา ซึ่งยืนยันโดยโครงการของ Science-Based Target Initiative เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนภายในปี 2573

ในภาพใหญ่ Digital Realty ตั้งเป้าวงจรชีวิตที่สมบูรณ์ของดาต้าเซ็นเตอร์ตามเป้าหมายด้านความยั่งยืน กระบวนการเริ่มต้นด้วยการจัดหาและพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและพัฒนาไปสู่การปรับวงจรชีวิตการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสมเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และซัพพลายเชนเป็นระยะ เหล่านี้ สร้างขึ้นบนรากฐานของความมุ่งมั่นพยายาม โดยใช้ตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม (green bonds) พลังงานหมุนเวียน รวมไปถึงกลยุทธ์การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การดูแลน้ำ ความยืดหยุ่นที่รองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแนวปฏิบัติในการสร้างอาคารสีเขียว เพื่อหาโซลูชันใหม่และนวัตกรรมในการควบคุมการปล่อยมลพิษโดยตรงจากสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึงภายในซัพพลายเชน

ประสานความร่วมมือกับลูกค้าที่มุ่งเน้นความยั่งยืน

สำหรับ Digital Realty นอกจากความยั่งยืนจะดีต่อโลกแล้ว ยังดีต่อธุรกิจอีกด้วย ความมีประสิทธิภาพด้านทรัพยากรได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วหลายครั้งว่า ช่วยสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจ เนื่องจากการใช้น้ำ และไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดค่าใช้จ่ายอีกทั้งยังสอดคล้องกับสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญ ด้วยเหตุนี้ 90 % ของลูกค้าชั้นนำ 20 อันดับแรกของ Digital Realty จึงได้มีการเปิดเผยเป้าหมายด้านความยั่งยืนของตนต่อสาธารณะ

Digital Realty ได้นำความคิดเห็นของลูกค้าพร้อมกับความมุ่งมั่น มาใช้ในการตัดสินใจเพื่อช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืน นอกจากนี้ ปัจจัยเรื่อง ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญสามประการในการวัดความยั่งยืนของบริษัทและผลกระทบทางจริยธรรม ยังทวีความสำคัญยิ่งขึ้นในสายตาของนักลงทุน ในฐานะที่ Digital Realty เป็นหนึ่งในสิบของกองทรัสต์เพื่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (REIT) ที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุด Digital Realty ยังได้เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างจริงจังกับนักลงทุนรายหลัก เพื่อทำความเข้าใจลำดับความสำคัญและวัตถุประสงค์ในการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ ESG

ใช้ตัววัดเพื่อการประหยัดพลังงาน

Digital Realty ใช้เมตริกหรือตัววัดที่ตรวจสอบได้รวมถึงองค์กรภายนอกเพื่อสนับสนุนข้อเรียกร้อง ซึ่งชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในฐานะที่เป็นซัพพลายเออร์รายสำคัญของ Digital Realty พร้อมอีกบทบาทหนึ่งในการเป็นบริษัทที่ยั่งยืนที่สุดในโลก กำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นผู้นำในการพูดคุยหัวข้อในเรื่องของความยั่งยืน ด้วยบทบาทของเราทั้งสองมุม ทำให้เราทราบดีว่าเราต้องมีข้อมูลในปริมาณมากเพื่อใช้เป็นกำลังสนับสนุนข้อเรียกร้องของเรา

ตัววัดประสิทธิภาพพลังงานที่น่าจับตามองของ Digital Realty คือค่า PUE (ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน) ซึ่ง  PUE เป็นค่าอัตราส่วนระหว่างการใช้พลังงานประจำปีของศูนย์ข้อมูล และพลังงานทั้งหมดที่เซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ใช้ในแต่ละปี ซึ่งเป้าหมายของการลด PUE ของศูนย์ข้อมูลแบบโคโลเคชั่น ภายในปี 2565 อยู่ที่ 10 % (เทียบกับค่าพื้นฐานจากปี 2560) ซึ่งก็ทำได้สูงกว่าเป้า โดยสามารถลด PUE ได้ 11 % ทั้งนี้ Digital Realty ยังให้ข้อมูลแก่ลูกค้า ในระดับที่ลงลึกถึงลูกค้าแต่ละราย โดยใช้ซอฟต์แวร์ PME ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค มาช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของ PUE ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพ PUE ได้ดียิ่งขึ้น

การประหยัดพลังงานอย่างมีนัยสำคัญมาจากการใช้ LED ในดาต้าเซ็นเตอร์ และดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ของ Digital Realty ก็ใช้แสงสว่างจาก LED ทั้งหมด เนื่องจากเป็นระบบไฟที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในปัจจุบัน นอกจากนี้ระบบทำความเย็นยังมาจากการใช้ประโยชน์ของ “ฟรีคูลลิ่ง” เท่าที่จะสามารถทำได้ แม้แต่ในสภาพอากาศที่อบอุ่น เช่น ซานตาคลารา แคลิฟอร์เนีย ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งของ Digital Realty ใช้อากาศเย็นในตอนกลางคืนเพื่อระบายความร้อนเป็นเวลาหลายพันชั่วโมงในแต่ละปี เพื่อประหยัดพลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในหลายแห่ง เช่น ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส Digital Realty ได้ทำข้อตกลงระยะยาวในการจัดหาพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 154 เมกะวัตต์  ซึ่งชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ทำงานในนามของ Digital Realty เพื่อเจรจาข้อตกลงในการซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนบางส่วน ทำให้ พอร์ตโฟลิโอโดยรวมของ Greater Dallas ทั้งหมดของ Digital Realty ในปีนี้จะขับเคลื่อนด้วยพลังงานหมุนเวียนเกือบประมาณ 70%

นำข้อมูลมาใช้ในการอนุรักษ์น้ำ

ในไตรมาส 1 ปี 2564 Digital Realty ได้กลายเป็นผู้บริโภครายแรกที่ใช้น้ำรีไซเคิลและเป็นบริษัทศูนย์ข้อมูลรายแรกและรายเดียวที่เข้าร่วมเครือข่ายผู้ใช้น้ำรีไซเคิลของสมาคม WaterReuse (เครือข่ายสำหรับธุรกิจและหน่วยงานอื่นๆ ที่ใช้น้ำรีไซเคิล) การเป็นสมาชิกของบริษัทในเครือข่ายผู้ใช้น้ำรีไซเคิลนั้นรวมถึงการเป็น green designation WATER STAR® ซึ่งให้การยอมรับถึงความสำเร็จของ Digital Realty ในฐานะผู้ดูแลทรัพยากรน้ำในชุมชนท้องถิ่น

การประเมินการขับเคลื่อนด้วยข้อมูลของ Digital Realty ได้ข้อสรุปว่า ในปี 2563 กว่า 50 % ของน้ำที่นำมาใช้ในการทำให้ศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ เย็นลงนั้น มาจากแหล่งน้ำที่ไม่สามารถดื่มได้ โดยรวมแล้ว 43 % ของแหล่งน้ำทั่วโลกในปี 2563 มาจากแหล่งน้ำที่ไม่สามารถดื่มได้ที่อยู่ภายในเทศบาล หรือเป็นน้ำรีไซเคิลภายในไซต์งาน

ในสหรัฐอเมริกา ศูนย์ข้อมูล Westin Building Exchange ของ Digital Realty ในซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน จัดหาระบบทำความร้อนให้กับแคมปัส ของบริษัท Amazon ที่อยู่ติดกัน ซึ่ง Ecodistrict ใช้น้ำเย็นที่ถูกทำให้ร้อนจากอาคารเวสทินเพื่อสร้างความอบอุ่นแก่อาคารสำนักงานใหญ่ระดับโลกของอเมซอน ขณะที่น้ำเย็นจากอาคารของ Amazon จะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ใน Westin เพื่อทำให้โครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลเย็นลง

ในที่สุดระบบจะให้ความร้อนแก่พื้นที่สำนักงานประมาณ 5 ล้านตารางฟุต การรีไซเคิลพลังงานส่วนเกินจาก Westin คาดว่าจะช่วยประหยัดการใช้ไฟฟ้าได้ประมาณ 80 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง ตลอด 25 ปี ซึ่งเทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้ถ่านหิน 62 ล้านปอนด์ โครงการนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของเมืองซีแอตเทิลในการลดการปล่อยพลังงานในอาคารลง 38% จากปี 2551 ภายในปี 2573 และบรรลุสถานะคาร์บอนเป็นกลางภายในปี 2593

เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ดังนั้น Digital Realty จึงใช้ตัวชี้วัด GRESB เพื่อทำการวิเคราะห์สถานการณ์ความเสี่ยงทางกายภาพสำหรับพอร์ตโฟลิโอของตน การประเมินความเสี่ยงรวมถึงการเพิ่มของระดับน้ำทะเล และความเครียดน้ำ (water stress) Digital Realty ใช้เครื่องมือมากมายในการประเมินการใช้น้ำและหนึ่งในนั้นคือเครื่องมือ Aqueduct ของสถาบันทรัพยากรโลก ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำและประเมินการใช้น้ำในภูมิภาคที่ขาดแคลนน้ำ

ถัดไปคือตัวชี้วัดซัพพลายเชน

Digital Realty ทราบว่าธุรกิจที่ยั่งยืนจะต้องได้รับแรงหนุนจากซัพพลายเชนที่”สะอาด” ดั้งนั้น Digital Realty จึงได้เริ่มให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของซัพพลายเออร์ เป้าหมายส่วนหนึ่งของโครงการ Science-Based Target Initiative คือการลดการปล่อยคาร์บอนในขอบเขตที่ 3 ลง 24% ต่อพื้นที่ภายในปี 2573

เรื่องนี้คือความพยายามอย่างต่อเนื่อง โดยทั้ง Digital Realty และ Schneider Electric ต่างทำงานร่วมกันได้อย่างดี เพราะเราได้แบ่งปันวัตถุประสงค์ร่วมกันอีกทั้งให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเหมือนกัน เรายังคงดำเนินการในเชิงรุกโดยการนำแนวทางใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิมมาใช้ เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับ Digital Realty ต่อไป เพื่อช่วยสร้างโลกและอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูลที่ดีและยั่งยืนยิ่งขึ้น

                                                                                          # # #

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ บทความ บทความพิเศษ เทคโนโลยี

การ์ทเนอร์คาดการณ์ยอดจัดส่งรถยนต์ไฟฟ้าปี 65 พุ่งแตะ 6 ล้านคัน

การ์ทเนอร์คาดการณ์ยอดจัดส่งรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (แบบใช้พลังงานจากแบตเตอรี่และแบบปลั๊กอิน-ไฮบริด) ในปี 2565 จะเพิ่มขึ้นเป็น 6 ล้านคัน จาก 4 ล้านคันในปี 2564

โจนาธาน ดาเวนพอร์ท ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “จากที่ประชุม COP26 เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว สมาพันธ์ Zero Emission Vehicle Transition Council มีข้อตกลงเห็นพ้องตรงกันว่า ภายในปี 2583 ผู้ผลิตรถยนต์จะเดินหน้าผลิตและจำหน่ายยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ จากที่ก่อนหน้านี้ได้กดดันให้ผู้ผลิตในตลาดรถยนต์ชั้นนำเตรียมพร้อมรับมือกับแนวทางการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ กับภาคการขนส่ง ทั้งนี้ยานยนต์ไฟฟ้า (หรือ EVs) นั้นเป็นเทคโนโลยีระบบส่งกำลังที่มีความสำคัญต่อการช่วยลดการปล่อย CO2 ในภาคการขนส่ง ภาวะขาดแคลนชิปยังส่งผลกระทบต่อเนื่องกับยอดการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในปีนี้ แม้สัดส่วนการจัดส่งรถยนต์พลังไฟฟ้าประเภทรถตู้ (Vans) และรถบรรทุก (Trucks) ยังมีขนาดเล็กในปัจจุบัน แต่การจัดส่งยานยนต์ในกลุ่มนี้จะเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อเจ้าของกิจการเล็งเห็นถึงประโยชน์ทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและด้านการเงิน เมื่อเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้า”

การ์ทเนอร์คาดว่ารถยนต์ (Cars) จะมีสัดส่วนจัดส่งสูงถึง 95% ของตลาดยานยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2565 ส่วนที่เหลือจะแบ่งเป็น รถโดยสาร (Buses) รถตู้ (Vans) และรถบรรทุกขนาดใหญ่ (Heavy Trucks) (ดูตามตารางที่ 1)

ตารางที่ 1: ปริมาณการจัดส่งยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ปี 2564-2565 (หน่วยตามจริง)

  ยอดจัดส่ง ปี 2564 ยอดเติบโต ปี 2564 (%) ยอดจัดส่ง ปี 2565 ยอดเติบโต ปี 2565 (%)
รถยนต์ 4,473,907 38.3 6,022,147 34.6
รถโดยสาร 165,551 18.1 198,353 19.8
รถตู้ 86,274 56.1 126,607 46.8
รถบรรทุกขนาดใหญ่ 15,171 41.5 22,663 49.4
รวม 4,740,903 37.7 6,369,769 34.4

เนื่องจากการปัดเศษ ทำให้ตัวเลขบางตัวรวมกันแล้วไม่ตรงกับจำนวนรวมทั้งหมด

ที่มา: การ์ทเนอร์ (มกราคม 2565)

ประเทศจีนและยุโรปตะวันตกมียอดจัดส่งยานยนต์พลังงานไฟฟ้าสูงสุดในปีนี้

ด้วยนโยบายของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มีคำสั่งให้ภายในปี 2573 ผู้ผลิตรถยนต์ต้องผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสัดส่วน 40% ของยอดจำหน่ายรถยนต์ทั้งหมด รวมถึงการจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขึ้นใหม่ การ์ทเนอร์คาดว่าประเทศจีนจะกลายเป็นผู้นำอันดับ 1 ที่ครองยอดการจัดส่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยมีสัดส่วนราว 46% ของการจัดส่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดทั่วโลกในปีนี้ โดยมียอดจัดส่งสูงถึง 2.9 ล้านคัน ขณะที่ฝั่งยุโรปตะวันตกจะอยู่ในอันดับที่ 2 ด้วยยอดการจัดส่งที่ 1.9 ล้านคัน และตามมาด้วยอันดับสามคือผู้ผลิตจากอเมริกาเหนือ ที่คาดว่าจะมียอดจัดส่งอยู่ราว 855,300 คัน

“แผนของสหภาพยุโรป (EU) ที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการใช้รถยนต์ให้ได้ที่ 55% และรถตู้ที่ 50% ภายในปี 2573 เป็นการกระตุ้นตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สำคัญในยุโรป” ดาเวนพอร์ท กล่าวเพิ่มเติมว่า

จากการที่รัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญ ออกกฎระเบียบและใช้มาตรการกระตุ้นต่าง ๆ เพื่อผลักดันยอดจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น นั่นทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่มการลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้วางโครงสร้างพื้นฐานจุดชาร์จไฟและเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในรถยนต์ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า การ์ทเนอร์คาดว่า ในปีนี้จะมีจำนวนจุดชาร์จไฟฟ้าสาธารณะทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 2.1 ล้านจุด จากเดิม 1.6 ล้านจุด เมื่อปี 2564

ปัจจัยท้าทายการใช้รถยนต์ไฟฟ้ายังมีอยู่อีกมาก 

เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ผู้ผลิตจะต้องจัดการกับปัจจัยหลายประการ อาทิ การลดราคารถยนต์พลังงานไฟฟ้าและแบตเตอรี่ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ การนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นต่าง ๆ ที่หลากหลายกว่าเดิม พร้อมยืดระยะการขับให้ได้ระยะไกลขึ้น รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในเรื่องจุดชาร์จไฟฟ้า

ดาเวนพอร์ท กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข นั่นคือ จำนวนจุดชาร์จไฟฟ้าแบบเร็วที่บ้านและตามพื้นที่สาธารณะต่าง ๆ ที่ยังขาดแคลน โดยผู้ให้บริการสาธารณูปโภคจะต้องเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้าสมาร์ทกริดเพื่อรับมือกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และตอบสนองต่อเป้าหมายทางด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยประเทศที่ยังใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อผลิตไฟฟ้าจะต้องออกแบบระบบการผลิตไฟฟ้าใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว”

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com

#ev

#รถไฟฟ้า


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ บทความ เทคโนโลยี

ทำไมหลายสนามบินจึงหันมาใช้ไมโครกริดเพื่อสร้างความยั่งยืน

โดย วัลเลอรี เลย์อัน ประธานฝ่ายการขนส่งดูแลทั่วโลก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

ทำอย่างไรสนามบินจึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางด้านคาร์บอน (carbon neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ได้ภายในปี 2050 โซลูชันที่ดีที่สุดคือการรวมไมโครกริดไว้ในแผนพลังงานสีเขียว ไมโครกริด Microgrids ได้รับการยอมรับว่าเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับความพยายามเพื่อไปสู่การเป็นสนามบินคาร์บอนต่ำ เนื่องจากให้ความสามารถหลากหลายแง่มุม เพิ่มความยั่งยืนและความยืดหยุ่น อีกทั้งช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย

แม้ว่าในระยะหลังๆ สนามบินหลายแห่งเริ่มมีการปรับใช้ไมโครกริด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการตอบสนองความท้าทายด้านความยั่งยืนและความน่าเชื่อถือของพลังงานในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งดาต้าเซ็นเตอร์ โรงพยาบาล การคมนาคมขนส่ง และอาคารพาณิชย์ ตัวอย่างเช่น ท่าเรือขนาดใหญ่ของแคลิฟอร์เนียหลายแห่งได้มีการปรับใช้ไมโครกริดเพื่อความปลอดภัยด้านพลังงาน และให้ความยืดหยุ่นได้ตามต้องการ เพื่อตอบโจทย์เรื่องกฎระเบียบด้านสภาพภูมิอากาศที่เข้มงวดของแคลิฟอร์เนีย ไมโครกริดของ Port of Long Beach เป็นตัวอย่างที่ช่วยให้มั่นใจได้ถึงการจัดหาพลังงานได้อย่างเสถียรโดยใช้ฟีเจอร์นวัตกรรม อย่างเช่น แบตเตอรี่เคลื่อนที่ ที่สามารถขยายการเข้าถึงไมโครกริดได้ทั่วอากาศยานระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน

ไมโครกริดมีเครือข่ายไฟฟ้าในตัวเอง ช่วยให้สนามบินต่างๆ สามารถบริหารจัดการไซต์พลังงานได้ด้วยตัวเอง รวมไปถึงการควบคุมการใช้งานได้ไม่ว่าจะใช้เมื่อไร หรือใช้อย่างไรก็ตาม โดยสามารถผสานรวมการใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกัน เช่น พลังงานลมและแสงอาทิตย์ และสามารถบริหารจัดการและใช้พลังงานได้อย่างเหมาะสมเต็มประสิทธิภาพ ด้วยคุณสมบัติอย่างการกักเก็บพลังงานไว้ที่ไซต์ เช่นแบตเตอรี่และเซลล์เชื้อเพลิง ที่สามารถกักเก็บพลังงานที่ผลิตในไซต์ได้ทำให้ไม่ต้องปล่อยทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์  การขับเคลื่อนไปสู่การผลิตไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมคือสิ่งสำคัญ เพราะสนามบินมีผู้ใช้พลังงานจำนวนมหาศาล – การใช้พลังงานไฟฟ้าและพลังงานความร้อนของสนามบินขนาดใหญ่ ในแต่ละวันเทียบเท่ากับเมืองที่มีประชากรมากถึง 100,000 คน

ไมโครกริดสามารถรวมและบริหารจัดการแหล่งผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ (DER) ได้หลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานที่ได้จากแหล่งพลังงานหมุนเวียน ไมโครกริดจะให้ความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ผ่านฟีเจอร์การจัดการขั้นสูง เช่น การปลดโหลดได้อย่างชาญฉลาด และ/หรือความสามารถในการเรียกใช้หรือปิดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแต่ละตัว

ไมโครกริดเป็นเสาหลักสำคัญของความยั่งยืนแห่งอนาคตของสนามบิน เพราะพลังงานที่ยืดหยุ่นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้ความปลอดภัยด้านพลังงานที่ขาดไม่ได้

สิ่งอำนวยความสะดวกที่สำคัญ เช่น สนามบิน ไม่เพียงต้องการพลังงานสีเขียวเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นพลังงานที่เชื่อถือได้ด้วย เพราะเป็นประเด็นเรื่องของความปลอดภัยอีกทั้งยังเกี่ยวข้องอย่างมากกับเรื่องการเงิน มีเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อเร็วๆ นี้ หลายเหตุการณ์ ที่แสดงให้เห็นว่าการที่ไฟฟ้าดับทำให้เกิดการหยุดชะงักและเสียค่าใช้จ่ายได้มากเพียงใด เช่นการที่ Atlanta International ไฟฟ้าดับนานถึง 11 ชั่วโมง นั้นทำให้ Delta Airlines เสียค่าใช้จ่ายประมาณ 50 ล้านดอลลาร์ รวมถึงทำให้ผู้โดยสารหลายพันคนต้องรอเก้อ และนำไปสู่การยกเลิกเที่ยวบินประมาณ 1,500 เที่ยว

การมีแหล่งพลังงานทางเลือกที่เชื่อถือได้ เช่น ไมโครกริด สามารถป้องกันการสูญเสียเหล่านี้ได้โดยมั่นใจได้ว่าจะมีการจ่ายไฟอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงที่ไฟฟ้าดับ

ไมโครกริดยังช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างมาก

การตอบสนองความต้องการด้านพลังงานของสนามบิน ด้วยพลังงานหมุนเวียนจากไมโครกริดสามารถใช้ต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • ช่วยให้สนามบินมีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้พลังงานที่มีราคาถูกกว่าทางเลือกอื่นๆ ด้วยการทำงานในโหมดกริดหรือ island mode เพื่อสร้างสมดุลด้านค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่มีการใช้งานสูงสุด
  • สนามบินประหยัดเงินได้โดยการใช้พลังงานได้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • สามารถหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายจากไฟฟ้าขัดข้องได้

แต่การที่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด สนามบินต้องทำเทคโนโลยีอัจฉริยะเข้ามาช่วยบริหารจัดการไมโครกริด

ไมโครกริดและการสนับสนุนเทคโนโลยีช่วยให้มั่นใจถึงเงื่อนไขการทำงานที่เหมาะสมที่สุด และให้ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญรวมถึงให้ความเสถียรของระบบ ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีไมโครกริดมอบเครื่องมือต่างๆ แก่สนามบินในการบริหารจัดการแหล่งผลิตพลังงานแบบกระจายศูนย์ในระยะไกลได้แบบไดนามิคโดยอัตโนมัติ ด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียนได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด และช่วยให้สนามบินควบคุมของพลังงานได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งให้ความสามารถในการสร้างสมดุลของโหลดเพื่อให้เกิดความเสถียร นอกจากนี้เทคโนโลยีที่เชื่อมต่อยังช่วยในการคาดการณ์ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการใช้งาน การผลิต การเก็บ และการขายพลังงาน เพื่อให้สนามบินมีทางเลือกด้านพลังงานที่ฉลาดและคุ้มค่าที่สุด

การประยุกต์ใช้ไมโครกริดและเทคโนโลยีอัจฉริยะ ตลอดจนสถาปัตยกรรมระบบดิจิทัลที่สมบรูณ์แบบ end-to-end นอกจากจะช่วยให้ระบบเหล่านี้ทำงานได้ดีแล้ว ยังช่วยสร้างความอุ่นใจเนื่องจากช่วยให้มั่นใจถึงความต่อเนื่องด้านพลังงานที่เชื่อถือได้ เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานที่จัดหาได้เองในพื้นที่ จึงทำให้ไมโครกริดสามารถแยกตัวเองออกจากโครงข่ายหลัก ทว่ายังคงจัดหาพลังงานป้อนสนามบินได้อย่างต่อเนื่องกระทั่งในช่วงที่เกิดความผันผวนด้านพลังงานก็ตาม นอกจากนี้ ไมโครกริดยังให้พลังงานที่สะอาดกว่าทางเลือกพลังงานสำรองแบบดั้งเดิมเช่นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานดีเซล ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานฉุกเฉินที่ใช้กันมากที่สุดโดยทั่วไปสำหรับสนามบิน แต่เป็นส่วนที่ปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้องในสนามบินซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายที่แพงในการดูแลและซ่อมบำรุง

ตัวอย่างสนามบิน JFK กำลังนำโซลูชันไมโครกริดมาใช้งาน เพื่อลดใช้การใช้พลังงานได้มากถึง 30 เปอร์เซ็นต์

สนามบิน JFK ของมหานครนิวยอร์ค ที่รองรับผู้โดยสารมากว่า 60 ล้านคนต่อปี ได้มีการพัฒนาอาคารผู้โดยสาร Terminal One ด้วยการนำไมโครกริดที่ล้ำหน้าและเครื่องมือเชื่อมต่อไมโครกริดมาใช้ ที่จะช่วยปรับปรุงเรื่องความยั่งยืนและเพิ่มความยืดหยุ่นของอาคารผู้โดยสาร โดยคาดว่าจะช่วยลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงทั้งหมดที่ใช้ในการดำเนินการในส่วนอาคารผู้โดยสารได้มากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยให้สนามบินสามารถบรรลุเป้าหมายการใช้งานงานพลังงานหมุนเวียนได้ 100 เปอร์เซ็นต์ภายในสิบปีข้างหน้า และยังเพิ่มเวลาทำงานหรือ uptime ได้ถึง 99.999 เปอร์เซ็นต์

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทสำคัญของไมโครกริดในการสร้างความยั่งยืนแห่งอนาคต

สนามบินและอุตสาหกรรมอื่นๆ จึงไม่ควรพลาดโอกาสสำคัญในการสร้างความก้าวหน้าไปสู่ความยั่งยืน และเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนด้วยการนำโซลูชันเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์และยอมรับมาใช้งาน เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีไมโครกริดและไมโครกริดช่วยให้สนามบินอย่าง JFK มั่นใจในพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและน่าเชื่อถือ


Categories
บทความ เทคโนโลยี

Agrodome โมดูลพลาสติกรีไซเคิล สร้างสภาพแวดล้อมแบบเรือนกระจกสำหรับพืช

Agrodome คือโมดูลพลาสติกรีไซเคิล สร้างสภาพแวดล้อมแบบเรือนกระจกสำหรับพืชทำให้เจริญเติบโตได้ดีขึ้น

โดย Agrodrome เป็นผลงานการออกแบบจาก nos ที่จัดว่าเป็นบริษัทที่รับออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีชื่ออันดับต้นๆ แห่งอัมสเตอร์ดัม ประเทศเม็กซิโก ซึ่งผลงานที่ชื่อว่า Agrodrome นี้ ทำมาจากขวดน้ำพลาสติกที่ใช้แล้ว และถูกนำมาทำความสะอาดบดและหลอมใหม่เป็นโดมพลาสติกใส ซึ่งจะช่วยสร้างสภาวะเรือนกระจกที่สมบูรณ์แบบที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของพืช

ลักษณะทางกายภาพ

Agrodome มีรูปทรงคล้ายร่มเป็นพลาสติกใส เจาะรูเล็กๆ ไว้โดยรอบ กึ่งกลางของด้านบนเป็นร่องรับน้ำให้ไหลลงก้านทรงกรวยที่มีร่องสำหรับระบายน้ำ โดยออกแบบมาให้สามารถวางซ้อนกันได้

รูปแบบการใช้งาน

ผู้ใช้สามารถเริ่มปลูกในแปลงปลูกจริงตั้งแต่การเพาะเมล็ดโดยไม่จำเป็นต้องย้ายต้นกล้าไปปลูกในแปลงปลูกจริงอีกครั้งหนึ่ง และยังขยับเพิ่มลดความสูงตามความต้องการได้โดยการขยับปลายของส่วนกรวย

โดยเมื่อต้นกล้าเติบโตจนแข็งแรงดีแล้วยังสามารถเคลื่อนย้าย Agrodrome  นี้ ไปใช้งานในแปลงอื่นต่อไปได้อย่างสะดวกโดยการวางมันซ้อนกันได้จำนวนมาก

ส่วนกลางทำหน้าที่เป็นช่องทางให้น้ำไหลลงใต้ดินโดยตรงเพื่อการดูดซึมที่ดีขึ้น

ส่วนบนของโดมมีรูระบายอากาศเพื่อสมดุลปริมาณการไหลเวียนของออกซิเจนที่เพียงพอ

เมื่ออ่านมาถึงท้ายนี้ ต้องบอกตามตรงว่า ผู้เขียนก็มีข้อมูลเพียงเท่านี้จริงๆ เนื่องจากผลงานนี้เป็นงานออกแบบผลิตภัณฑ์ แต่ก็ดูแล้วมีความเป็นไปได้ที่จะนำมาใช้จริง จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง ไว้มีเวลาจะลองทำใช้ดูบ้าง ได้ผลอย่างไรจะมารายงานให้นักอ่านผู้รักการประดิษฐ์ทุกท่านทราบอีกครั้ง

Thank you for pictures and content from nos


 

Exit mobile version